ลุยเดี่ยวเที่ยวทั่วโลก ฉบับ “หนีร้อนจากไทย ไปตากไอแดดที่ Ethiopia” ตอนที่ 3: สีสันแห่งซัลเฟอร์ที่ Dallol

ตอนที่0: สารบัญการเดินทาง
https://pantip.com/topic/36464768
ตอนที่1: ซินเดอเรลล่าชะเง้อหาราชรถฟักทองท่อง Addis Ababa
https://pantip.com/topic/36464848
ตอนที่ 2: Danakil เตาอบขนาดใหญ่ในเอธิโอเปีย
https://pantip.com/topic/36464894

                    “พรึ่บๆๆ...พรึ่บๆๆ..ซวบๆๆ...” เสียงรอบข้างดังขนาดนี้ไม่ตื่นก็คงไม่ได้ เปิดเปลือกตามาอีกที อ้าวเฮ้ย!!! สายแล้ว ทุกคนพับเก็บที่นอนกันแล้ว “พรึ่บๆๆๆ...ซวบๆๆ...” ลุกขึ้นมาเก็บที่นอน ซักแห้ง แปรงฟันกับเหมือนกับคนอื่นๆ และคำถามยอดฮิตประจำเช้านี้คือ “เมื่อคืนหลับเป็นไงบ้างจ๊ะ?” มันป๊อบปูล่าร์มาก เพราะทุกคนมีความรู้สึกเดียวกันคือ “ใครมันจะไปหลับลง!!!” ฮ่าๆๆ มันไม่ใช่เพราะที่นอนแต่เป็นเพราะลมและทรายที่สาดเข้ามาตบหน้าซ้ายขวาตอนนอน แต่สำหรับเรามันไม่ได้แย่มากนะ ที่แย่กว่าคือไม่รู้จะร้อนหรือจะหนาวดี พออยู่ในถุงนอนก็ร้อนสุดๆ พอเอาตัวออกมาข้างนอกก็หนาวสั่น หลับๆ ตื่นๆ เพราะอากาศมากกว่า

แดดแรกที่ Million Starts Hotel


                    จัดแจงธุระส่วนตัวเสร็จเราก็มารวมตัวกันกินข้าวเช้าแล้วเก็บข้าวของอีกครั้งก่อนออกเดินทาง จุดหมายวันนี้คือ Lake Assal – Dallol Depression ภูเขาเกลือ และบ่อน้ำมัน เราเริ่มต้นจากการนั่งรถย้อนรอยเมื่อวานเพื่อไปยังจุดหมายเดิม ต่างกันตรงที่วันนี้เราจะไปดูขบวนอูฐเดินไปทำงาน


                    อูฐพวกนี้เดินทางครั้งละ 15-20 วันเพื่อไปยังจุดที่มีการขุดเกลือขึ้นมาขาย อูฐจะรอจนกว่าได้เกลือตามจำนวนอูฐทุกตัว ราคาขายเกลือที่ลานเกลือคือก้อนละ 5 Birr แต่ถ้าอูฐเหล่านี้ขนกลับมาถึงในเมืองแล้ว ราคาจะสูงถึง 50 Birr เลยทีเดียว นอกจากอูฐแล้ว ลาก็เป็นสัตว์อีกประเภทที่ต้องเดินฝ่าไอแดดไปขนเกลือกกลับมาขายในเมือง อูฐยังมีหนอกไว้เก็บกักน้ำ แต่ลานี่สิเก็บน้ำเก็บอาหารไว้ส่วนไหน?



