วัตถุที่มีความเร็วก็ย่อมจะมีพลังงาน ซึ่งพลังงานไม่มีวันสูญหายแต่เปลี่ยนรูปได้ ในระบบที่มีการหมุนก็เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงของความเร็วเชิงมุมในระบบที่มีการหมุนโดยที่พลังงานคงที่ คือพื้นฐานของปรากฎการณ์ Coriolis effect บทความนี้ เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับ สิ่งที่เรียกกันว่าแรงโคริออลิสกับปรากฎการณ์ต่างๆบนโลก และ นอกโลก ที่เกี่ยวข้องกับมัน
Coriolis effect บางครั้งก็ถูกเรียกว่า แรง หรือ Coriolis force แต่ Coriolis effect ไม่ใช่แรง มันเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดจากการอนุรักษ์โมเมนตั้มเชิงมุม ดังนั้นเราควรเรียกมันว่าปรากฎการณ์โคริออลิสจึงจะถูกต้อง การจะเข้าใจปรากฎการณนี้ เราต้องเข้าใจพื้นฐานทางฟิสิกส์ของการหมุนกันเล็กน้อย
สมมุติเราอยู่บนเก้าอี้ที่หมุนอยู่ เวลาเรากางแขนออก เราจะหมุนช้าลง แต่เวลาเราหดแขนเข้า เราจะหมุนเร็วขึ้น นั่นเพราะ ในกฎการอนุรักษ์โมเมนตั้มเชิงมุม โมเมนตั้มเชิงมุม คือผลคูณของ มวล ความเร็ว และ รัศมีของการหมุน การกางแขน คือการเพิ่มรัศมีการหมุน เมื่อโมเมนตั้มเชิงมุมมีการอนุรักษ์ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ความเร็วของเราจะต้องลดลง และถ้าเราหดแขนเข้า รัศมีการหมุนเราลดลง ความเร็วในการหมุนก็ย่อมจะต้องเพิ่มขึ้น หลักการตรงนี้เอง คือพื้นฐานของแรงโคริออลิส ที่ทำให้กระแสลมของซีกโลกเหนือที่พัดลงมาต้องเอี้ยวไปทางขวาของตัวมันเสมอ มันเป็นสิ่งที่ทำให้พายุบนซีกโลกเหนือต้องหมุนวนซ้ายทวนเข็มนาฬิกา การที่ยาน Endurance ในหนังเรื่อง Interstellar ต้องมีขนาดใหญ่ถึง 65 เมตรไม่ให้นักบินอวกาศเมาและเซเวลาลุกขึ้นยืน
รูปที่ 1: โมเมนตั้มเชิงมุมจะคงที่เสมอ เมื่อเปลี่ยนรัศมี ความเร็วการหมุนก็จะเปลี่ยน เมื่อมองโลกจากด้านบน การเคลื่อนที่ของลมลงทางใต้ (นับจากขั้วโลกเหนือ) ก็เหมือนการขยายวงแขนของการหมุนบนเก้าอี้
กระแสลมของโลกกับแรงโคริออลิส
กระแสลมหลักๆของโลกมาจากความต่างศักย์ของอุณหภูมิ บริเวณเส้นศูนย์สูตรนั้นร้อน อากาศเบาก็ขยายตัว เมื่อขยายตัวความหนาแน่นก็ต่ำ เราเรียกว่าความกดอากาศต่ำ และอากาศจากที่เย็นกว่าก็จะเคลื่อนเข้าหาแหล่งความกดอากาศต่ำ ซึ่งก็คือ ทางซีกโลกเหนือ อากาศไหลจากตอนเหนือลงใต้ และซีกโลกใต้ อากาศจะไหลจากใต้ขึ้นเหนือ ทีนี้ จากที่อธิบายไปก่อนหน้าที่เรื่องการอนุรักษ์โมเมนตั้มเชิงมุม
รูปที่ 2: การเปลี่ยนของความเร็วในแนว ตะวันออก – ตะวันตก จากการออกห่าง และเข้าใกล้แกนหมุนทำห้เกิดการเวียนของลม
เพราะโลกเรากลม และหมุนรอบแกนตัวเอง ถ้าเรามองโลกจากด้านบนซีกโลกเหนือ การเคลื่อนที่ของลมจากทางตอนเหนือลงใต้ มันคือการเคลื่อนที่ออกห่างจากแกนหมุนของโลก รัศมีการหมุนของมวลอากาศก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้น ... ความเร็วของกระแสลม ตามทิศทางการหมุนของโลก จะต้องลดลงเพื่อทำให้โมเมนตั้มเชิงมุมคงที่ และ มันทำให้ลมที่ไหลไปทางตอนใต้ ดูเหมือนเลี้ยวไปทางด้านขวาทางทิศตะวันตกเสมอ ส่วนกระแสลมที่พัดขึ้นไปทางด้านบน รัศมีจากแกนหมุนของโลกจะน้อยลง
