Simien Mountain, Ethiopia ไม่ตั้งใจจะไปแต่ประทับใจจริงๆ


      สวัสดีครับ ผมไปเที่ยว Ethiopia โดยมีจุดมุ่งหมายไปที่ Danakil Depression แต่ในโปรแกรมที่ทาง Agency จัดไว้ดันมี Simien Mountain 3 วัน 2 คืน อยู่ด้วย ซึ่งเป็นสถานที่ไม่ได้ตั้งใจจะไป อ่านรีวิวมาคร่าว ๆ รู้แค่ว่า มีลิงบาบูนที่มีรูปหัวใจกลางหน้าอก มี Ethiopian Wolf ที่ใกล้สูญพันธุ์และพบได้แค่ที่นี่ที่เดียว จึงตัดสินใจเอาวะ ไปก็ไป ตาม Agency จัดไว้นี่แหละ โดยไม่ทราบอะไรมากมาย ว่าจะเดินกี่ กม. จุดตั้งแคมป์ชื่ออะไร ขึ้นเขากี่ กม. รู้แค่ว่าอยู่สูงประมาณ 3500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ทำให้มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรค High altitude sickness, ใครจะไปก็เตรียมตัวเผื่อด้วยนะครับ ส่วนผมไม่ได้กินยาไปครับเพราะปกติก็วิ่งประจำอยู่แล้ว เลยคิดว่าไหวครับ  ห้องน้ำจริงๆมีให้ครับ แต่ผมไม่เคยเข้า ก็อาศัยป่า , ห้องอาบน้ำไม่มี , อากาศหนาวตอนกลางคืน 3-5 องศา กลางวันประมาณ 15 องศา , เดินวันแรก 5 ชม. วันที่ 2 ทั้งวันประมาณ 16 กม. วันที่ 3 เดิน 6-7 ชม. แล้วแต่ความเร็วที่ทำได้ครับ, เหนื่อยมั้ย? เหนื่อยมาก T_T, สวยมั้ย ส่วนตัวผมว่าสวยมาก สวยกว่า Poon hill ที่ผมเคยไป เพราะระหว่างทางได้เห็นอะไรเยอะกว่า วิวสวยกว่าครับ
       ผมบินสายการบิน Kenya airline โดย Transit ที่ Nairobi ประเทศ Kenya พอมาถึงกรุง Addis Ababa เมื่องหลวงประเทศ Ethiopia ก็มีพลขับมารับที่สนามบินเพื่อไป Office ของ Agency หลังจากจ่ายเงินค่าทัวร์เรียบร้อย ก็มาสนามบินเพื่อที่จะบินไปยังเมือง Gondar ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ทางเหนือและเป็นเมืองเก่าแก่ของประเทศนี้ มาถึงสนามบินก็มีพลขับมารับและพาไปเที่ยงที่ Fasil Ghebbi ซึ่งเป็นซากปรักหักพังของ ปราสาทของกษัตริย์ Fasil โดยมีไกด์คอยให้ข้อมูลต่างๆ ทั้งเรื่องตัวปราสาท ห้องโถง กรงเลี้ยงสิงโต


        บริเวณปราสาทค่อนข้างกว้าง เดินชมประมาณ 1-2 ชม. ก็ครบครับ พร้อมฟังเรื่องราวจากไกด์เพลินๆ หลังจากนั้นก็มาพักที่โรงแรมและเตรียมตัวไป Simien mountain, ร้านอาหารที่ใครๆแนะนำก็คือ Four sister ครับ ผมไปกินก็ไม่ค่อยถูกปากกับอาหารเอธิโอเปียเท่าไร
        ตื่นเช้ามามีรถของอีกบริษัทมารับ และต้องรอผู้ร่วมเดินทางอีก 2 คน เป็นชาวอังกฤษ ตอนนี้รวมผมด้วย รวมเป็น 3 คน พอถึงเวลาก็เดินทางออกจากเมือง Gondar เพื่อที่จะไป Office ของ Simien Mountain ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ยางแตกกกกก!!!! และทำให้รู้ว่า "Ethipian มุงก็มีเหมือนกัน"
     
   

         Simien mountain มรดกโลก การจะเข้าไปต้องมี Scout และ ไกด์ คิดว่าน่าจะเป็นกฏของอุทยานนะครับ Scout ถือปืน AK มีหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยจากสัตว์ดุร้าย และไกด์บอกบางทีจะมีชาวบ้านมาขโมยของ จึงจำเป็นต้องมี ส่วนไกด์ไม่มีก็ไม่ได้เพราะไม่มีอาจจะหลงทางครับ พอมาถึง Office ก็จะมีเจ้าหน้าที่แนะนำว่าต้องเดินทางไปตรงไหน และตรงข้ามจะมีโรงแรมซึ่งเขาจะเตรียมอาหารเที่ยงไว้ให้ นอกจากนี้ยังมีนักเดินทางมาเพิ่ม 2 คนเป็นชาวอังกฤษเช่นกัน 2 คนนี้เป็นแฟนกัน ดังนั้นรวมทั้งหมดจะมี 5 คน ไทย 1 คน อังกฤษอีก 4 ครับ เติมพลังกันเสร็จก็เดินทางด้วยรถยนต์ต่อไปยังจุดเริ่มต้นของการ Trek ซึ่งต้องมีการทำ Paper work ที่จุดตรวจ พอผ่านมาได้สักพักจะมีที่พักชื่อ Simien Lodge เป็นที่พักที่สูงที่สุดในแอฟริกา(เขาเคลมว่าอย่างนั้น)
     

