Green Book คัมภีร์รื่นรมย์ในโลกขื่นขมของคนผิวสี
***ไม่สปอยล์ เพราะไม่ได้พูดถึงหนัง แต่พูดถึงหนังสือจ้า
ในหนังเรื่อง Green Book ไม่เพียงได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวความสัมพันธ์จริงๆ ระหว่างนักดนตรีผิวสีกับคนรับจ้างขับรถเฉพาะกิจของเขา ในยุคแห่งการแบ่งแยกสีผิวของอเมริกา กระทั่งชื่อหนัง ก็หยิบยกมาจากหนังสือที่เคยมีอยู่จริง และมีอิทธิพลต่อคนผิวสีในยุคนั้นจริงๆ ด้วยความที่เราเป็นคนชอบสิ่งพิมพ์และหนังสืออยู่แล้ว รูปเล่มและดีไซน์มันก็ดูสวยดี แถมในหนังก็ไม่ได้พูดถึงมันสักเท่าไหร่ ดูหนังจบเลยขอมาขุดคุ้ยเรื่องราวของกรีนบุ๊กต่ออีกสักหน่อย
1. The Negro Motorist Green Book คือชื่อเต็มยศของหนังสือคู่มือเล่มเขียวๆ ที่ว่า ความเท่คือมันเกิดมาเพื่อเป็นไกด์บุ๊กแบบเฉพาะเจาะจงสำหรับนักเดินทางชาวชนผิวสี แอฟริกัน-อเมริกันในยุค Jim Crow laws (1936-1966) ที่การเหยียดชนผิวสีเป็นสิ่งสามัญและยังไม่ผิดกฎหมาย เรื่องราวเกี่ยวกับกรีนบุ๊คจึงสะท้อนสังคมมนุษย์อันสุดแสนน่ารังเกียจ
2. คำว่า Green ไม่ได้มาเพราะหนังสือมีสีเขียว แต่มาจากชื่อของผู้ให้กำเนิดมัน นามว่า Victor Hugo Green บุรุษไปรษณีย์ผิวสีชาวนิวยอร์ก (ตอนหลังทำสำนักพิมพ์ของตัวเอง) ที่ลุกขึ้นมารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางสำหรับนิโกร เพื่อป้องกันความยากลำบาก ความอับอาย และความเดือดร้อนทุกข์ทนระหว่างทริปท่องเที่ยวหรือการเดินทางไปทำงานของพวกเขา
3. ที่ต้องใช้คำว่าทุกข์ทน เพราะคนผิวสีในยุคเหยียดผิวนั้นนอกจากจะยากจน ถูกกีดกัน และมีรถยนต์เป็นของตัวเองได้ยากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่แม้ว่าพวกเขาจะขยับตัวเองมาเป็นกลุ่มชนชั้นกลางที่มีสตางค์และอยากเดินทางโร้ดทริปหาความสุขแบบคนขาวบ้าง ก็เป็นเรื่องยากมากๆ อยู่ดี มีเงินอย่างเดียวไม่พอ พวกเขาจะต้องเผชิญอันตรายนานาชนิด ความยุ่งยาก การถูกปฏิเสธจากร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม ปั๊มน้ำมัน และสถานที่ของคนขาว หรือแม้กระทั่งโดนตำรวจจับดื้อๆ
4. ความแรงของการเหยียดนี้ ถึงขั้นมีบางเมืองที่รู้กันว่าเป็น Sundown Towns หรือเมืองที่ปกครองโดยคนขาวอย่างเต็มรูปแบบ เมืองพวกนี้ก็จะออกกฎหมายท้องถิ่นที่อนุญาตให้ลงโทษคนผิวสีอย่างไร้ศีลธรรม ถึงขั้นที่มีป้ายติดว่า ‘คนผิวสีต้องออกจากเมืองนี้ไปหลังตะวันตกดิน’
5. แม้จะยอมแพ้กับการท่องเที่ยว แต่คนผิวสีบางกลุ่มก็ยังต้องเดินทางอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะพวกเขาดำรงชีพที่ต้องเดินทางบ่อยๆ เช่น นักกีฬา เซลส์แมน หรือผู้ให้ความบันเทิงอย่างนักแสดง นักดนตรี อย่างเช่นตัวเอกในหนัง
