ตอนที่ ๒. ความจริงที่ปรากฏ
นคินทร์กลับมาถึงกรุงเทพฯ ในช่วงบ่ายโดยขับพาเจ้าบักเขียด รถกระบะของเพื่อนมาส่งคืนให้กับเจ้าของ
ภายในอู่บริการซ่อมรถยนต์ ที.พี. เซอร์วิส
“ท็อป” หนุ่มเจ้าของอู่ซ่อมรถวัยสามสิบห้าปี ใบหน้าทะเล้น ผิวเข้ม ผู้มีรูปร่างและความสูงไล่เลี่ยกับนคินทร์ ท็อปได้ยืนรอต้อนรับอยู่ก่อน เมื่อเห็นเพื่อนรักเดินลงมาจากรถก็ตรงเข้าไปจับมือแล้วสวมกอดทักทายกันทันที
“โคตรคิดถึงเลยโว้ย ไอ้เพื่อนรัก” หนุ่มเจ้าของอู่ตบไหล่เพื่อนด้วยความดีใจ นคินทร์ยื่นส่งถุงขนมของฝากจากโคราชให้หนุ่มเจ้าของอู่รับมาแล้วก็กวักมือเรียกเด็กผู้ช่วยมารับถุงขนมไปแบ่งกัน ก่อนที่ท็อปจะพาเพื่อนรักเข้าไปคุยกันต่อในห้องทำงาน
ท็อปเรียกให้เพื่อนนั่งพักที่โซฟาก่อน แล้วก็เดินไปชงกาแฟให้ด้วยตัวเอง สักพักก็เดินกลับออกมาพร้อมกับถ้วยกาแฟในมือแล้วยื่นกับให้นคินทร์ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยมาแตะจมูกเลยทีเดียว
“กาแฟดำนะ ที่อู่นี้ไม่นิยมน้ำตาล เดี๋ยวเบาหวาน-” ท็อปพูดอย่างเป็นกันเองโดยไม่ต้องรอให้เพื่อนเอ่ยถาม นคินทร์บอกขอบใจแล้วรับถ้วยกาแฟมา ชายหนุ่มผู้เป็นแขกต้องอมยิ้มกับคำอธิบายของเพื่อน
นคินทร์ยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มแล้วเอ่ยถามกับท็อป “เป็นยังไงบ้างนายช่างใหญ่”
“โอ๊ย! จะสบายอะไร เหนื่อยว่ะ” ท็อปพูดบ่นเสียงเนือย ๆ เขาบอกกับนคินทร์ว่างานมีแต่ลูกน้องหายาก ถ้าพวกนี้อยู่แล้วคุยกันรู้เรื่องก็อยู่กันทน ทั้งสองคนได้พูดคุยกันไปได้สักพัก ท็อปก็สอบถามกับนคินทร์เรื่องที่ออกจากการเป็นตำรวจ เพราะหนุ่มเจ้าของอู่ รู้อุปนิสัยของเพื่อนดีว่าเป็นคนตั้งใจทำงานและมีอุดมการณ์มั่นคงแต่ต้องมาลาออกเสียกลางคัน ซึ่งทำให้หนุ่มเจ้าของอู่คาดเดาว่าน่าจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
นคินทร์ก็เลยเล่าให้เพื่อนฟังทั้งหมดยกเว้นเรื่องในคืนนั้นและเรื่องที่มีคนติดตามคิดทำร้ายเขาเพราะไม่อยากให้เพื่อนต้องเป็นห่วง
“คุณประพันธ์ท่านให้ฉันย้ายเข้าไปอาศัยอยู่กับท่านเลย” นคินทร์บอกแล้วเอื้อมมือไปหยิบถ้วยกาแฟขึ้นดื่มอีกครั้ง
ท็อปได้ฟังอย่างนั้นก็รู้สึกยินดีกับเพื่อนที่มีผู้ใหญ่ดี ๆ ให้การอุปถัมภ์ เขาบอกกับนคินทร์ว่าอยู่กับท่านประพันธ์สบายแล้วเพราะเคยไปที่บ้านของท่านประพันธ์ซึ่งใหญ่โตราวกับคฤหาสน์ ท็อปพอจะรู้ว่าหน้าที่เป็นนายตำรวจสืบสวนลำบากมากทั้งยังต้องเสี่ยงกับอันตราย ความเป็นอยู่ก็แสนยาก หนุ่มเจ้าของอู่จึงรู้สึกดีใจที่เพื่อนจะได้ไม่ต้องลำบากอีกต่อไป