                    จบจากขบวนอูฐเราก็ขึ้นรถแล้วมุ่งหน้าไปยัง ไฮไลท์ของวันนี้ แต่น แต๋น แต๊นนนนนนน  Dallol Danakil Depression หรือพื้นดินสีสันสนใสที่เรากล่าวไว้ข้างต้นนั่นเอง ใต้พื้นดินของบริเวณนี้จะอุดมไปด้วยซัลเฟอร์ฯ มันเลยทำให้กลิ่นบริเวณนี้เหมือนไข่ต้มน้ำพุร้อนบ้านเรา จะมาที่นี่สิ่งสำคัญคือ “ผ้าปิดจมูก” ซึ่งเราไม่มี ไกด์ก็เลยไม่อนุญาตให้เราไปถ้าไม่มีผ้าปิดจมูก จุดนี้รีบควักผ้าขนหนูในกระเป๋ามาพันเป็นผ้าสามเหลี่ยมโชว์ให้ไกด์ตรวจทันที เมื่อผ่านแล้วก็สามารถเดินเข้าไปได้


                    สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่าภูเขาไฟคือ “ที่สุด” แต่สำหรับเราเราชอบที่นี่มากที่สุด ด้วยสีสัน ด้วยรายละเอียดของผลึกซัลเฟอร์ องค์ประกอบต่างๆ บนผืนดินแผ่นนี้มันสุดยอดจริงๆ ต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งแล้วจะเข้าใจว่ามันสวยยังไง ภาพที่เอามาให้ดูมันก็แค่ส่วนๆ หนึ่ง ซึ่งเทียบไม่ได้กับความสวยของมันที่มองเห็นด้วยตาตัวเองเลย


                    ไกด์ให้เวลาที่นี่ 1 ชั่วโมง ดูเหมือนจะเยอะ แต่มันกว้าง สำหรับเรามันไม่พอ แต่สำหรับใครหลายๆ คนมันมากเกินไป เพราะตอนเดินรู้สึกเดินอยู่บนตะแกรงย่างไก่ยังไงอย่างงั้น พอถึงเวลาทุกคนก็กลับมาขึ้นรถแล้วไปยังภูเขาเกลือต่อ (อันนี้เราไม่รู้ชื่อภาษาอังกฤษจริงๆ)  ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนภูเขาที่โรยด้วยเกล็ดหิมะ ถ้าเคยไปโบลิเวียคงจะนึกกันออก มันมีที่นึงที่มีลักษณะแบบนี้เหมือนกัน


                    หลังกจากจุดนี้เราจะไปต่อที่บ่อน้ำมันร้อน ลักษณคล้ายๆ บ่อน้ำพุร้อน แต่น้ำด้านในเป็นน้ำมันทั้งหมด คนเอธิโอเปียเชื่อว่าน้ำมันในบ่อนี้สามารถรักษาโรคได้ หลายๆ คนก็เอาภาชนะมาเก็บน้ำมันกลับบ้านไป ส่วนเราขอดูเฉยๆ ดีกว่า เกรงว่าเอากลับบ้านแล้วจะลืม คว้าเอาไปทอดปลาซะงั้น
                    
                   
                    จบจากบ่อน้ำมันร้อน เราก็ต่อกันที่เหมืองเกลือ มันคือปลายททางที่อูฐทุกตัวต้องมานั่งตากแดดรอก้อนเกลือจากชนเผ่าที่ครอบครองดินแดนแห่งนี้ เราก็สงสัยกันว่าจะใช้อูฐให้วุ่นวายทำไม เพราะรถ 4X4 ของพวกเราก็แล่นมาถึงในนี้ได้ คำตอบคือมันเป็นการคุ้มครองอาชีพให้ชนเผ่าเหล่านี้ได้มีงานทำ ถ้าใช้รถหรือเครื่องจักรคนเหล่านี้จะไม่มีงานทำ และจะกลายเป็นภาระของรัฐในที่สุด (เป็นความคิดที่ลึกซึ้งมาก)

