กระทู้นี้กระทู้ที่ 3 ต่อจากกระทู้นี้นะครับ
https://pantip.com/topic/38370626
ผมพัก 1 คืนที่เมือง Mekele เพื่อไปต่อยัง Danakil depression ซึ่งเป็นบริเวณที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ออกจากกัน ทำให้บริเวณนี้มีทะเลเกลือที่กว้างขวางมากนอกจากนี้ยังมีบ่อกำมะถัน ที่ระอุอยู่ และจะเคลื่อนที่ทุก 2 สัปดาห์(ไกด์บอก) การเดินทางครั้งนี้ผมต้องไปร่วมกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ เช่นเคยเพราะผมไปคนเดียว หากไป private จะแพง เลยต้องร่วมเดินทางไปกับคนอื่น แต่ครั้งนี้พิเศษที่เจอพี่ผู้หญิงคนไทย 2 คน ไปด้วย พี่ทั้งสองใจดีมากครับ การไปครั้งนี้ต้องไปกับบริษัททัวร์เท่านั้น เพราะเป็นบริเวณที่ติดชายแดนประเทศ Eritrea ซึ่งเป็นบริเวณขัดแย้งกันอยู่แต่ไกด์บอกน่าจะสงบแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยก็ยังต้องมีคนคุ้มกัน ถือปืน AK คอยเดินตามอยู่
ออกจาก Mekele ได้สักพัก ไกด์จะให้เราลงไปยังจุดเริ่มต้นของบริเวณเปลือกโลกที่เคลื่อนที่ออกจากกัน มองไปก็จะเห็นบริเวณที่แห้งแล้ง คือแทบจะหาน้ำไม่ได้ แล้วก็ไปพักกินอาหารเที่ยง แล้วเดินทางต่อไปยังทะเลเกลือ
บริเวณที่รถจอด และจำนวนรถที่ไปกันทั้งหมด
หลังจากนั้นขับรถไปอีกสักพักก็ถึงบริเวณที่พักใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 5-6 ชั่วโมงกว่าจะมาถึงบริเวณที่พัก ซึ่งไกด์บอกเป็นโรงแรมระดับล้านดาว เพราะนอนข้างนอก ดูดาวได้เป็นล้านๆดวง เขาจะมีที่นอนให้และมีถุงนอนให้ 1 ถุง ห้องน้ำก็ตามสะดวก เรื่องอาบน้ำอย่าถามหาครับ
สภาพที่นอนก็ประมาณนี้แหละครับ

บริเวณรอบๆที่นอนก็จะว่างเปล่าประมาณนี้ครับ
เมื่อจัดแจงที่นอนเสร็จแล้วก็ถึงเวลาไปต่อที่ เหมืองเกลือ ซึ่งเคยเป็นทะเลมาก่อน พอแผ่นเปลือกโลกแยกทำให้น้ำหายไปหมดเหลือแต่เกลือ ซึ่งจะมีชาวบ้านนำเกลือ ขนขึ้นอูฐเป็นคาราวาน ไปขายเกลือ เขาจะพาเราไปบริเวณที่มีก้อนหินขนาดใหญ่และมีบ่อน้ำที่สามารถลงไปเล่นได้ ลอยได้ทั้งตัวโดยไม่ต้องว่ายน้ำเพราะความหนาแน่นของน้ำเยอะมากจนคนลอยได้เอง
ขณะนั้นเองก็มีเสียงงง ตู้มมมมมม..... ฝรั่งกระโดดลงน้ำ โดยที่ไกด์ห้ามไม่ทันเพราะน้ำที่ลงมันเค็มมากจึง ห้ามมม ลืมตาหรือให้น้ำเข้าตาเป็นอันขาดเพราะมันจะแสบมากกกกก แต่ไม่ทันเสียแล้ว.... ฝรั่งก็หลับตา แล้วไกด์ก็รีบเอาน้ำจืดมาให้ล้างหน้าาา เมื่อเราถ่ายรูปเสร็จไกด์ก็จะให้เราเดินไปดูอีกฝั่งซึ่งจะมีน้ำเกลือและเกลือสุดลูกหูลูกตาาา พอกลับมาก็จะฉลองด้วยไวน์และ Ouzo(ยังกะเหล้า 40 ดีกรี)ในบริเวณที่จอดรถ และกลับที่พัก กินข้าวเย็นแล้วนอน