“ฉันไม่เคยคิดถึงความลำบากหรอกเพื่อน ตอนฉันทำภารกิจเข้าเกลียวแล้วเฮียหุยคอยช่วยสะกดรอย ตอนนั้นก็ปาเข้าไปหลายเดือน ปรับตัวกันจนชินไปทุกสภาพแล้ว” นคินทร์บอกแล้วก็อดที่จะหวนนึกถึงชีวิตการทำงานในอดีตซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายากลำบาก กินนอนไม่เป็นเวลาและต้องมีความอดทนมากในทุกสภาวะ แต่ถ้าหากว่าพวกเขาท้อแท้และคิดถอยแล้ว ความยุติธรรมและความจริงก็จะไม่ปรากฏ สังคมก็จะวุ่นวายมากขึ้น อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้ช่วยลดอัตราการเกิดปัญหาสังคมที่กำลังจะเพิ่มขึ้นได้
ท็อปเห็นนคินทร์นั่งนิ่งไปเหมือนมีอะไรในใจก็เลยดึงเพื่อนกลับมาคุยต่อด้วยเรื่องผ่อนคลายบรรยากาศ
"ลืมบอกไปว่านอกจากบ้านท่านประพันธ์จะใหญ่โตมโหฬารแล้ว ท่านยังมีลูกสาวอีกสองคนด้วยนา คนน้องที่ชื่อคุณเมรันไปเรียนต่างประเทศ ยังไม่เคยเห็นว่าโตแล้วสวยเหมือนพี่สาวไหม แต่ที่แน่ ๆ คนพี่คือคุณเมรินลูกสาวท่านประพันธ์คนนี้สวยมาก นิสัยก็ดีมากด้วย"
ท็อปเน้นเสียงหนักแน่นพร้อมทั้งเล่าสาธยายความมีจิตใจดีของเมรินให้นคินทร์ฟังจนชายหนุ่มรู้สึกคล้อยตาม ชักเริ่มอยากจะเห็นหน้าตาของหญิงสาวที่เพื่อนรักเอ่ยชมไม่ขาดปากว่าตัวจริงจะเป็นเช่นไร
เมื่อได้เห็นนคินทร์ยิ้มออก ท็อปก็เลยหยอดคำเชียร์ให้เพื่อนอีกรอบ
"ฉันรู้มาว่าคุณเมรินยังโสด เผื่อแกจะได้หวั่นไหว คิดอยากจะมีคู่กับเขาบ้างซะที..ได้เป็นถึงลูกเขยของท่านประพันธ์เชียวนา"
คนพูดเชียร์นั้นยิ้มกริ่ม ส่วนคนฟังเมื่อได้ยินเพื่อนพูดประโยคนี้ ถึงกับถอนหายใจแล้วมองท็อปด้วยสายตาปรามไม่ให้พูดแบบนั้น
ท็อปอดหัวเราะในท่าทางของเพื่อนไม่ได้ ยังเล่าให้ฟังต่ออีกว่าตอนนี้คนของท่านประพันธ์สั่งทำรถยนต์กันกระสุนเพิ่มอีกสองคันกับอู่ใหญ่ของรุ่นพี่ ทำให้นคินทร์ได้ฟังแล้วก็มองหน้าท็อปพร้อมกับขมวดคิ้วเข้ม
หนุ่มเจ้าของอู่สังเกตเห็นสีหน้าของเพื่อนมีแววกังวลแฝงอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เมื่อก้าวเข้ามาในอู่แล้ว ยังไม่ทันที่ท็อปจะได้เอ่ยปากถามต่อ นคินทร์ก็ยกมือขึ้นดูนาฬิกาใกล้ได้เวลานัดหมายแล้ว เมื่อท็อปเห็นเพื่อนกำลังมีงานด่วนสำคัญเขาก็เลยอาสาไปส่งนคินทร์
ท็อปขับรถมาส่งเมื่อถึงจุดนัดหมายนคินทร์ก็ลงจากรถโบกมือให้เป็นการขอบคุณเพื่อนที่มาส่ง หนุ่มเจ้าของอู่โบกมือให้แล้วก็ขับรถกลับไป
ผ่านไปสักครู่นคินทร์ยกข้อมือดูนาฬิกาอีกครั้ง เป็นจังหวะเดียวกับรถตู้คันหนึ่งแล่นมาจอดเทียบอยู่ด้านหน้าซึ่งมาตรงเวลาพอดี เขากวาดตามองที่รายละเอียดรถและทะเบียน ถูกต้องตามที่ถูกระบุไว้ สักครู่ประตูรถเลื่อนเปิดออก ชายในสูทสีเข้มที่อยู่ภายในรถก็กล่าวเชิญให้เขาขึ้นนั่งด้านข้าง
