คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 20
ผมไม่เชื่อว่าการดูจิตเฉยๆ จะสามารถเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ครับ
ไม่งั้นพระสายป่า สายปฏิบัติจริงๆ ท่านคงไม่ออกบวชหรืออดข้าวอดน้ำ เดินดงดั้นป่าให้หลงป่า ให้ยุงกัดจนเป็นไข้ป่าหรอกครับ
บางรูปแทบเอาชีวิตไม่รอด บางรูปเดินจงกรมจนขาลาก นั่งสมาธิจนน้ำตาไหล เพราะสู้กับความปวด
ทำไมพระเหล่านั้นท่านไม่บอก ไม่สอนกัน ให้ดูแค่จิตเฉยๆ กินสบายๆ กินไปดูจิตไป นอนสบายๆ นอนไปดูจิตไป
ดูหนังฟังเพลงก็รู้ว่ากำลังดูหนัง ดูซื่อๆ ฟังเพลงก็ฟังเฉยๆ ไม่เคยได้ยินท่านเหล่านั้นบอกสอนกันเลย
มีแต่บอกให้เดินจงกรมจนมันขาขาดไปเลย นั่งสมาธิก็บอกให้นั่งมันจนก้นแตกไปเลย
ผมยังไม่เคยเห็นพระรูปไหน ที่ดูจิตเฉยๆแล้วบรรลุธรรม
หลวงปู่...ท่านบอกว่า ดูจิต มันก็ดูตามใจกิเลสนั่นละ อันไหนมันไม่อยากดู มันก็จะไม่ดู อันไหนมันชอบมันก็ดูทั้งวัน
คิดหรือว่า จิตมันจะทันกิเลส กิเลสมันพาให้ดู พาให้ทำ จ้างจิตก็ไม่ทันมัน
ไม่งั้นหลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว คงสอนลูกศิษย์ให้ดูจิตอยู่ที่วัด หรืออยู่ที่บ้านก็พอมั้ง คงไม่บอกให้ไปอยู่ป่าช้า ไปออกธุดงค์ให้ลำบาก
แค่จิตมันคิดล่วงหน้าว่า ไปบิณฑบาตรวันนี้ จะมีใครเอาอะไรมาใส่บาตรเฉยๆ ท่านยังวางบาตรแล้วไปเข้าทางจงกรมเดินทั้งวัน
ไม่ออกบิณฑบาตรเลยวันนั้น สู้กิเลส มันไม่ใช่ทำง่ายๆเพียงแค่จะมาตามดูจิตเฉยๆ แล้วจิตมันจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัดได้
ลองยกตัวอย่างผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ณ ตอนนี้ซักคนครับ คนที่ดูจิตแล้วปล่อยวาง เบื่อหน่าย คลายกำหนัด จนผู้คนได้กราบไหว้มาซักคนหน่อย
หวังว่าคงไม่ยกบุคคลในพระไตรปิฎก ซึ่งไม่เคยมีใครเคยเห็นหน้า หรือไม่เคยได้กราบไหว้มานะครับ
ส่วนหลวงปู่ดูลย์ นั้น ผมเข้าใจว่า ท่านดูจิตคนละแบบกับที่คนเข้าใจ
ไม่งั้นพระสายป่า สายปฏิบัติจริงๆ ท่านคงไม่ออกบวชหรืออดข้าวอดน้ำ เดินดงดั้นป่าให้หลงป่า ให้ยุงกัดจนเป็นไข้ป่าหรอกครับ
บางรูปแทบเอาชีวิตไม่รอด บางรูปเดินจงกรมจนขาลาก นั่งสมาธิจนน้ำตาไหล เพราะสู้กับความปวด
ทำไมพระเหล่านั้นท่านไม่บอก ไม่สอนกัน ให้ดูแค่จิตเฉยๆ กินสบายๆ กินไปดูจิตไป นอนสบายๆ นอนไปดูจิตไป
ดูหนังฟังเพลงก็รู้ว่ากำลังดูหนัง ดูซื่อๆ ฟังเพลงก็ฟังเฉยๆ ไม่เคยได้ยินท่านเหล่านั้นบอกสอนกันเลย
มีแต่บอกให้เดินจงกรมจนมันขาขาดไปเลย นั่งสมาธิก็บอกให้นั่งมันจนก้นแตกไปเลย
ผมยังไม่เคยเห็นพระรูปไหน ที่ดูจิตเฉยๆแล้วบรรลุธรรม
หลวงปู่...ท่านบอกว่า ดูจิต มันก็ดูตามใจกิเลสนั่นละ อันไหนมันไม่อยากดู มันก็จะไม่ดู อันไหนมันชอบมันก็ดูทั้งวัน
คิดหรือว่า จิตมันจะทันกิเลส กิเลสมันพาให้ดู พาให้ทำ จ้างจิตก็ไม่ทันมัน
ไม่งั้นหลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว คงสอนลูกศิษย์ให้ดูจิตอยู่ที่วัด หรืออยู่ที่บ้านก็พอมั้ง คงไม่บอกให้ไปอยู่ป่าช้า ไปออกธุดงค์ให้ลำบาก
แค่จิตมันคิดล่วงหน้าว่า ไปบิณฑบาตรวันนี้ จะมีใครเอาอะไรมาใส่บาตรเฉยๆ ท่านยังวางบาตรแล้วไปเข้าทางจงกรมเดินทั้งวัน
ไม่ออกบิณฑบาตรเลยวันนั้น สู้กิเลส มันไม่ใช่ทำง่ายๆเพียงแค่จะมาตามดูจิตเฉยๆ แล้วจิตมันจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัดได้
ลองยกตัวอย่างผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ณ ตอนนี้ซักคนครับ คนที่ดูจิตแล้วปล่อยวาง เบื่อหน่าย คลายกำหนัด จนผู้คนได้กราบไหว้มาซักคนหน่อย
หวังว่าคงไม่ยกบุคคลในพระไตรปิฎก ซึ่งไม่เคยมีใครเคยเห็นหน้า หรือไม่เคยได้กราบไหว้มานะครับ
ส่วนหลวงปู่ดูลย์ นั้น ผมเข้าใจว่า ท่านดูจิตคนละแบบกับที่คนเข้าใจ
แสดงความคิดเห็น
การดูว่าเรากำลังโลภ โกรธ, ดูว่ากำลังยืน เดิน นั่ง นอน, ดูว่ากำลังสุข ทุกข์..ตัดรากเหง้าของกิเลสได้จริงหรือ!?
- พระอรหันต์สุกขวิปัสสกะ ท่านไม่นั่งสมาธิภาวนา อะไรเลยเหรอ?
**************************
2. คำถามสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมในยุคสมัยใหม่
การดูซื่อ ๆ ดูเฉย ๆ
การดู/สังเกต/พิจารณา...อารมณ์ของตนเอง, กิเลสของตนเอง, อิริยาบถของตนเอง...ในการดำเนินชีวิตประจำวัน/ในการทำงาน
โดยไม่ต้องนั่งสมาธิภาวนา ไม่ต้องนั่งหลับตา ไม่ต้องเดินจงกรม ไม่ต้องเพ่งอะไร
...จะทำให้มนุษย์เราตัดรากเหง้าของกิเลสได้ บรรลุนิพพานได้จริงหรือ!?