วิวระหว่างทางนั่งรถไปจุดเริ่มเดิน

          ตอนเริ่มเดินเขาจะมีน้ำให้ 1 ขวดใหญ่ครับ ส่วนกระเป๋าต่างๆ ฝากไว้กับรถ เพราะจะมีอีกทีมขนไปยังแคมป์ ส่วนเราก็ใช้กระเป๋าใบเล็กเก็บสิ่งของมีค่าและแบกมากับตัว พอเดินไปได้สักพักก็จะเจอจุดชมวิวครับ ในการเดินนี้ส่วนใหญ่จะเดินริมผาเพื่อให้เห็นวิวที่สวยงาม เวลาเดินจะได้ไม่เหนื่อยมาก
     
  



          เดินเรื่อยๆ เหนื่อยก็นั่งพัก ชมวิว ไกด์เขาจะทราบจุดพัก จุดชมวิว ว่าต้องเดินไปบริเวณใด เดินไกลเท่าใด พอเดินมาได้สักพักก็ต้องตื่นเต้นกันครับ เพราะมาเจอฝูงลิงบาบูน(Gelada Baboon) มันกำลังดึงหญ้ากิน!!! ใช่แล้วครับมันกินหญ้าเป็นอาหาร ตอนกลางวันจะขึ้นมากินหญ้า ตอนกลางคืนจะลงไปนอนที่หน้าผาเพื่อหลบหลีกจากสัตว์นักล่า ที่สำคัญคือเราสามารถเข้าไปถ่ายรูปได้แบบใกล้ๆ ประมาณ 1 เมตรหรือใกล้กว่านั้น
         



เราเข้าไปใกล้ๆมันได้เลยยยยย

           เมื่อเดินมาเรื่อยๆ ก็จะถึงแคมป์ Sankaber ซึ่งทางแผนกสนับสนุนจะมากางเต๊นท์ เตรียมที่นอน ถุงนอน และทำอาหารว่างไว้รอ ถ้าใครอยากจะจิบเบียร์ก็มีไว้ให้ ราคาก็ประมาณ 50 Birr ผมก็ไม่พลาดแน่นอนครับ เบียร์กับมาม่าดิบ Thailand Only!!! ฝรั่งถามว่า "ยูทำอารายยย นี่มันบ้าชัดๆ เอาบะหมี่มากินแบบนี้" หึหึ หาได้รู้ไม่ เมื่อได้ชิมเท่านั้นแหละ แซบบบหลายยยย ต้องขอจกกินอีกสองสามคำ ก่อนจะเดินออกไปดูพระอาทิตย์ตกดินพร้อมกับจิบเบียร์ไปด้วย


           อย่างที่เคยบอกไปว่าห้องน้ำบางทีไม่ได้ดีมาก บางคนก็ไม่ใช้และอาศัยการขุดหลุม เขาก็จะมีป้ายเตือนว่าให้ขุดให้ลึกว่า 15 cm เพื่อป้องกันสัตว์ไปกิน หรือทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อสู่สัตว์นะครับ ป้ายจะเป็นแบบนี้

           บอกได้เลยว่าการนอนบนเขาที่มีความสูงมากๆ และหนาวมากๆ มันทรมานมาก การออกไปปัสสาวะกลางดึกนี่ทรมานจริงๆ ผมออกไป 2 รอบ ได้เจอกับสุนัขตัวเล็กๆ วิ่งหนีไป 1 รอบ ตื่นเช้ามาคุยกับฝรั่งเขาบอกว่าน่าจะเป็น Jackal ที่ออกมาหาอาหาร เพราะถ้าเป็น Wolf น่าจะตัวใหญ่กว่านี้ อย่างไรก็ตามผมก็ได้ถามถึงอุณหภูมิเมื่อคืนก็ประมาณ 5 องศา เมื่อตื่นเช้ามาฝรั่งผู้มากด้วย Gadget ก็โชว์อุณหภูมิให้ดูประมาณ 7.7 องศา
     
     

           หลังจากกินอาหารเช้าแล้วก็จะเป็นการเดินทางต่อไปยังอีกแคมป์ที่ชื่อ Geech ซึ่งสูงประมาณ 3600 เมตร ผมขอแนะนำว่าอาหารเช้ากินไปเยอะๆครับ เพราะเดินเหนื่อยและต้องแบกขวดน้ำเอง นอกจากนี้ฝั่งเสบียงจะเตรียมอาหารเที่ยงให้ด้วยเป็นขนมปังที่มีผัดผักอยู่ข้างในและกล้วย 1 ลูก การเดินต่อไปจะไปพบน้ำตก Jinbar ซึ่งผมไปก็ไม่ค่อยมีน้ำ แต่วิวสวยครับ



               
     เหนื่อยก็นั่งพักเฝ้าภูเขากันไป



                       
บริเวณจุดชมวิวน้ำตก



                          
  น้ำตกที่มีน้ำน้อยๆ ยืนยันว่านี่น้ำตกจริงๆ ฮาๆ

                หลังจากชมน้ำตกไปแล้วก็เดินไปอีกสักพัก 2-3 ชั่วโมงก็จะมีช่วงที่เจอถนนลูกรัง มีรถสวนมาบ้าง รถขึ้นไปบ้าง ระหว่างทางจะมีคนเดินมาเสนอขาย Coke เป็นระยะๆ ใครเหนื่อยมากก็อุดหนุนกันได้สนนราคาขวดละ 50 Birr แล้วก็จะมีทางเลี่ยงถนนเพื่อที่จะลงไปที่น้ำตกเล็กๆ  เอาไว้ให้เราได้พักกินอาหารเที่ยงที่เราได้แบกมา รวมไปถึงหากใครอยากเล่นน้ำก็เล่นได้ แต่บอกได้ว่าน้ำเย็นมากๆ ผมเอาเท้าลงไปแช่ได้ 30 วินาทีเท้าผมนี่แทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย ฝรั่งคนหนึ่งได้ลองลงไปเล่น ก็เล่นได้ไม่ถึง 5 นาทีเพราะน้ำมันเย็น
              

               เมื่อท้องอิ่มร่างกายหายเหนื่อยก็เดินไปต่อประมาณ 3-4 ชั่วโมง วิวระหว่างทางจะมีทุ่งดอกหญ้าสีชมพู รวมไปถึงหินสีแปลกๆ เกิดจากแร่ธาตุที่ต่างกัน ผมว่าคล้ายๆกับภูเขาหินสายรุ้งที่ประเทศจีน แต่อันนี้จะสีไม่สดและเล็กกว่ามาก
               


                ก่อนถึงแคมป์ Geech จะมีทุ่งหญ้าซึ่งผมได้เห็น Ethiopian wolf ด้วยแต่ระยะไกลมากเลยถ่ายรูปมาไม่ได้ เมื่อถึงแคมป์ก็มีสายฝนโปรยปรายมาต้อนเราพวกเรา พร้อมทั้งลมที่หนาวเหน็บ ฝ่ายเสบียงก็ได้เตรียมเต๊นท์ ที่นอน และอาหารว่างไว้ให้เราเช่นเคย ด้วยฝนที่ตกทำให้ไม่สามารถไปชมพระอาทิตย์ตกได้ จึงอดไปดู เมื่อฝนหยุดตกก็ออกมานั่งเล่น รออาหารเย็น นอนและเตรียมตัวเที่ยวต่อไปในวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นวันสุดท้ายของการเที่ยว และเป็นเส้นทางที่ผมชอบมากที่สุดในการเดินป่าครั้งนี้
             


     

                ตื่นเช้ามาด้วยความงัวเงียเพราะอากาศยังคงหนาวเช่นเดิม ทำให้การหลับนอนค่อนข้างยากเพราะการเตรียมตัวมาไม่ค่อยดี ก็ต้องทนกันไปเป็นคืนที่สอง เมื่อกินข้าวเช้าพร้อมก็ออกเดินทางพร้อมกับน้ำ 1 ขวดและอาหารเที่ยงเช่นเดิม ทางเดินนี้จะกลายเป็นทุ่งหญ้าที่โล่งกว้างมีต้นไม้โผล่ขึ้นมาตัดประปราย เป็นภูมิประเทศที่ไม่เคยเห็นมาก่อน รู้สึกสวยแปลกตา
               

                ในวันที่สามมีจุดที่ต้องขึ้นไปให้ถึงคือ Itaneye เป็นจุดที่สูงที่สุดในการเดินป่าครั้งนี้ สูงประมาณ 4000 เมตร เราจะได้พบกับวิวอันสวยงาม 360 องศา
              

เราต้องไปตรงจุดที่อยู่สูงสุดของภาพนี้ ซึ่งก็คือ Itaneye



ระหว่างทางก็จะมีภูเขาแปลกๆ



        
เดินมาเรื่อยๆก็ใกล้ถึงแล้ว



      
            ต้องปีนขึ้นไปเพื่อจะไปถึงยอด ซึ่งการปีนนี่ค่อนข้างอันตราย ตกไปตายอย่างเดียว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่