เพียงไม่ถึงยี่สิบนาที รถตู้คันนี้ก็ได้ขับถึงจุดหมายที่สอง นคินทร์หันไปกล่าวขอบคุณ เมื่อลงจากรถแล้วก็มองไปทางด้านหน้าซึ่งเป็นจุดนัดพบที่สาม ห่างไปราวห้าหกเมตรก็พบกับรถเบนซ์สีขาวคันหรูกำลังจอดรอพร้อมทั้งมีชายในชุดสูทสีเข้มอีกคนได้ยืนคอยอยู่ที่รถแล้ว
เมื่อนคินทร์ไปถึง ชายคนนั้นก็รีบเดินมารับกระเป๋าเดินทางในมือของนคินทร์เพื่อไปเก็บที่ท้ายรถแล้วเดินกลับมาเปิดประตูรถให้นคินทร์ ชายหนุ่มร่างสูงกล่าวขอบคุณ เมื่อประตูรถเปิดออก เขาก้มตัวไปมองด้านในแล้วมองเห็นชายวัยกลางคนที่แต่งตัวดูภูมิฐานนั่งรออยู่ในรถก่อนแล้ว ใบหน้าเป็นมิตรและเปี่ยมด้วยสง่าราศีนั้นยิ้มให้กับเขา
“ขึ้นมาสินคินทร์” ประพันธ์กล่าวกับชายหนุ่ม นคินทร์ยกมือไหว้สวัสดีก่อนที่จะก้าวเข้ามานั่งลงข้าง ๆ ท่านประพันธ์ ภายในรถยนต์หรูคันนี้
ผ่านไปไม่นานนักพาหนะสี่ล้อคันงามก็พาพวกเขามาถึงจุดหมาย นคินทร์มองตรงไปข้างหน้า เห็นคฤหาสน์หลังใหญ่อยู่ห่างไปอีกไม่ไกล เมื่อรถเคลื่อนผ่านมาใกล้กับทางเข้า นคินทร์หันมองตามแผ่นป้ายหินอ่อนสลักชื่อที่ผนังด้านหนึ่ง “
คฤหาสน์อัครกูล”
เมื่อรถคันหรูเข้ามาจอดสนิท ท่านประพันธ์ได้ลงจากรถพร้อมกับนคินทร์ ชายเจ้าของบ้านบอกคนรับใช้ ให้มารับกระเป๋าเดินทางของนคินทร์ไปเก็บ “
ประพันธ์” มหาเศรษฐีนักธุรกิจในวัยห้าสิบหกปี ได้พานคินทร์เดินเข้ามาที่ตึกใหญ่ ผ่านห้องโถงกว้างซึ่งเป็นห้องรับรองแขกด้วย ในบริเวณนี้เองอดีตนายตำรวจหนุ่มสังเกตเห็นภาพครอบครัวของท่านประพันธ์อยู่หลายภาพและก็ต้องสะดุดตากับรูปภาพแขวนผนังอันใหญ่ซึ่งดูโดดเด่นมากที่สุดจนเขาต้องหยุดยืนพิจารณาด้วยความสนใจ
ภายในภาพนี้ หากมองดูจากจุดที่เขาหันหน้ายืนดูอยู่ทางด้านซ้าย เริ่มจากคนแรกเป็นหญิงสาววัยน่าจะสักประมาณสี่สิบต้น ๆ ใบหน้าและ บุคลิกดูดี โดยถัดไปมีชายหนุ่มยื่นมือโอบอยู่ที่ไหล่ของเธอซึ่งหนุ่มคนที่สองในภาพนี้ดูเป็นเด็กหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาหล่อเหลาทีเดียวและก็ยืนอยู่ข้างท่านประพันธ์ ถัดมาเป็นผู้หญิงชาวต่างชาติที่แลดู สง่างามและใบหน้ายังคงความสวยแม้วัยจะดูมีอายุแล้วก็ตาม โดยถัดไปนั้นเป็นคนที่ห้าของภาพ หญิงสาวใบหน้าสวยหวานยืนอยู่ด้านข้างและขวามือสุดของภาพจะเป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบสี่ สิบห้าปีอีกคน เธอมีดวงตากลมโต แลดูสดใส หน้าตาน่ารัก ยืนยิ้มกอดแขนหญิงสาวคนที่โตกว่านั้นอยู่ด้วยท่าทางที่ดูเหมือนเด็กอ้อนผู้ใหญ่
เสียงคุณประพันธ์ดังขึ้น “นั่นเป็นรูปของฉันกับครอบครัว ภรรยาของฉันเป็นลูกครึ่งอังกฤษ-ไทย เธอชื่อ “โรแอน” ประพันธ์มองรูปของภรรยาแล้วก็กล่าวต่อไปว่า “แต่ตอนนี้เธอได้จากฉันไปแล้ว” นคินทร์มองตามไปที่ภาพแล้วพอจะเข้าใจความรู้สึกของชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มได้กล่าวแสดงความเสียใจกับท่านประพันธ์
ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์พยักหน้าแล้วยังคงกล่าวแนะนำคนในครอบครัวต่อไป “คนแรกสุดคือน้องสาวของฉัน ชื่อ “แพรวมณี” ประพันธ์ผายมือไปที่รูป “ส่วนนี่ก็ลูกสาวของฉัน “เมริน” กับเด็กผู้หญิงคนขวาสุดที่เห็นก็คือลูกสาวคนเล็กชื่อ “เมรัน”
นคินทร์มองบุคคลในภาพตามลำดับที่ท่านประพันธ์แนะนำแล้วชายหนุ่มก็มองย้อนกลับไปที่ภาพของหญิงสาวคนพี่ที่ชื่อเมริน ใบหน้านั้นช่างงดงามและรอยยิ้มที่อ่อนหวานของเธอนั้นดูน่าประทับใจ จากคำบอกเล่าของท็อปในวันนี้ ทำให้ชายหนุ่มมองภาพของเมรินอย่างไม่ละสายตา ประพันธ์หันไปเห็นเข้าก็ยิ้มในใจ “ส่วนชายหนุ่มที่อยู่ในภาพ นายลองทายซิว่าเขาเป็นใคร”
นคินทร์มองกลับที่รูปของหนุ่มลูกครึ่งอีกครั้งพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง “คงจะเป็นลูกชายของท่านนะครับ”
"ทำไมถึงมั่นใจล่ะ” ประพันธ์เอ่ยถาม
“ลักษณะท่าทาง บุคลิกและใบหน้าเหมือนกับท่านมาก”
ประพันธ์ยิ้มพยักหน้าอย่างพอใจแล้วเดินตรงไปแตะไหล่ของนคินทร์
“เขาเป็นลูกชายคนโตของฉันชื่อ “ชินดนัย” ตอนนี้อายุเขายี่สิบหกปีแล้วน้อยกว่านายห้าปี”
นคินทร์ยิ้มให้ท่านประพันธ์และสังเกตเห็นว่าท่านประพันธ์มีสีหน้าแห่งความสุขที่ได้เห็นภาพบุคคลในครอบครัวของท่าน
จากนั้นชายเจ้าของบ้านก็พานคินทร์เดินผ่านมาที่ทางอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ถัดออกมาจากตึกใหญ่ นคินทร์มองสำรวจไปรอบบริเวณนี้ เหมือนกับได้ถูกแยกส่วนให้เป็นบริเวณที่มีความเป็นส่วนตัว มีพื้นที่ต้นไม้ร่มรื่นพร้อมกับสวนหย่อมเล็ก ๆ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ชายหนุ่มมองอย่างรู้สึกเพลินกับบรรยากาศ
จนกระทั่งประพันธ์ได้พาเขามาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนพักซึ่งเป็นบ้านสองชั้น เจ้าของบ้านได้พาเขาไปดูภายใน ชั้นล่างเป็นห้องรับแขกตกแต่งไว้เรียบง่ายโดยด้านหน้ามีระเบียงยื่นออกไปพร้อมทั้งมีเก้าอี้ยาวไว้นั่งพักผ่อน ซึ่งระเบียงนี้สามารถเดินมานั่งเล่นได้เลยโดยที่ยังไม่ต้องเข้าไปในตัวบ้าน
ถัดจากระเบียงนี้ไปดูเหมือนทางนี้จะมีประตูรีโมทอีกบานหนึ่งซึ่งดูผิวเผินแล้วเหมือนกำแพงเสียมากกว่า ส่วนนี้ถูกสร้างเชื่อมกับทางอีกด้านหนึ่ง ท่านประพันธ์กดเปิดรหัสสัญญาณผ่านประตูนี้ไปจะเป็นโรงรถทางซ้ายขนาดย่อมซึ่งจากการคาดคะเนด้วยสายตาของนคินทร์ เขาคิดว่าน่าจะเหมาะสำหรับพาหนะสองล้อ บริเวณนี้จะเชื่อมกับทางที่เป็นอุโมงค์ยาวซึ่งสามารถใช้เป็นทางผ่านออกไปด้านนอกได้อีกทาง โดยไม่ต้องผ่านประตูใหญ่ด้านหน้า