6. กรีนบุ๊กเล่มแรก เกิดขึ้นในปี 1936 มันคือคัมภีร์ที่ปักหมุดแนะนำว่าสถานที่ (โรงแรม ร้านค้า ปั๊มน้ำมัน) ไหนบ้างที่เปิดกว้างรับคนผิวสีได้ โดยโฟกัสในละแวกนิวยอร์กเป็นหลัก แล้วเอดิชั่นถัดๆ มาจึงเริ่มขยายขอบเขตข้อมูลไปสู่อเมริกาตอนเหนือ และครอบคลุมไปจนถึงแคนาดา เม็กซิโก แคริบเบียน และเบอร์มิวด้า
7. มันกลายเป็นไบเบิ้ลสำคัญของสังคมผิวสี แต่กลับเป็นที่รู้จักของโลกน้อยมาก
8. การเดินทางทุกข์ทนอันยาวนานของคนผิวสี ค่อยๆ สิ้นสุดลง เมื่อสิทธิมนุษยชนเป็นฝ่ายชนะใน Civil Rights Act เมื่อปี 1964 กรีนบุ๊กจึงค่อยๆ ลดความจำเป็น และหมดความสำคัญลงไปจนเลิกผลิตในท้ายที่สุด
แม้จะเป็นเรื่องน่าขอบคุณที่กรีนบุ๊กเกิดขึ้นมาบนโลก เพราะมันสร้างความปลอดภัยต่อการเดินทางและใช้ชีวิตของคนผิวสีในยุคอันโหดร้าย แต่มันก็สะท้อนไปสู่คำถามว่า ทำไมคนผิวสีจึงไม่อาจหยิบเอื้อมความสุขเพียงเล็กน้อยในโรงละคร ชายหาด โรงแรม ร้านอาหาร บนเครื่องบิน ในเรือ กลางสนามกอล์ฟ ค้างคืนในรีสอร์ท และกระทำความสุขอื่นๆ เฉกเช่นคนผิวขาวในยุคนั้นเล่า?
คำถามนี้ นำไปสู่สิ่งที่คัมภีร์สีเขียวและหนังเรื่องนี้มอบให้กับเรา คือไม่ว่าจะเป็นการแบ่งแยกในรูปแบบไหน เราจะภาวนาขออย่าให้มันเกิดขึ้น โดยเฉพาะที่ภายในจิตใจของเราเอง
เขียนโดย สลิลา
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Green Book คัมภีร์รื่นรมย์ในโลกขื่นขมของคนผิวสี
Green Book คัมภีร์รื่นรมย์ในโลกขื่นขมของคนผิวสี
***ไม่สปอยล์ เพราะไม่ได้พูดถึงหนัง แต่พูดถึงหนังสือจ้า
ในหนังเรื่อง Green Book ไม่เพียงได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวความสัมพันธ์จริงๆ ระหว่างนักดนตรีผิวสีกับคนรับจ้างขับรถเฉพาะกิจของเขา ในยุคแห่งการแบ่งแยกสีผิวของอเมริกา กระทั่งชื่อหนัง ก็หยิบยกมาจากหนังสือที่เคยมีอยู่จริง และมีอิทธิพลต่อคนผิวสีในยุคนั้นจริงๆ ด้วยความที่เราเป็นคนชอบสิ่งพิมพ์และหนังสืออยู่แล้ว รูปเล่มและดีไซน์มันก็ดูสวยดี แถมในหนังก็ไม่ได้พูดถึงมันสักเท่าไหร่ ดูหนังจบเลยขอมาขุดคุ้ยเรื่องราวของกรีนบุ๊กต่ออีกสักหน่อย
1. The Negro Motorist Green Book คือชื่อเต็มยศของหนังสือคู่มือเล่มเขียวๆ ที่ว่า ความเท่คือมันเกิดมาเพื่อเป็นไกด์บุ๊กแบบเฉพาะเจาะจงสำหรับนักเดินทางชาวชนผิวสี แอฟริกัน-อเมริกันในยุค Jim Crow laws (1936-1966) ที่การเหยียดชนผิวสีเป็นสิ่งสามัญและยังไม่ผิดกฎหมาย เรื่องราวเกี่ยวกับกรีนบุ๊คจึงสะท้อนสังคมมนุษย์อันสุดแสนน่ารังเกียจ
2. คำว่า Green ไม่ได้มาเพราะหนังสือมีสีเขียว แต่มาจากชื่อของผู้ให้กำเนิดมัน นามว่า Victor Hugo Green บุรุษไปรษณีย์ผิวสีชาวนิวยอร์ก (ตอนหลังทำสำนักพิมพ์ของตัวเอง) ที่ลุกขึ้นมารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางสำหรับนิโกร เพื่อป้องกันความยากลำบาก ความอับอาย และความเดือดร้อนทุกข์ทนระหว่างทริปท่องเที่ยวหรือการเดินทางไปทำงานของพวกเขา