รูปที่ 3: ลมสินค้า การวนขวาในซีกโลกเหนือ และวนซ้ายในซีกโลกใต้ เป็นผลจาก Coriolis effect
ตามหลักการอนุรักษ์โมเมนตั้มเชิงมุม ความเร็วในแนวการหมุนของโลกของลมจะต้องมากขึ้น และทำให้ ลมที่พัดขึ้นข้างบนดูเหมือนเลี้ยวขวาไปทางทิศตะวันออกเสมอ ส่วนซีกโลกใต้ ปรากฎการณ์นี้จะกลับข้างกันเพราะการไหลของลมจากทางใต้ลงมาทางตอนเหนือ เป็นการเพิ่มรัศมี ความเร็วตามทิศการหมุนของโลกจะต้องลดลง และทำให้มัน เลี้ยวซ้ายไปทางทิศตะวันตกนั่นเอง อ่านถึงตรงนี้ คิดว่าคงมีบางคนอาจเริ่มงงๆเล็กน้อยว่า ถ้าลมในซีกโลกเหนือมันต้องเลี้ยวขวาไปทางทิศตะวันตก นี่มันก็คือการหมุนตามเข็มนาฬิกานี่นา แต่เวลาเกิดพายุ ทำไมพายุทางซีกโลกเหนือถึงวนทวนเข็มนาฬิกา ตรงนี้ เดี๋ยวจะอธิบายในตอนต่อไป
ทิศการหมุนของพายุ กับแรงโคริออลิส
พายุ เป็นการไหลของอากาศจากแหล่งความกดอากาศสูง ไปสู่แหล่งความกดอากาศต่ำ ซึ่ง แหล่งความกดอากาศต่ำสุด อยู่ที่ตาพายุ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของการหมุนนั่นเอง
รูปที่ 4: เวคเตอร์การเคลื่อนไหวของลมที่พัดเข้าสู่ตาพายุ
ถ้าตาของพายุนี้ อยู่ที่ซีกโลกเหนือ
* กระแสลมทิศเหนือที่มุ่งเข้าหาตาพายุจะเพิ่มรัศมีการหมุนรอบแกนโลก มันจะลดความเร็วแล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันตก
* กระแสลมทิศใต้ที่มุ่งเข้าหาตาพายุจะลดรัศมีการหมุนรอบแกนโลก มันจะเพิ่มความเร็วแล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันออก
เราจะเห็นว่า เมื่อกระแสลมที่พัดเข้าหมุนวนไปด้านขวา มันจะทำให้กระแสลมของพายุหมุนวนด้านซ้ายรอบตาพายุ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมพายุทางซีกโลกเหนือถึงหมุนวนด้านซ้ายทวนเข็มนาฬิกา และถ้าเราคิดในทางกลับกัน
ถ้าตาของพายุนี้ อยู่ที่ซีกโลกใต้
* กระแสลมทิศเหนือที่มุ่งเข้าหาตาพายุจะลดรัศมีการหมุนรอบแกนโลก มันจะเพิ่มความเร็วแล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันออก
* กระแสลมทิศใต้ที่มุ่งเข้าหาตาพายุจะเพิ่มรัศมีการหมุนรอบแกนโลก มันจะลดความเร็วแล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันตก
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับกระแสน้ำวนเช่นกัน ณ จุดศูนย์กลางของน้ำวนเป็นจุดที่น้ำพยายามไหลเข้า น้ำที่ไหลเข้าตาของวังน้ำวนทางทิศเหนือจะออกห่างจากแกนหมุนของโลกทำให้มันลดความเร็วแล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันตก น้ำที่ไหลเข้าจากทิศใต้จะเข้าใกล้แกนหมุนของโลกทำให้มันเพิ่มความเร็วแล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันออก การหมุนของน้ำวนในซีกโลกเหนือก็จึงมักจะหมุนทวนเข็มนาฬิกาด้วยเหตุนี้นั่นเอง
รูปที่ 5: คำถาม บอกได้ไหมว่าพายุนี้ เกิดขึ้นที่ฝั่งซีกโลกเหนือหรือซีกโลกใต้?