นคินทร์ที่รัก ( ตอนที่ ๒ ความจริงที่ปรากฏ )
นคินทร์กลับมาถึงกรุงเทพฯ ในช่วงบ่ายโดยขับพาเจ้าบักเขียด รถกระบะของเพื่อนมาส่งคืนให้กับเจ้าของ
ภายในอู่บริการซ่อมรถยนต์ ที.พี. เซอร์วิส
“ท็อป” หนุ่มเจ้าของอู่ซ่อมรถวัยสามสิบห้าปี ใบหน้าทะเล้น ผิวเข้ม ผู้มีรูปร่างและความสูงไล่เลี่ยกับนคินทร์ ท็อปได้ยืนรอต้อนรับอยู่ก่อน เมื่อเห็นเพื่อนรักเดินลงมาจากรถก็ตรงเข้าไปจับมือแล้วสวมกอดทักทายกันทันที
“โคตรคิดถึงเลยโว้ย ไอ้เพื่อนรัก” หนุ่มเจ้าของอู่ตบไหล่เพื่อนด้วยความดีใจ นคินทร์ยื่นส่งถุงขนมของฝากจากโคราชให้หนุ่มเจ้าของอู่รับมาแล้วก็กวักมือเรียกเด็กผู้ช่วยมารับถุงขนมไปแบ่งกัน ก่อนที่ท็อปจะพาเพื่อนรักเข้าไปคุยกันต่อในห้องทำงาน
ท็อปเรียกให้เพื่อนนั่งพักที่โซฟาก่อน แล้วก็เดินไปชงกาแฟให้ด้วยตัวเอง สักพักก็เดินกลับออกมาพร้อมกับถ้วยกาแฟในมือแล้วยื่นกับให้นคินทร์ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยมาแตะจมูกเลยทีเดียว
“กาแฟดำนะ ที่อู่นี้ไม่นิยมน้ำตาล เดี๋ยวเบาหวาน-” ท็อปพูดอย่างเป็นกันเองโดยไม่ต้องรอให้เพื่อนเอ่ยถาม นคินทร์บอกขอบใจแล้วรับถ้วยกาแฟมา ชายหนุ่มผู้เป็นแขกต้องอมยิ้มกับคำอธิบายของเพื่อน
นคินทร์ยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มแล้วเอ่ยถามกับท็อป “เป็นยังไงบ้างนายช่างใหญ่”
“โอ๊ย! จะสบายอะไร เหนื่อยว่ะ” ท็อปพูดบ่นเสียงเนือย ๆ เขาบอกกับนคินทร์ว่างานมีแต่ลูกน้องหายาก ถ้าพวกนี้อยู่แล้วคุยกันรู้เรื่องก็อยู่กันทน ทั้งสองคนได้พูดคุยกันไปได้สักพัก ท็อปก็สอบถามกับนคินทร์เรื่องที่ออกจากการเป็นตำรวจ เพราะหนุ่มเจ้าของอู่ รู้อุปนิสัยของเพื่อนดีว่าเป็นคนตั้งใจทำงานและมีอุดมการณ์มั่นคงแต่ต้องมาลาออกเสียกลางคัน ซึ่งทำให้หนุ่มเจ้าของอู่คาดเดาว่าน่าจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
นคินทร์ก็เลยเล่าให้เพื่อนฟังทั้งหมดยกเว้นเรื่องในคืนนั้นและเรื่องที่มีคนติดตามคิดทำร้ายเขาเพราะไม่อยากให้เพื่อนต้องเป็นห่วง
“คุณประพันธ์ท่านให้ฉันย้ายเข้าไปอาศัยอยู่กับท่านเลย” นคินทร์บอกแล้วเอื้อมมือไปหยิบถ้วยกาแฟขึ้นดื่มอีกครั้ง
ท็อปได้ฟังอย่างนั้นก็รู้สึกยินดีกับเพื่อนที่มีผู้ใหญ่ดี ๆ ให้การอุปถัมภ์ เขาบอกกับนคินทร์ว่าอยู่กับท่านประพันธ์สบายแล้วเพราะเคยไปที่บ้านของท่านประพันธ์ซึ่งใหญ่โตราวกับคฤหาสน์ ท็อปพอจะรู้ว่าหน้าที่เป็นนายตำรวจสืบสวนลำบากมากทั้งยังต้องเสี่ยงกับอันตราย ความเป็นอยู่ก็แสนยาก หนุ่มเจ้าของอู่จึงรู้สึกดีใจที่เพื่อนจะได้ไม่ต้องลำบากอีกต่อไป