3. ที่ต้องใช้คำว่าทุกข์ทน เพราะคนผิวสีในยุคเหยียดผิวนั้นนอกจากจะยากจน ถูกกีดกัน และมีรถยนต์เป็นของตัวเองได้ยากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่แม้ว่าพวกเขาจะขยับตัวเองมาเป็นกลุ่มชนชั้นกลางที่มีสตางค์และอยากเดินทางโร้ดทริปหาความสุขแบบคนขาวบ้าง ก็เป็นเรื่องยากมากๆ อยู่ดี มีเงินอย่างเดียวไม่พอ พวกเขาจะต้องเผชิญอันตรายนานาชนิด ความยุ่งยาก การถูกปฏิเสธจากร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม ปั๊มน้ำมัน และสถานที่ของคนขาว หรือแม้กระทั่งโดนตำรวจจับดื้อๆ
4. ความแรงของการเหยียดนี้ ถึงขั้นมีบางเมืองที่รู้กันว่าเป็น Sundown Towns หรือเมืองที่ปกครองโดยคนขาวอย่างเต็มรูปแบบ เมืองพวกนี้ก็จะออกกฎหมายท้องถิ่นที่อนุญาตให้ลงโทษคนผิวสีอย่างไร้ศีลธรรม ถึงขั้นที่มีป้ายติดว่า ‘คนผิวสีต้องออกจากเมืองนี้ไปหลังตะวันตกดิน’
5. แม้จะยอมแพ้กับการท่องเที่ยว แต่คนผิวสีบางกลุ่มก็ยังต้องเดินทางอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะพวกเขาดำรงชีพที่ต้องเดินทางบ่อยๆ เช่น นักกีฬา เซลส์แมน หรือผู้ให้ความบันเทิงอย่างนักแสดง นักดนตรี อย่างเช่นตัวเอกในหนัง
6. กรีนบุ๊กเล่มแรก เกิดขึ้นในปี 1936 มันคือคัมภีร์ที่ปักหมุดแนะนำว่าสถานที่ (โรงแรม ร้านค้า ปั๊มน้ำมัน) ไหนบ้างที่เปิดกว้างรับคนผิวสีได้ โดยโฟกัสในละแวกนิวยอร์กเป็นหลัก แล้วเอดิชั่นถัดๆ มาจึงเริ่มขยายขอบเขตข้อมูลไปสู่อเมริกาตอนเหนือ และครอบคลุมไปจนถึงแคนาดา เม็กซิโก แคริบเบียน และเบอร์มิวด้า
7. มันกลายเป็นไบเบิ้ลสำคัญของสังคมผิวสี แต่กลับเป็นที่รู้จักของโลกน้อยมาก
8. การเดินทางทุกข์ทนอันยาวนานของคนผิวสี ค่อยๆ สิ้นสุดลง เมื่อสิทธิมนุษยชนเป็นฝ่ายชนะใน Civil Rights Act เมื่อปี 1964 กรีนบุ๊กจึงค่อยๆ ลดความจำเป็น และหมดความสำคัญลงไปจนเลิกผลิตในท้ายที่สุด
แม้จะเป็นเรื่องน่าขอบคุณที่กรีนบุ๊กเกิดขึ้นมาบนโลก เพราะมันสร้างความปลอดภัยต่อการเดินทางและใช้ชีวิตของคนผิวสีในยุคอันโหดร้าย แต่มันก็สะท้อนไปสู่คำถามว่า ทำไมคนผิวสีจึงไม่อาจหยิบเอื้อมความสุขเพียงเล็กน้อยในโรงละคร ชายหาด โรงแรม ร้านอาหาร บนเครื่องบิน ในเรือ กลางสนามกอล์ฟ ค้างคืนในรีสอร์ท และกระทำความสุขอื่นๆ เฉกเช่นคนผิวขาวในยุคนั้นเล่า?
คำถามนี้ นำไปสู่สิ่งที่คัมภีร์สีเขียวและหนังเรื่องนี้มอบให้กับเรา คือไม่ว่าจะเป็นการแบ่งแยกในรูปแบบไหน เราจะภาวนาขออย่าให้มันเกิดขึ้น โดยเฉพาะที่ภายในจิตใจของเราเอง
เขียนโดย สลิลา
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/