แรงโคริออลิสในระบบแรงโน้มถ่วงเทียมของยานอวกาศ
สมมุติเรากำลังอยู่บนโคโลนีอวกาศ ไซด์ 7 และเราโยนลูกบอลขึ้นไปตรงๆและพยายามรอรับ เราจะพบว่า ไม่ว่าเราจะหันหน้า หันข้าง กลับหลังโยน ลูกบอล มันจะต้องโค้งไปตกทางด้านทิศการหมุนเสมอ ไม่มีตกลงมาตรงๆ นั่นเป็นเพราะ ลูกบอลที่โยนเข้าหาจุดศูนย์กลางการหมุนของโคโลนีอวกาศ เพิ่มความเร็วขึ้นตามหลักการอนุรักษ์โมเมนตั้มเชิงมุมนั่นเอง

รูปที่ 6: การสร้างส้วมใน Space colony ควรหันหน้าโถไปตรงข้ามกับทิศทางการหมุนของโคโลนี เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากแรง Coriolis
ไม่ว่าจะยานอวกาศหรือ space colony ที่ใช้การหมุนรอบตัวเองในการสร้างแรงโน้มถ่วง ปรากฎการณ์โคริออลิสจะเกิดขึ้นอยู่รอบตัว และยิ่งขนาดของการหมุน ขนาดของโคโลนีอวกาศ หรือยานอวกาศ เล็กลงเท่าไร ผลกระทบของแรงโคริออลิสจะยิ่งแรงมากขึ้นเท่านั้น
สมมุติว่าเราอยู่ในยานอวกาศรัศมีขนาด 10 เมตรที่สร้างแรงโน้มถ่วงเทียมขนาด 1 g ด้วยการหมุนรอบตัวเอง เราที่กำลังนั่งอยู่กับพื้นตัดสินใจยืนขึ้น พริบตานั้น เราจะรู้สึกว่าเราต้องใช้แรงมากกว่าปรกติในการยืน แถมเราจะเซล้มอีกต่างหาก เพราะการลุกขึ้นยืน เรากำลังยก center of mass ของเราเข้าใกล้จุดศูนย์กลางการหมุนมากขึ้น ความเร็วเชิงมุมของเราจะเพิ่มขึ้น ถ้าคิดคร่าวๆ ให้ center of mass ยกสูงขึ้น 1 เมตร ความเร็วเชิงมุมของเราจะเพิ่มขึ้นราว 10% และจากความเร็วเชิงมุม แปลงเป็นแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ นั่นจะเท่ากับแรงโน้มถ่วงเทียมเพิ่มขึ้นมาทันที 37%
รูปที่ 7: ยาน Hermes ของ Martian และยาน Endurance ของ Interstellar มีลักษณะเหมือนกันคือการมีการสร้างแรงโน้มถ่วงเทียมจากแรงเหวี่ยงหนีศูนย์เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพจากการอยู่ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วงเป็นเวลานาน
แต่ถ้ายานอวกาศนั้นมีรัศมีการหมุนที่ขนาด 30 เมตรและสร้างแรงโน้มถ่วงขนาด 1 g เหมือนกัน การเปลี่ยนของความเร็วเชิงมุมจากการลุกนี้จะอยู่แค่ในระดับ 3% ส่วนแรงโน้มถ่วงจะเสมือนเปลี่ยนเพียง 10%