“ฉันไม่เคยคิดถึงความลำบากหรอกเพื่อน ตอนฉันทำภารกิจเข้าเกลียวแล้วเฮียหุยคอยช่วยสะกดรอย ตอนนั้นก็ปาเข้าไปหลายเดือน ปรับตัวกันจนชินไปทุกสภาพแล้ว” นคินทร์บอกแล้วก็อดที่จะหวนนึกถึงชีวิตการทำงานในอดีตซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายากลำบาก กินนอนไม่เป็นเวลาและต้องมีความอดทนมากในทุกสภาวะ แต่ถ้าหากว่าพวกเขาท้อแท้และคิดถอยแล้ว ความยุติธรรมและความจริงก็จะไม่ปรากฏ สังคมก็จะวุ่นวายมากขึ้น อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้ช่วยลดอัตราการเกิดปัญหาสังคมที่กำลังจะเพิ่มขึ้นได้
ท็อปเห็นนคินทร์นั่งนิ่งไปเหมือนมีอะไรในใจก็เลยดึงเพื่อนกลับมาคุยต่อด้วยเรื่องผ่อนคลายบรรยากาศ
"ลืมบอกไปว่านอกจากบ้านท่านประพันธ์จะใหญ่โตมโหฬารแล้ว ท่านยังมีลูกสาวอีกสองคนด้วยนา คนน้องที่ชื่อคุณเมรันไปเรียนต่างประเทศ ยังไม่เคยเห็นว่าโตแล้วสวยเหมือนพี่สาวไหม แต่ที่แน่ ๆ คนพี่คือคุณเมรินลูกสาวท่านประพันธ์คนนี้สวยมาก นิสัยก็ดีมากด้วย"
ท็อปเน้นเสียงหนักแน่นพร้อมทั้งเล่าสาธยายความมีจิตใจดีของเมรินให้นคินทร์ฟังจนชายหนุ่มรู้สึกคล้อยตาม ชักเริ่มอยากจะเห็นหน้าตาของหญิงสาวที่เพื่อนรักเอ่ยชมไม่ขาดปากว่าตัวจริงจะเป็นเช่นไร
เมื่อได้เห็นนคินทร์ยิ้มออก ท็อปก็เลยหยอดคำเชียร์ให้เพื่อนอีกรอบ
"ฉันรู้มาว่าคุณเมรินยังโสด เผื่อแกจะได้หวั่นไหว คิดอยากจะมีคู่กับเขาบ้างซะที..ได้เป็นถึงลูกเขยของท่านประพันธ์เชียวนา"
คนพูดเชียร์นั้นยิ้มกริ่ม ส่วนคนฟังเมื่อได้ยินเพื่อนพูดประโยคนี้ ถึงกับถอนหายใจแล้วมองท็อปด้วยสายตาปรามไม่ให้พูดแบบนั้น
ท็อปอดหัวเราะในท่าทางของเพื่อนไม่ได้ ยังเล่าให้ฟังต่ออีกว่าตอนนี้คนของท่านประพันธ์สั่งทำรถยนต์กันกระสุนเพิ่มอีกสองคันกับอู่ใหญ่ของรุ่นพี่ ทำให้นคินทร์ได้ฟังแล้วก็มองหน้าท็อปพร้อมกับขมวดคิ้วเข้ม
หนุ่มเจ้าของอู่สังเกตเห็นสีหน้าของเพื่อนมีแววกังวลแฝงอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เมื่อก้าวเข้ามาในอู่แล้ว ยังไม่ทันที่ท็อปจะได้เอ่ยปากถามต่อ นคินทร์ก็ยกมือขึ้นดูนาฬิกาใกล้ได้เวลานัดหมายแล้ว เมื่อท็อปเห็นเพื่อนกำลังมีงานด่วนสำคัญเขาก็เลยอาสาไปส่งนคินทร์
ท็อปขับรถมาส่งเมื่อถึงจุดนัดหมายนคินทร์ก็ลงจากรถโบกมือให้เป็นการขอบคุณเพื่อนที่มาส่ง หนุ่มเจ้าของอู่โบกมือให้แล้วก็ขับรถกลับไป
ผ่านไปสักครู่นคินทร์ยกข้อมือดูนาฬิกาอีกครั้ง เป็นจังหวะเดียวกับรถตู้คันหนึ่งแล่นมาจอดเทียบอยู่ด้านหน้าซึ่งมาตรงเวลาพอดี เขากวาดตามองที่รายละเอียดรถและทะเบียน ถูกต้องตามที่ถูกระบุไว้ สักครู่ประตูรถเลื่อนเปิดออก ชายในสูทสีเข้มที่อยู่ภายในรถก็กล่าวเชิญให้เขาขึ้นนั่งด้านข้าง