อากาศตอนนอนนั้นลมแรงมาก ไม่ร้อนออกจะหนาวนิดๆ แต่ดีที่อากาศแห้งๆ จึงไม่เหนียวตัวเท่าไร ตื่นเข้ามาด้วยความสดใส แล้วไปกันต่อที่ บ่อกำมะถัน ซึ่งเป็นบริเวณที่แปลกตามากๆ ไม่คิดว่าจะมีที่แบบนี้บนโลก ยังกะอยู่ดินแดนต่างดาวในหนัง ผมว่ามันคล้ายๆกับ Pamukkale ที่ตุรกี แต่ที่นี่สีจะเขียวและสีเหลืองตามแร่ธาตุที่สะสมอยู่
ไกด์จะให้เวลาเราประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปที่ Erta Ale ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น เราสามารถมองเห็นลาวาได้ที่ปากปล่องภูเขาไฟนี้ แต่โอกาสเห็นจะ 50/50 ใช้เวลาขับรถจากบ่อกำมะถันไป Erta Ale ประมาณ 9 ชั่วโมงซึ่งจะมีการพักกินอาหารเที่ยง และคนขับรถจะจอดล้างรถจากเกลือที่ติดอยู่ที่ล้อ(บางคันไม่จอด)

เมื่อขับรถผ่านทะเลทราย(ช่วงนี้นั่งรถสนุกมากๆ) และลัดเลาะไปตามทางที่ขรุขระด้วยหินภูเขาไฟ(ช่วงนี้ตูดบวมครับ รถเด้งตลอดเวลา คนขับบอก Ethiopia Massage) ก็มาถึงแคมป์ประมาณ 6 โมงเย็น แล้วก็กินข้าวเย็น พร้อมกับเตรียมตัวเดินขึ้นไปดูปล่องภูเขาไฟ โดยเขาจะเตรียมผ้าปูที่นอนให้ 1 ผืน และเป็นข้อบังคับว่าต้องมีน้ำขึ้นไปด้วยคนละ 2 ลิตร ขณะกินข้าวจะมีทีมงานขนที่นอนโดยใช้อูฐขนขึ้นไปให้ก่อน ระยะเวลาในการเดินขึ้นก็ประมาณ 3-4 ชั่วโมง เป็นการเดินตอนกลางคืนที่ต้องมีไฟฉายไปด้วย เพราะมืดมากๆๆ และหินภูเขาไฟคมมาก ให้เดินให้ระวังมากๆ เพราะมีฝรั่งได้แผลมาด้วยครับ หลังจากเดินอย่างเหน็ดเหนื่อยก็จะถึงอีก 1 แคมป์ เป็นบริเวณที่นอน ซึ่งเป็นโรงแรมดาวล้านดวงอีกเช่นเคย นอนข้างนอก พร้อมกับอากาศภูเขาไฟที่ทุกคนสูดเข้าไปแล้วต้องไอ กันทุกคน แสบคอ แสบจมูกมาก ห่างไปอีก 200 เมตรลงไปด้านล่างจะเป็นปากปล่องภูเขาไฟ เขาจะให้เราเดินไปดู 1 รอบ แล้วขึ้นมานอน การเดินนี่ทุลักทุเลมาก ต้อง!!! เดินตามไกด์เท่านั้นเพราะหินบางส่วนเป็นลาวาที่พึ่งแห้งทำให้เปราะบาง เหยียบอาจจะแตกแล้วก็ยุบลงไป ล้มได้แผลอีก
ตอนกลางคืนผมก็ได้เห็นแต่ควันไฟและไอน้ำ T_T
เมื่อมองไม่เห็นก็กลับมานอนที่แคมป์ ซึ่งเป็นการนอนที่ทรมานมาก อากาศแย่กว่าเมื่อคืน และหนาวกว่า แต่ดีที่ยังพอจะดูดาวได้เป็นรางวัลปลอบใจในคืนนี้ อ้อ.. ห้องน้ำ ห้องท่า ก็ตามสะดวก อาบน้ำไม่ต้องหวังอีกเช่นเคย เมื่อนอนแล้วเขาจะปลุกเราประมาณ ตีสี่ตีห้า เพื่อไปดูอีกครั้งเพราะเมื่อคืนมองไม่เห็น และแล้วเราก็เดินลงไปดูอีกครั้งแต่ครั้งนี้ผมเห็นลาง ๆ ถ่ายรูปมาไม่ทันเพราะควันเยอะ แต่บรรยากาศตอนเช้านี่ยังกับหนังที่โลกโดนนิวเคลียร์ถล่ม เพราะมีควันและหินสีดำตัดกับภูเขา