สำหรับร่างกายคนเรา เรามีการไหลเวียนของโลหิต กระแสเลือดที่ไหลขึ้นด้านบนจะมีความเร็วเชิงมุมเพิ่ม และเพราะอยู่ข้างในร่างกายมันก็จะออกมาในลักษณะการเหวี่ยงแกว่ง เป็นการเปลี่ยนของความดัน การดำรงชีวิตอยู่ในเครื่องเหวี่ยงสร้างแรงโน้มถ่วงนี้ ถ้ายานอวกาศ หรือโคโลนีอวกาศมีขนาดเล็ก มนุษย์ที่อาศัยอยู่จะมีอาการเมาอวกาศจากปรากฎการณ์โคริออลิสมาก วิธีการลดการเมาอวกาศจากการเหวี่ยงนี้ ทำได้โดย ลดความเร็วการเหวี่ยง แทนจะสร้างแรงโน้มถ่วง 1 g ก็เอาสัก 0.1 – 0.2 g ก็พอ สำหรับยาน Hermes ของ Martian รัศมีการหมุนที่ 10 – 14 เมตรก็ไม่ได้แย่เกินไปนัก แต่ถ้าหากจะเอาไปใช้ในการเดินทางยาวนานแบบยาน Endurance ของ Interstellar ละก็ ขนาดรัศมีแถวๆ 32 – 33 เมตร มนุษย์อวกาศจะอยู่สบายกว่าโดยไม่มึนอวกความดันขึ้นปรี๊ดๆไปกับปรากฎการณ์โคริออลิสตอนลุกๆนั่งๆในยานนั่นเอง
Coriolis effect
วัตถุที่มีความเร็วก็ย่อมจะมีพลังงาน ซึ่งพลังงานไม่มีวันสูญหายแต่เปลี่ยนรูปได้ ในระบบที่มีการหมุนก็เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงของความเร็วเชิงมุมในระบบที่มีการหมุนโดยที่พลังงานคงที่ คือพื้นฐานของปรากฎการณ์ Coriolis effect บทความนี้ เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับ สิ่งที่เรียกกันว่าแรงโคริออลิสกับปรากฎการณ์ต่างๆบนโลก และ นอกโลก ที่เกี่ยวข้องกับมัน
Coriolis effect บางครั้งก็ถูกเรียกว่า แรง หรือ Coriolis force แต่ Coriolis effect ไม่ใช่แรง มันเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดจากการอนุรักษ์โมเมนตั้มเชิงมุม ดังนั้นเราควรเรียกมันว่าปรากฎการณ์โคริออลิสจึงจะถูกต้อง การจะเข้าใจปรากฎการณนี้ เราต้องเข้าใจพื้นฐานทางฟิสิกส์ของการหมุนกันเล็กน้อย
สมมุติเราอยู่บนเก้าอี้ที่หมุนอยู่ เวลาเรากางแขนออก เราจะหมุนช้าลง แต่เวลาเราหดแขนเข้า เราจะหมุนเร็วขึ้น นั่นเพราะ ในกฎการอนุรักษ์โมเมนตั้มเชิงมุม โมเมนตั้มเชิงมุม คือผลคูณของ มวล ความเร็ว และ รัศมีของการหมุน การกางแขน คือการเพิ่มรัศมีการหมุน เมื่อโมเมนตั้มเชิงมุมมีการอนุรักษ์ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ความเร็วของเราจะต้องลดลง และถ้าเราหดแขนเข้า รัศมีการหมุนเราลดลง ความเร็วในการหมุนก็ย่อมจะต้องเพิ่มขึ้น หลักการตรงนี้เอง คือพื้นฐานของแรงโคริออลิส ที่ทำให้กระแสลมของซีกโลกเหนือที่พัดลงมาต้องเอี้ยวไปทางขวาของตัวมันเสมอ มันเป็นสิ่งที่ทำให้พายุบนซีกโลกเหนือต้องหมุนวนซ้ายทวนเข็มนาฬิกา การที่ยาน Endurance ในหนังเรื่อง Interstellar ต้องมีขนาดใหญ่ถึง 65 เมตรไม่ให้นักบินอวกาศเมาและเซเวลาลุกขึ้นยืน