คุณลุงนั่งเคาะหินให้เป็นทรงสี่เหลี่ยมได้ขนาด เพราะขายให้กับเจ้าของอูฐ

อูฐมานั่งตากแดดรอก้อนเกลือจากคุณลุง

                    ตอนนี้ท้องก็เริ่มร้อง แล้วมาลุ้นว่ากับข้าวกลางวันนี้คืออะไร ประเด็นคือเราจะกลับไปกินที่ร้านเดิมเหมือนเมื่อวาน และเมื่ออาหารมาเสริฟ จขกท น้ำตาไหลพรากๆ มันคือ ข้าว + ซอสมะเขือ +  สลัดผัก มันช่างต่างกับเมื่อวานยิ่งนัก เปลี่ยนจากสปาเก็ตตี้เป็นข้าว กำลังช่างใจว่าจะเอายังไงดี อยู่ๆ ก็มีคนเดินมาตักปลาทูน่ากระป๋องใส่จาน พร้อมด้วยซอสพริก จุดนั้นแทบ กรี๊ดดดดดด ออกมา ในที่สุดก็มีโปรตีนเข้าสู่ร่างการแล้ว!!!

                    หลังจากเติมพลังแล้วเรากับน้องมีอันต้องแยกกับคู่รักชาวสเปนเพราะมีคนหนึ่งป่วยรุนแรงต้องกลับไปหาหมอที่ Mekele ถ้าไม่ดีขึ้นคือต้องจบทริป แต่ถ้าดีขึ้นพรุ่งนี้เขาจะกลับมาแจมกับเราต่อ สรุปว่าตอนนี้ในรถมีแค่เรากับน้องคนไทยสองคน  เราซึ่งนั่งด้านหลัง กลิ้งเกลือกไปมาอย่างสบายใจ ถ่ายวิวซ้ายที ขวาที เหลือบอีกทีไปเห็นวัวเอธิโอเปีย “เขา” ใหญ่มากๆๆๆๆๆ


                    จุดสุดท้ายก่อนเข้าพักที่ Guesthouse วันนี้คือ จุดชมวิวถนนในเส้นที่เราเพิ่งขับผ่านมา จริงๆ มันก็ไม่มีอะไรมาก แต่เราคนขับแค่ต้องการให้นักท่องเที่ยวได้ลุกออกไปยืดเส้นยืดสายก็เท่านั้นเอง


                    ราวๆ บ่ายสองโมงเราก็มาถึงที่ Guesthouse วันนี้เราจะได้อาบน้ำกันเสียที แต่เอ๊ะ!!! ฝรั่งคนนั้นกำลังทำอะไร? ซักเสื้อ? อร๊ายยยๆๆๆ ซักบ้างดีกว่า มีเสื้อมาแค่ 5 ตัวถ้าไม่ซักจะต้องใส่ซ้ำวนไปวนมาแบบไม่ต้องนับวันเลยทีเดียว ว่าแล้วคว้ากะละมังแล้วลงมือซักเลยจ้า ส่วนคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยอาบน้ำ พอซักผ้าเสร็จเราก็อาบน้ำบ้าง น้ำมีเหลือครึ่งถังเราคิดว่ามันจะพอ แต่....มันก็ไม่พอ ฮือๆๆ แค่ไหนแค่นั้น รอกลับไปอาบตอนจบทริปแล้วกัน (จริงๆ ขอน้ำเพิ่มได้ แต่เราอาบครึ่งๆ กลางๆ เลยไม่อยากวุ่นวาย)

                    บรรยากาศหลังจากอาบน้ำเสร็จทุกคนให้คำนิยามเดียวกันว่า Reborn ชั้นได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง เรารวมกลุ่มกันแล้วออกเดินเล่นรอบ ๆ Guesthouse และเช่นเคย มีกลุ่มเด็กๆ ตามเกาะหน้าเกาะหลัง นี่ชั้นลืมถอดมงกุฎออกหรือเปล่าเนี่ย? หรือออร่านางงามมันแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณนี้ เราเดินได้รอบหมู่บ้าน (เล็กมาก) แล้วก็กลับเข้ามาพักผ่อนเพื่อรออาหารเย็นต่อไป


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่