ควันบริเวณปากปล่องเยอะมาก ๆ (ด้านหลังคนที่ยืนอยู่ไปประมาณ 1-2 เมตรก็ปากปล่องแล้วครับ)
หลังจากผิดหวังเพราะกะว่าจะได้เห็นแบบเต็ม ก็ต้องเดินลงมาที่แคมป์อีก แต่ครั้งนี้เดินลงก็เร็วหน่อย แต่..... ต้องเตรียมครีมกันแดดมาด้วย เพราะเป็นตอนเช้า ซึ่งบริเวณนี้แดดแรงมาก และไม่มีต้นไม้คอยให้ร่มเงา เดินกันเหงื่อท่วมแบบน้ำไม่ได้อาบ ฮาๆๆๆ เมื่อเดินลงมาถึงเขาก็จะมีน้ำให้ล้างหน้า ล้างตัว และกินอาหารเช้า เดินทางต่อไปยังบ่อน้ำพุร้อน และทะเลสาบ ซึ่งผมว่าบ้านเราสวยกว่าครับ
แล้วผมก็เดินทางกลับ Mekele อย่างปลอดภัย พัก 1 คืน และเดินทางกลับ Addis Ababa ในเช้าวันรุ่งขึ้นนพร้อมกับชมเมือง 3-4 ชั่วโมงและเดินทางกลับประเทศไทยครับ
ทั้งหมดก็เป็นประสบการณ์การเดินทางที่สนุกมากๆ ผมไม่คิดว่าจะเจออะไรแบบนี้มาก่อน ทั้ง Simien mountain, ทั้งการปีนโบสถ์, ทั้งเหมืองเกลือ, บ่อกำมะถัน, ภูเขาไฟ หากใครมีแรงและอยากดูอะไรที่แปลกตา ผมแนะนำครับ Ethiopia แล้วจะไม่ผิดหวัง คนประเทศนี้ค่อนข้าง Nice และเราจะได้รู้ว่าจริงๆแล้วคนเราไม่ได้ต้องการอะไรมากในการดำรงชีวิตอยู่ เมื่อเห็นผู้คนลำบากกว่าเรามากๆ เมื่อมีปัญหาผมคิดเสมอว่า ปัญหาของผมเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับพวกเขา......
........ไปเยือนดินแดนต่างดาวและดูภูเขาไฟกำลังคุกรุ่นที่ Danakil depression, Erta Ale, Ethiopia
กระทู้นี้กระทู้ที่ 3 ต่อจากกระทู้นี้นะครับ https://pantip.com/topic/38370626
ผมพัก 1 คืนที่เมือง Mekele เพื่อไปต่อยัง Danakil depression ซึ่งเป็นบริเวณที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ออกจากกัน ทำให้บริเวณนี้มีทะเลเกลือที่กว้างขวางมากนอกจากนี้ยังมีบ่อกำมะถัน ที่ระอุอยู่ และจะเคลื่อนที่ทุก 2 สัปดาห์(ไกด์บอก) การเดินทางครั้งนี้ผมต้องไปร่วมกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ เช่นเคยเพราะผมไปคนเดียว หากไป private จะแพง เลยต้องร่วมเดินทางไปกับคนอื่น แต่ครั้งนี้พิเศษที่เจอพี่ผู้หญิงคนไทย 2 คน ไปด้วย พี่ทั้งสองใจดีมากครับ การไปครั้งนี้ต้องไปกับบริษัททัวร์เท่านั้น เพราะเป็นบริเวณที่ติดชายแดนประเทศ Eritrea ซึ่งเป็นบริเวณขัดแย้งกันอยู่แต่ไกด์บอกน่าจะสงบแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยก็ยังต้องมีคนคุ้มกัน ถือปืน AK คอยเดินตามอยู่