รูปที่ 1: โมเมนตั้มเชิงมุมจะคงที่เสมอ เมื่อเปลี่ยนรัศมี ความเร็วการหมุนก็จะเปลี่ยน เมื่อมองโลกจากด้านบน การเคลื่อนที่ของลมลงทางใต้ (นับจากขั้วโลกเหนือ) ก็เหมือนการขยายวงแขนของการหมุนบนเก้าอี้
กระแสลมของโลกกับแรงโคริออลิส
กระแสลมหลักๆของโลกมาจากความต่างศักย์ของอุณหภูมิ บริเวณเส้นศูนย์สูตรนั้นร้อน อากาศเบาก็ขยายตัว เมื่อขยายตัวความหนาแน่นก็ต่ำ เราเรียกว่าความกดอากาศต่ำ และอากาศจากที่เย็นกว่าก็จะเคลื่อนเข้าหาแหล่งความกดอากาศต่ำ ซึ่งก็คือ ทางซีกโลกเหนือ อากาศไหลจากตอนเหนือลงใต้ และซีกโลกใต้ อากาศจะไหลจากใต้ขึ้นเหนือ ทีนี้ จากที่อธิบายไปก่อนหน้าที่เรื่องการอนุรักษ์โมเมนตั้มเชิงมุม
รูปที่ 2: การเปลี่ยนของความเร็วในแนว ตะวันออก – ตะวันตก จากการออกห่าง และเข้าใกล้แกนหมุนทำห้เกิดการเวียนของลม
เพราะโลกเรากลม และหมุนรอบแกนตัวเอง ถ้าเรามองโลกจากด้านบนซีกโลกเหนือ การเคลื่อนที่ของลมจากทางตอนเหนือลงใต้ มันคือการเคลื่อนที่ออกห่างจากแกนหมุนของโลก รัศมีการหมุนของมวลอากาศก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้น ... ความเร็วของกระแสลม ตามทิศทางการหมุนของโลก จะต้องลดลงเพื่อทำให้โมเมนตั้มเชิงมุมคงที่ และ มันทำให้ลมที่ไหลไปทางตอนใต้ ดูเหมือนเลี้ยวไปทางด้านขวาทางทิศตะวันตกเสมอ ส่วนกระแสลมที่พัดขึ้นไปทางด้านบน รัศมีจากแกนหมุนของโลกจะน้อยลง
รูปที่ 3: ลมสินค้า การวนขวาในซีกโลกเหนือ และวนซ้ายในซีกโลกใต้ เป็นผลจาก Coriolis effect
ตามหลักการอนุรักษ์โมเมนตั้มเชิงมุม ความเร็วในแนวการหมุนของโลกของลมจะต้องมากขึ้น และทำให้ ลมที่พัดขึ้นข้างบนดูเหมือนเลี้ยวขวาไปทางทิศตะวันออกเสมอ ส่วนซีกโลกใต้ ปรากฎการณ์นี้จะกลับข้างกันเพราะการไหลของลมจากทางใต้ลงมาทางตอนเหนือ เป็นการเพิ่มรัศมี ความเร็วตามทิศการหมุนของโลกจะต้องลดลง และทำให้มัน เลี้ยวซ้ายไปทางทิศตะวันตกนั่นเอง อ่านถึงตรงนี้ คิดว่าคงมีบางคนอาจเริ่มงงๆเล็กน้อยว่า ถ้าลมในซีกโลกเหนือมันต้องเลี้ยวขวาไปทางทิศตะวันตก นี่มันก็คือการหมุนตามเข็มนาฬิกานี่นา แต่เวลาเกิดพายุ ทำไมพายุทางซีกโลกเหนือถึงวนทวนเข็มนาฬิกา ตรงนี้ เดี๋ยวจะอธิบายในตอนต่อไป
ทิศการหมุนของพายุ กับแรงโคริออลิส