เพียงไม่ถึงยี่สิบนาที รถตู้คันนี้ก็ได้ขับถึงจุดหมายที่สอง นคินทร์หันไปกล่าวขอบคุณ เมื่อลงจากรถแล้วก็มองไปทางด้านหน้าซึ่งเป็นจุดนัดพบที่สาม ห่างไปราวห้าหกเมตรก็พบกับรถเบนซ์สีขาวคันหรูกำลังจอดรอพร้อมทั้งมีชายในชุดสูทสีเข้มอีกคนได้ยืนคอยอยู่ที่รถแล้ว
เมื่อนคินทร์ไปถึง ชายคนนั้นก็รีบเดินมารับกระเป๋าเดินทางในมือของนคินทร์เพื่อไปเก็บที่ท้ายรถแล้วเดินกลับมาเปิดประตูรถให้นคินทร์ ชายหนุ่มร่างสูงกล่าวขอบคุณ เมื่อประตูรถเปิดออก เขาก้มตัวไปมองด้านในแล้วมองเห็นชายวัยกลางคนที่แต่งตัวดูภูมิฐานนั่งรออยู่ในรถก่อนแล้ว ใบหน้าเป็นมิตรและเปี่ยมด้วยสง่าราศีนั้นยิ้มให้กับเขา
“ขึ้นมาสินคินทร์” ประพันธ์กล่าวกับชายหนุ่ม นคินทร์ยกมือไหว้สวัสดีก่อนที่จะก้าวเข้ามานั่งลงข้าง ๆ ท่านประพันธ์ ภายในรถยนต์หรูคันนี้
ผ่านไปไม่นานนักพาหนะสี่ล้อคันงามก็พาพวกเขามาถึงจุดหมาย นคินทร์มองตรงไปข้างหน้า เห็นคฤหาสน์หลังใหญ่อยู่ห่างไปอีกไม่ไกล เมื่อรถเคลื่อนผ่านมาใกล้กับทางเข้า นคินทร์หันมองตามแผ่นป้ายหินอ่อนสลักชื่อที่ผนังด้านหนึ่ง “คฤหาสน์อัครกูล”
เมื่อรถคันหรูเข้ามาจอดสนิท ท่านประพันธ์ได้ลงจากรถพร้อมกับนคินทร์ ชายเจ้าของบ้านบอกคนรับใช้ ให้มารับกระเป๋าเดินทางของนคินทร์ไปเก็บ “ประพันธ์” มหาเศรษฐีนักธุรกิจในวัยห้าสิบหกปี ได้พานคินทร์เดินเข้ามาที่ตึกใหญ่ ผ่านห้องโถงกว้างซึ่งเป็นห้องรับรองแขกด้วย ในบริเวณนี้เองอดีตนายตำรวจหนุ่มสังเกตเห็นภาพครอบครัวของท่านประพันธ์อยู่หลายภาพและก็ต้องสะดุดตากับรูปภาพแขวนผนังอันใหญ่ซึ่งดูโดดเด่นมากที่สุดจนเขาต้องหยุดยืนพิจารณาด้วยความสนใจ
ภายในภาพนี้ หากมองดูจากจุดที่เขาหันหน้ายืนดูอยู่ทางด้านซ้าย เริ่มจากคนแรกเป็นหญิงสาววัยน่าจะสักประมาณสี่สิบต้น ๆ ใบหน้าและ บุคลิกดูดี โดยถัดไปมีชายหนุ่มยื่นมือโอบอยู่ที่ไหล่ของเธอซึ่งหนุ่มคนที่สองในภาพนี้ดูเป็นเด็กหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาหล่อเหลาทีเดียวและก็ยืนอยู่ข้างท่านประพันธ์ ถัดมาเป็นผู้หญิงชาวต่างชาติที่แลดู สง่างามและใบหน้ายังคงความสวยแม้วัยจะดูมีอายุแล้วก็ตาม โดยถัดไปนั้นเป็นคนที่ห้าของภาพ หญิงสาวใบหน้าสวยหวานยืนอยู่ด้านข้างและขวามือสุดของภาพจะเป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบสี่ สิบห้าปีอีกคน เธอมีดวงตากลมโต แลดูสดใส หน้าตาน่ารัก ยืนยิ้มกอดแขนหญิงสาวคนที่โตกว่านั้นอยู่ด้วยท่าทางที่ดูเหมือนเด็กอ้อนผู้ใหญ่
เสียงคุณประพันธ์ดังขึ้น “นั่นเป็นรูปของฉันกับครอบครัว ภรรยาของฉันเป็นลูกครึ่งอังกฤษ-ไทย เธอชื่อ “โรแอน” ประพันธ์มองรูปของภรรยาแล้วก็กล่าวต่อไปว่า “แต่ตอนนี้เธอได้จากฉันไปแล้ว” นคินทร์มองตามไปที่ภาพแล้วพอจะเข้าใจความรู้สึกของชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มได้กล่าวแสดงความเสียใจกับท่านประพันธ์
ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์พยักหน้าแล้วยังคงกล่าวแนะนำคนในครอบครัวต่อไป “คนแรกสุดคือน้องสาวของฉัน ชื่อ “แพรวมณี” ประพันธ์ผายมือไปที่รูป “ส่วนนี่ก็ลูกสาวของฉัน “เมริน” กับเด็กผู้หญิงคนขวาสุดที่เห็นก็คือลูกสาวคนเล็กชื่อ “เมรัน”
นคินทร์มองบุคคลในภาพตามลำดับที่ท่านประพันธ์แนะนำแล้วชายหนุ่มก็มองย้อนกลับไปที่ภาพของหญิงสาวคนพี่ที่ชื่อเมริน ใบหน้านั้นช่างงดงามและรอยยิ้มที่อ่อนหวานของเธอนั้นดูน่าประทับใจ จากคำบอกเล่าของท็อปในวันนี้ ทำให้ชายหนุ่มมองภาพของเมรินอย่างไม่ละสายตา ประพันธ์หันไปเห็นเข้าก็ยิ้มในใจ “ส่วนชายหนุ่มที่อยู่ในภาพ นายลองทายซิว่าเขาเป็นใคร”
นคินทร์มองกลับที่รูปของหนุ่มลูกครึ่งอีกครั้งพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง “คงจะเป็นลูกชายของท่านนะครับ”
"ทำไมถึงมั่นใจล่ะ” ประพันธ์เอ่ยถาม
“ลักษณะท่าทาง บุคลิกและใบหน้าเหมือนกับท่านมาก”
ประพันธ์ยิ้มพยักหน้าอย่างพอใจแล้วเดินตรงไปแตะไหล่ของนคินทร์
“เขาเป็นลูกชายคนโตของฉันชื่อ “ชินดนัย” ตอนนี้อายุเขายี่สิบหกปีแล้วน้อยกว่านายห้าปี”
นคินทร์ยิ้มให้ท่านประพันธ์และสังเกตเห็นว่าท่านประพันธ์มีสีหน้าแห่งความสุขที่ได้เห็นภาพบุคคลในครอบครัวของท่าน
จากนั้นชายเจ้าของบ้านก็พานคินทร์เดินผ่านมาที่ทางอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ถัดออกมาจากตึกใหญ่ นคินทร์มองสำรวจไปรอบบริเวณนี้ เหมือนกับได้ถูกแยกส่วนให้เป็นบริเวณที่มีความเป็นส่วนตัว มีพื้นที่ต้นไม้ร่มรื่นพร้อมกับสวนหย่อมเล็ก ๆ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ชายหนุ่มมองอย่างรู้สึกเพลินกับบรรยากาศ
จนกระทั่งประพันธ์ได้พาเขามาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนพักซึ่งเป็นบ้านสองชั้น เจ้าของบ้านได้พาเขาไปดูภายใน ชั้นล่างเป็นห้องรับแขกตกแต่งไว้เรียบง่ายโดยด้านหน้ามีระเบียงยื่นออกไปพร้อมทั้งมีเก้าอี้ยาวไว้นั่งพักผ่อน ซึ่งระเบียงนี้สามารถเดินมานั่งเล่นได้เลยโดยที่ยังไม่ต้องเข้าไปในตัวบ้าน
ถัดจากระเบียงนี้ไปดูเหมือนทางนี้จะมีประตูรีโมทอีกบานหนึ่งซึ่งดูผิวเผินแล้วเหมือนกำแพงเสียมากกว่า ส่วนนี้ถูกสร้างเชื่อมกับทางอีกด้านหนึ่ง ท่านประพันธ์กดเปิดรหัสสัญญาณผ่านประตูนี้ไปจะเป็นโรงรถทางซ้ายขนาดย่อมซึ่งจากการคาดคะเนด้วยสายตาของนคินทร์ เขาคิดว่าน่าจะเหมาะสำหรับพาหนะสองล้อ บริเวณนี้จะเชื่อมกับทางที่เป็นอุโมงค์ยาวซึ่งสามารถใช้เป็นทางผ่านออกไปด้านนอกได้อีกทาง โดยไม่ต้องผ่านประตูใหญ่ด้านหน้า