ออกจาก Mekele ได้สักพัก ไกด์จะให้เราลงไปยังจุดเริ่มต้นของบริเวณเปลือกโลกที่เคลื่อนที่ออกจากกัน มองไปก็จะเห็นบริเวณที่แห้งแล้ง คือแทบจะหาน้ำไม่ได้ แล้วก็ไปพักกินอาหารเที่ยง แล้วเดินทางต่อไปยังทะเลเกลือ
หลังจากนั้นขับรถไปอีกสักพักก็ถึงบริเวณที่พักใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 5-6 ชั่วโมงกว่าจะมาถึงบริเวณที่พัก ซึ่งไกด์บอกเป็นโรงแรมระดับล้านดาว เพราะนอนข้างนอก ดูดาวได้เป็นล้านๆดวง เขาจะมีที่นอนให้และมีถุงนอนให้ 1 ถุง ห้องน้ำก็ตามสะดวก เรื่องอาบน้ำอย่าถามหาครับ
เมื่อจัดแจงที่นอนเสร็จแล้วก็ถึงเวลาไปต่อที่ เหมืองเกลือ ซึ่งเคยเป็นทะเลมาก่อน พอแผ่นเปลือกโลกแยกทำให้น้ำหายไปหมดเหลือแต่เกลือ ซึ่งจะมีชาวบ้านนำเกลือ ขนขึ้นอูฐเป็นคาราวาน ไปขายเกลือ เขาจะพาเราไปบริเวณที่มีก้อนหินขนาดใหญ่และมีบ่อน้ำที่สามารถลงไปเล่นได้ ลอยได้ทั้งตัวโดยไม่ต้องว่ายน้ำเพราะความหนาแน่นของน้ำเยอะมากจนคนลอยได้เอง
ขณะนั้นเองก็มีเสียงงง ตู้มมมมมม..... ฝรั่งกระโดดลงน้ำ โดยที่ไกด์ห้ามไม่ทันเพราะน้ำที่ลงมันเค็มมากจึง ห้ามมม ลืมตาหรือให้น้ำเข้าตาเป็นอันขาดเพราะมันจะแสบมากกกกก แต่ไม่ทันเสียแล้ว.... ฝรั่งก็หลับตา แล้วไกด์ก็รีบเอาน้ำจืดมาให้ล้างหน้าาา เมื่อเราถ่ายรูปเสร็จไกด์ก็จะให้เราเดินไปดูอีกฝั่งซึ่งจะมีน้ำเกลือและเกลือสุดลูกหูลูกตาาา พอกลับมาก็จะฉลองด้วยไวน์และ Ouzo(ยังกะเหล้า 40 ดีกรี)ในบริเวณที่จอดรถ และกลับที่พัก กินข้าวเย็นแล้วนอน
อากาศตอนนอนนั้นลมแรงมาก ไม่ร้อนออกจะหนาวนิดๆ แต่ดีที่อากาศแห้งๆ จึงไม่เหนียวตัวเท่าไร ตื่นเข้ามาด้วยความสดใส แล้วไปกันต่อที่ บ่อกำมะถัน ซึ่งเป็นบริเวณที่แปลกตามากๆ ไม่คิดว่าจะมีที่แบบนี้บนโลก ยังกะอยู่ดินแดนต่างดาวในหนัง ผมว่ามันคล้ายๆกับ Pamukkale ที่ตุรกี แต่ที่นี่สีจะเขียวและสีเหลืองตามแร่ธาตุที่สะสมอยู่
ไกด์จะให้เวลาเราประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปที่ Erta Ale ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น เราสามารถมองเห็นลาวาได้ที่ปากปล่องภูเขาไฟนี้ แต่โอกาสเห็นจะ 50/50 ใช้เวลาขับรถจากบ่อกำมะถันไป Erta Ale ประมาณ 9 ชั่วโมงซึ่งจะมีการพักกินอาหารเที่ยง และคนขับรถจะจอดล้างรถจากเกลือที่ติดอยู่ที่ล้อ(บางคันไม่จอด)