พายุ เป็นการไหลของอากาศจากแหล่งความกดอากาศสูง ไปสู่แหล่งความกดอากาศต่ำ ซึ่ง แหล่งความกดอากาศต่ำสุด อยู่ที่ตาพายุ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของการหมุนนั่นเอง
รูปที่ 4: เวคเตอร์การเคลื่อนไหวของลมที่พัดเข้าสู่ตาพายุ
ถ้าตาของพายุนี้ อยู่ที่ซีกโลกเหนือ
* กระแสลมทิศเหนือที่มุ่งเข้าหาตาพายุจะเพิ่มรัศมีการหมุนรอบแกนโลก มันจะลดความเร็วแล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันตก
* กระแสลมทิศใต้ที่มุ่งเข้าหาตาพายุจะลดรัศมีการหมุนรอบแกนโลก มันจะเพิ่มความเร็วแล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันออก
เราจะเห็นว่า เมื่อกระแสลมที่พัดเข้าหมุนวนไปด้านขวา มันจะทำให้กระแสลมของพายุหมุนวนด้านซ้ายรอบตาพายุ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมพายุทางซีกโลกเหนือถึงหมุนวนด้านซ้ายทวนเข็มนาฬิกา และถ้าเราคิดในทางกลับกัน
ถ้าตาของพายุนี้ อยู่ที่ซีกโลกใต้
* กระแสลมทิศเหนือที่มุ่งเข้าหาตาพายุจะลดรัศมีการหมุนรอบแกนโลก มันจะเพิ่มความเร็วแล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันออก
* กระแสลมทิศใต้ที่มุ่งเข้าหาตาพายุจะเพิ่มรัศมีการหมุนรอบแกนโลก มันจะลดความเร็วแล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันตก
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับกระแสน้ำวนเช่นกัน ณ จุดศูนย์กลางของน้ำวนเป็นจุดที่น้ำพยายามไหลเข้า น้ำที่ไหลเข้าตาของวังน้ำวนทางทิศเหนือจะออกห่างจากแกนหมุนของโลกทำให้มันลดความเร็วแล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันตก น้ำที่ไหลเข้าจากทิศใต้จะเข้าใกล้แกนหมุนของโลกทำให้มันเพิ่มความเร็วแล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันออก การหมุนของน้ำวนในซีกโลกเหนือก็จึงมักจะหมุนทวนเข็มนาฬิกาด้วยเหตุนี้นั่นเอง
แรงโคริออลิสในระบบแรงโน้มถ่วงเทียมของยานอวกาศ
สมมุติเรากำลังอยู่บนโคโลนีอวกาศ ไซด์ 7 และเราโยนลูกบอลขึ้นไปตรงๆและพยายามรอรับ เราจะพบว่า ไม่ว่าเราจะหันหน้า หันข้าง กลับหลังโยน ลูกบอล มันจะต้องโค้งไปตกทางด้านทิศการหมุนเสมอ ไม่มีตกลงมาตรงๆ นั่นเป็นเพราะ ลูกบอลที่โยนเข้าหาจุดศูนย์กลางการหมุนของโคโลนีอวกาศ เพิ่มความเร็วขึ้นตามหลักการอนุรักษ์โมเมนตั้มเชิงมุมนั่นเอง
ไม่ว่าจะยานอวกาศหรือ space colony ที่ใช้การหมุนรอบตัวเองในการสร้างแรงโน้มถ่วง ปรากฎการณ์โคริออลิสจะเกิดขึ้นอยู่รอบตัว และยิ่งขนาดของการหมุน ขนาดของโคโลนีอวกาศ หรือยานอวกาศ เล็กลงเท่าไร ผลกระทบของแรงโคริออลิสจะยิ่งแรงมากขึ้นเท่านั้น
สมมุติว่าเราอยู่ในยานอวกาศรัศมีขนาด 10 เมตรที่สร้างแรงโน้มถ่วงเทียมขนาด 1 g ด้วยการหมุนรอบตัวเอง เราที่กำลังนั่งอยู่กับพื้นตัดสินใจยืนขึ้น พริบตานั้น เราจะรู้สึกว่าเราต้องใช้แรงมากกว่าปรกติในการยืน แถมเราจะเซล้มอีกต่างหาก เพราะการลุกขึ้นยืน เรากำลังยก center of mass ของเราเข้าใกล้จุดศูนย์กลางการหมุนมากขึ้น ความเร็วเชิงมุมของเราจะเพิ่มขึ้น ถ้าคิดคร่าวๆ ให้ center of mass ยกสูงขึ้น 1 เมตร ความเร็วเชิงมุมของเราจะเพิ่มขึ้นราว 10% และจากความเร็วเชิงมุม แปลงเป็นแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ นั่นจะเท่ากับแรงโน้มถ่วงเทียมเพิ่มขึ้นมาทันที 37%
รูปที่ 7: ยาน Hermes ของ Martian และยาน Endurance ของ Interstellar มีลักษณะเหมือนกันคือการมีการสร้างแรงโน้มถ่วงเทียมจากแรงเหวี่ยงหนีศูนย์เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพจากการอยู่ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วงเป็นเวลานาน
แต่ถ้ายานอวกาศนั้นมีรัศมีการหมุนที่ขนาด 30 เมตรและสร้างแรงโน้มถ่วงขนาด 1 g เหมือนกัน การเปลี่ยนของความเร็วเชิงมุมจากการลุกนี้จะอยู่แค่ในระดับ 3% ส่วนแรงโน้มถ่วงจะเสมือนเปลี่ยนเพียง 10%
สำหรับร่างกายคนเรา เรามีการไหลเวียนของโลหิต กระแสเลือดที่ไหลขึ้นด้านบนจะมีความเร็วเชิงมุมเพิ่ม และเพราะอยู่ข้างในร่างกายมันก็จะออกมาในลักษณะการเหวี่ยงแกว่ง เป็นการเปลี่ยนของความดัน การดำรงชีวิตอยู่ในเครื่องเหวี่ยงสร้างแรงโน้มถ่วงนี้ ถ้ายานอวกาศ หรือโคโลนีอวกาศมีขนาดเล็ก มนุษย์ที่อาศัยอยู่จะมีอาการเมาอวกาศจากปรากฎการณ์โคริออลิสมาก วิธีการลดการเมาอวกาศจากการเหวี่ยงนี้ ทำได้โดย ลดความเร็วการเหวี่ยง แทนจะสร้างแรงโน้มถ่วง 1 g ก็เอาสัก 0.1 – 0.2 g ก็พอ สำหรับยาน Hermes ของ Martian รัศมีการหมุนที่ 10 – 14 เมตรก็ไม่ได้แย่เกินไปนัก แต่ถ้าหากจะเอาไปใช้ในการเดินทางยาวนานแบบยาน Endurance ของ Interstellar ละก็ ขนาดรัศมีแถวๆ 32 – 33 เมตร มนุษย์อวกาศจะอยู่สบายกว่าโดยไม่มึนอวกความดันขึ้นปรี๊ดๆไปกับปรากฎการณ์โคริออลิสตอนลุกๆนั่งๆในยานนั่นเอง