เมื่อขับรถผ่านทะเลทราย(ช่วงนี้นั่งรถสนุกมากๆ) และลัดเลาะไปตามทางที่ขรุขระด้วยหินภูเขาไฟ(ช่วงนี้ตูดบวมครับ รถเด้งตลอดเวลา คนขับบอก Ethiopia Massage) ก็มาถึงแคมป์ประมาณ 6 โมงเย็น แล้วก็กินข้าวเย็น พร้อมกับเตรียมตัวเดินขึ้นไปดูปล่องภูเขาไฟ โดยเขาจะเตรียมผ้าปูที่นอนให้ 1 ผืน และเป็นข้อบังคับว่าต้องมีน้ำขึ้นไปด้วยคนละ 2 ลิตร ขณะกินข้าวจะมีทีมงานขนที่นอนโดยใช้อูฐขนขึ้นไปให้ก่อน ระยะเวลาในการเดินขึ้นก็ประมาณ 3-4 ชั่วโมง เป็นการเดินตอนกลางคืนที่ต้องมีไฟฉายไปด้วย เพราะมืดมากๆๆ และหินภูเขาไฟคมมาก ให้เดินให้ระวังมากๆ เพราะมีฝรั่งได้แผลมาด้วยครับ หลังจากเดินอย่างเหน็ดเหนื่อยก็จะถึงอีก 1 แคมป์ เป็นบริเวณที่นอน ซึ่งเป็นโรงแรมดาวล้านดวงอีกเช่นเคย นอนข้างนอก พร้อมกับอากาศภูเขาไฟที่ทุกคนสูดเข้าไปแล้วต้องไอ กันทุกคน แสบคอ แสบจมูกมาก ห่างไปอีก 200 เมตรลงไปด้านล่างจะเป็นปากปล่องภูเขาไฟ เขาจะให้เราเดินไปดู 1 รอบ แล้วขึ้นมานอน การเดินนี่ทุลักทุเลมาก ต้อง!!! เดินตามไกด์เท่านั้นเพราะหินบางส่วนเป็นลาวาที่พึ่งแห้งทำให้เปราะบาง เหยียบอาจจะแตกแล้วก็ยุบลงไป ล้มได้แผลอีก
เมื่อมองไม่เห็นก็กลับมานอนที่แคมป์ ซึ่งเป็นการนอนที่ทรมานมาก อากาศแย่กว่าเมื่อคืน และหนาวกว่า แต่ดีที่ยังพอจะดูดาวได้เป็นรางวัลปลอบใจในคืนนี้ อ้อ.. ห้องน้ำ ห้องท่า ก็ตามสะดวก อาบน้ำไม่ต้องหวังอีกเช่นเคย เมื่อนอนแล้วเขาจะปลุกเราประมาณ ตีสี่ตีห้า เพื่อไปดูอีกครั้งเพราะเมื่อคืนมองไม่เห็น และแล้วเราก็เดินลงไปดูอีกครั้งแต่ครั้งนี้ผมเห็นลาง ๆ ถ่ายรูปมาไม่ทันเพราะควันเยอะ แต่บรรยากาศตอนเช้านี่ยังกับหนังที่โลกโดนนิวเคลียร์ถล่ม เพราะมีควันและหินสีดำตัดกับภูเขา
หลังจากผิดหวังเพราะกะว่าจะได้เห็นแบบเต็ม ก็ต้องเดินลงมาที่แคมป์อีก แต่ครั้งนี้เดินลงก็เร็วหน่อย แต่..... ต้องเตรียมครีมกันแดดมาด้วย เพราะเป็นตอนเช้า ซึ่งบริเวณนี้แดดแรงมาก และไม่มีต้นไม้คอยให้ร่มเงา เดินกันเหงื่อท่วมแบบน้ำไม่ได้อาบ ฮาๆๆๆ เมื่อเดินลงมาถึงเขาก็จะมีน้ำให้ล้างหน้า ล้างตัว และกินอาหารเช้า เดินทางต่อไปยังบ่อน้ำพุร้อน และทะเลสาบ ซึ่งผมว่าบ้านเราสวยกว่าครับ
แล้วผมก็เดินทางกลับ Mekele อย่างปลอดภัย พัก 1 คืน และเดินทางกลับ Addis Ababa ในเช้าวันรุ่งขึ้นนพร้อมกับชมเมือง 3-4 ชั่วโมงและเดินทางกลับประเทศไทยครับ
ทั้งหมดก็เป็นประสบการณ์การเดินทางที่สนุกมากๆ ผมไม่คิดว่าจะเจออะไรแบบนี้มาก่อน ทั้ง Simien mountain, ทั้งการปีนโบสถ์, ทั้งเหมืองเกลือ, บ่อกำมะถัน, ภูเขาไฟ หากใครมีแรงและอยากดูอะไรที่แปลกตา ผมแนะนำครับ Ethiopia แล้วจะไม่ผิดหวัง คนประเทศนี้ค่อนข้าง Nice และเราจะได้รู้ว่าจริงๆแล้วคนเราไม่ได้ต้องการอะไรมากในการดำรงชีวิตอยู่ เมื่อเห็นผู้คนลำบากกว่าเรามากๆ เมื่อมีปัญหาผมคิดเสมอว่า ปัญหาของผมเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับพวกเขา......