ลุยเดี่ยวเที่ยวทั่วโลก ฉบับ “หนีร้อนจากไทย ไปตากไอแดดที่ Ethiopia” ตอนที่ 4: Erta Ale มนต์เสน่ห์ “ออนเซน” แอฟริกา

มาลองแช่ "ออนเซน" กันไหม?


ตอนที่ 0: สารบัญการเดินทาง
https://pantip.com/topic/36464768
ตอนที่ 1: ซินเดอเรลล่าชะเง้อหาราชรถฟักทองท่อง Addis Ababa
https://pantip.com/topic/36464848
ตอนที่ 2: Danakil เตาอบขนาดใหญ่ในเอธิโอเปีย
https://pantip.com/topic/36464894
ตอนที่ 3: สีสันแห่งซัลเฟอร์ที่ Dallol
https://pantip.com/topic/36465028

                    วันนี้ทัวร์ปล่อยให้เรานอนตื่นสายได้ค่ะ เรียกว่าวันเก็บแรง เพราะคืนนี้จะได้นอนหรือเปล่าก็ไม่รู้ เป็นเพราะตื่นสายทุกคนเลยดูค่อนข้างเนือยรวมถึงเราด้วย ระหว่างรอคิวซักแห้งเราก็ไปเก็บเสื้อผ้าที่ซักไว้ แต่...แม่เจ้า! นี่มันราวตากผ้าทะลุมิติใช่ไหม? ทำไมเสื้อชั้นหายไปหนึ่งตัว จากที่เอื่อยเฉื่อยเมื่อกี้ Active ขึ้นมาทันที มีเสื้ออยู่แค่ห้าตัว หายไปตัวนึงนี่หายนะเลย กลายเป็นต้องเพิ่มความถี่ในการซักผ้าอีกแล้วสินะ

                    ปลงตกกับเสื้อที่หายแล้วกลับมาเก็บของดีกว่า ระหว่างเก็บๆ อยู่ก็มีเงาผู้หญิงคนนึงปรากฎที่กรอบประตู แต่น แต๋น แต๊นนนนน... เรียกชื่อเราถูกด้วย ใครอ่ะ??? จนน้องคนไทยหันไปคุยว่าเป็นไงบ้างดีขึ้นหรือยัง เราก็ถึงบางอ้อ!!! เพื่อนร่วมทริปชาวสเปนของเรานี่เอง (เราเป็นคนจำหน้าตาคนไม่ได้ค่อยได้ค่ะ ยิ่งเป็นยุโรปนี่ยิ่งไปกันใหญ่) กอดรัดฟัดเหวี่ยงทักทายกันอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็บอกว่ารถคันที่เธอมาก็เป็นคนไทยสองคนนะ แต่ชั้นอยากกลับมานั่งคันเก่ามากว่า เราสองคนก็ Warmly Welcome สุดๆ

Chang Chang Chang……We Are Back!!! (ช้าง ช้าง ช้าง คือ ชื่อทีมเรา เกิดจากการสอนร้องเพลงช้างกันในรถ)


                    เส้นทางวันนี้คือตรงไปยัง Base Camp ภูเขาไฟ ทานอาหารตอน 6 โมงเย็นและเริ่มปีนภูเขาไฟตอนหนึ่งทุ่ม ปกติภูเขาไฟที่อื่นจะต้องปีนไปถึงจุดพักก่อนฟ้ามืด แล้วค่อยเริ่มเดินอีกทีตอนตีหนึ่งตีสอง แต่มันใช้ไม่ได้กับที่นี่!!! ถ้าตราบใดยังมีแสดงอาทิตย์ คนจะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไป เพราะอุณภูมิบนนั้นสูงมาก ถ้าใครเคยไปรินจานี (จขกท ยังไม่เคยไป เคยเห็นแต่รูป) แล้วคิดว่ามันคง Active แบบเดียวกัน ช่วยลบภาพนั้นออกไปได้เลย สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดกับภูเขาไฟลูกนี้คือ mount doom ใน Lord of the rings ที่กอลลั่มตกลงไปตายพร้อมแหวน

                    แต่กว่าเราจะไปถึงภูเขาไฟ เราต้องใช้เวลาเดินทางกว่า 5 ชั่วโมง ระหว่างนั้นกองทัพต้องเดินด้วยท้อง อาหารกลางวันก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ให้ทายดูว่าวันนี้มีอะไรให้กิน?  ข้อสอบเป็นปรนัย มีตัวเลือกแค่สองตัว
ก.    ข้าว + ซอสมะเขือ + ผักสลัด
ข.    สปาเก็ตตี้ + ซอสมะเขือ + ผักสลัด

วันนี้เราวนกลับมาเจอข้อ ข. เดาล่วงหน้าเลยว่าพรุ่งนี้เที่ยงเราจะได้กินอะไรกัน ส่วนตัวเลือกเราว่ามันไม่มีมากไปกว่าสองข้อนี้หรอก ฮ่าๆๆ

                    หลังจากเติมพลังด้วยอาหารสุดแสนอร่อย (ประชด) แล้ว เราก็เดินทางต่อ ซึ่งเส้นทางต่อจากนี้มันหฤโหดมาก จากร้านอาหารมา สองข้างทางปูด้วยซากหินลาวาสีดำ ส่วนพื้นถนนปูด้วยคอนกรีตอย่างดี บรรยากาศดีๆ แบบนี้มีไม่นาน ต่อจากนั้นลืมความสบายทั้งมวลที่ผ่านมาได้เลย หลังจากเลี้ยวตัดเข้าถนนสายย่อย สภาพถนนมันไม่ใช่แค่ถนนลูกรัง แต่เป็นเหมือนพื้นผิวอุกบาต พื้นผิวดวงจันทร์ หรือพื้นผิวอะไรก็แล้วแต่ที่มันกระแทกกระเทือนมาก อาการกลางวันที่เพิ่งเรียงตัวเข้าสู่หลอดอาหาร กระเพื่อมกลับมาอยู่ที่คอหอย คนขับรถบอกเราว่าถนนสายนี้ไม่ยาวเท่าไหร่ แค่ 20 กม. เอง แต่เวลาที่ใช้ขับมันคือสองชั่วโมง เปิดกระเป๋าคว้ายาดมมาบรรเทาอาการก่อนดีกว่า

วิวระหว่างทางไปถนนอุกาบาต

                    ขับไปสักพักจะเห็นเหมือนมีชุมชนตั้งอยู่ด้านขวามือ เป็นเป็นพื้นที่แห้งแล้ว เพราะมันไม่มีน้ำ (ถ้าจะเอาน้ำต้องเดินไปไกล) ดูปลูกพืชผักไม่ได้  ไม่มีอะไรนอกจากฝุ่นและทราย สิ่งมีชีวิตปกติไม่น่าจะเลือกทำเลนี้เป็นที่ตั้งของถิ่นอาศัย และเป็นอย่างที่คิด ชุมชนนี้ไม่ปกติ เหมือนรัฐจ้างมาเพื่อให้อยู่ที่นี่ ส่งอาหาร ส่งเสบียง ส่งของใช้ต่างๆ มาให้เดือนละครั้ง มีตั้งโรงเรียนเล็กๆ สำหรับชุมชนด้วย แต่เราก็ข้องใจว่าเด็กได้เรียนหนังสือจริงๆ หรอ? คุณภาพชีวิตตรงนี้ดูแย่ ไม่ควรส่งใครมาอาศัยทั้งนั้น

หมู่บ้านในความเวิ้งว้าง

                    ขับผ่านโรงเรียนไปได้สักพักสิ่งที่ไม่เกินความคาดฝันคือมีเด็กวิ่งออกมาจาซอกหิน วิ่งก้าวเท้ายาวๆ เพื่อให้ทันรถนักท่องเที่ยวแล้วแบมือขอ เริ่มจาก “ปากกา” “ลูกอม” “ขนม” แล้วก็ “เงิน” เด็กพวกนี้ไม่ได้วิ่งธรรมดา แต่วิ่งเท้าเปล่าบนพื้นหินลาวา ในช่วงที่อุณหภูมิสูงมากกว่า 44 องศา เวลาเห็นคนให้ของเราทำไมไม่รู้สึกดี แต่เรารู้สึกว่าเพราะแบบนี้แหละคนเอธิโอเปียเลยดูจนตลอดกาล เป็นเพราะรัฐบาลใช่หรือเปล่าที่ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้


                    ในที่สุดเกือบ 5 โมงเย็นเราก็เดินทางมาถึง Base Camp ซึ่งเป็นที่ที่เราจะทิ้งสัมภาระทุกอย่าง เอาไปแค่กล้อง กับไฟฉาย และน้ำ 2 ลิตร เมื่อเตรียมอุปกรณ์พร้อมแล้วเราก็ได้เวลาเดินเล่นพักผ่อนเพื่อรออาหารเย็นตอนช่วง 6 โมง

Base Camp


Relaxing time before duty tonight


                    พอถึงเวลาอาหารเรารู้สึกไม่ดีเลย มวลท้องมากๆ รู้สึกต้องการห้องน้ำอย่างแรง มันน่าจะเป็นผลมาจากอาหารกลางวันอันเย็นชืดนั่นเอง พอถึงเวลาอาหารเย็น เราโชคดีมากที่วันนี้มีซุป เราซดซุปไปหนึ่งชามเต็มๆ พอท้องอุ่นก็รู้สึกดีขึ้น รู้สึกพร้อมที่จะไปเผชิญหน้ากับความท้าทายต่อไป

Ok! I’m ready to be on duty!

                    หนึ่งทุ่มตรงทุกคนมาพร้อมกับ พร้อมกับเป้เล็กๆ ส่วนตัวคนละใบ รอบข้างเราแต่คนบอกว่าตื่นเต้น ส่วนเราเฉยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นที่จะเห็น แต่คิดว่าจะรอดไหม เพราะปกติเป็นคนไม่ชอบปีนเขาสุดๆ สมาชิกคันเราได้เดินเป็นกลุ่มแรกๆ ลองจินตนาการคนสี่สิบกว่าคนมาจากประเทศที่แตกต่างกัน ความสูงก็ต่างกัน แล้วเราก็เป็นคนที่เตี้ยเป็นอันดับสามในจำนวนคนสี่สิบกว่าคน (สองคนที่เตี้ยกว่าเราคือเด็กหกขวบ กับสิบขวบ)

                   พอเริ่มสตาร์ทข้างหน้าเราคือฝรั่งขายาว ที่เราต้องก้าวตามให้ทัน ส่วนด้านหลังก็มีแผงฝรั่งที่เหมือนกำแพงบีบให้เราต้องรีบเดิน สภาพตอนนั้นอย่าเรียกว่าเดินเขา ต้องเรียกว่า “วิ่งขึ้นเขา” ถึงจะถูก ฝรั่งด้านหน้าที่เริ่มถูกแซงเริ่มงัด Trekking Pole ออกมาใช้ ส่วนเราเริ่มจะไม่ไหวงัด Trekking Stick ออกมา งงล่ะซิว่ามันคืออะไร จริงๆ ก็คือ “ยาดม” นั่นแหละ เหลือบหันไปด้านหลังเจอพี่คนไทยอีกสองคน ถือยาดม ยาหม่องคนละขวดกันเลยทีเดียว ส่วนคนที่ฟิตสุดในบรรดาคนไทยคือน้องในรถคันเดียวกับเรา น้องก็ไม่น้อยหน้าค่ะ งัดพิมเสนขึ้นมาสะบัดปลายจมูกเหมือนกัน
                    
                    เราเดินมาถึงจุดพักแรก ฝรั่งเดินตามหลังเรามาชมเราใหญ่ “ยูสเต็ปดีมาก เห็นตัวแค่นี้เดินไวมาก” เราแยกเขี้ยว (หายใจเฮือกๆ ) ปฎิเสธคำชม “ไอไม่ได้สเต็ปดี แต่เมื่อกี้ไอวิ่งขึ้นเขา ตอนนี้จะตายแล้ว!!!” ด้วยความที่สเต็ปแต่ละคนไม่เท่ากัน ไกด์เลยแบ่งเป็นกลุ่มเดินช้า และกลุ่มเดินเร็ว แน่นอนว่าเตี้ยอันดับสามอย่างเราต้องอยู่กลุ่มเดินช้าอยู่แล้ว เดินไปก็ปวดท้องไป แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ได้แต่กัดฟันทนจนถึง Camp ด้านบน

                    จาก Camp จะมองเห็นไฟวูบวาบออกมาจากด้านหน้า จุดนั้นความเจ็บปวดที่เท้าและที่ท้องหายไปหมด เหลือแต่ความตื่นเต้น อีก 15 นาทีเราก็จะได้เห็นลาวาของจริงๆ  หลังจากรวมตัวกลุ่มช้าครบแล้ว ไกด์ก็นำทางเราไปที่ปากปล่อง ทุกคนต้องเดินเรียงเป็นแถวเดียวเท่านั้น เพราะพื้นที่แถวนั้นยังไม่แข็ง ถ้ามันทรุดตัวลงไปมันจะบาดข้อเท้าได้ เราทำตามไกด์แนะนำเคร่งครัดมาก เพราะนี้เพิ่งต้นทริป ถ้าบาดเจ็บไปทริปที่เหลือคงกร่อย

เฮ้ย! ไฟไหม้ๆๆ !!! ไม่ใช่ละ....ไกลๆ นู่นคือภูเขาไฟสินะ สู้ต่อ ฮึบๆๆ

                    ไกด์พาเดินมาขนเข้าใกล้ปากปล่องภูเขาไฟ ทันใดนั้นลมก็เปลี่ยนทิศพัดจากทางปล่องเข้ามาหาขบวนของพวกเรา กลิ่มกำมะถันตีเข้าจมูกเข้าปากเต็มๆ สำลักกันเป็นแถว กลิ่นซัลเฟอร์ฯ ไข่เน่าว่าแย่แล้ว กลิ่นภูเขาไฟนี้คูณไปอีกพันนึงเลย ระหว่างที่เปลี่ยนทิศเพื่อเดินไปอีกมุมของปากปล่อง เราก็เหลือบไปเห็นคนกลุ่มที่ถึงก่อนเราได้รับบาดเจ็บ มารู้ทีหลังว่าเดินไปกันเองไม่รอไกด์ คนห้าหกคนตกลงไปในพื้นที่มันยวบ ขาโดนบาดเหวอะโดยทั่วหน้ากัน เด็กสองคนในทริปก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ดังนั้นถ้าใครไปเที่ยวขอให้เชื่อไกด์ อย่าเดินเอง มันอันตรายมากจริงๆ ยิ่งถ้าเจ็บตัวบนภูเขาไฟ ไม่มียาอะไรมาใส่แผลทั้งนั้น ต้องลงเขาในเช้าวันรุ่งขึ้นก่อน ถึงจะมียาทา ยากินให้

                    ในที่สุดเราก็มาถึงเป้าหมาย พื้นที่ที่เรากำลังเหยียบห่างจากปากปล่องภูเขาไฟแค่หนึ่งฟุต ถามว่าร้อนไหม? เราว่าไม่เลย เพราะลมมันแรงมาก กลัวจะถูกพัดปลิวตกลงไปด้านล่างมากกว่า จุดนี้ความเหนื่อยล้าที่สะสมมากว่าห้าชั่วโมงที่เดินขึ้นมามันหายไปไหนก็ไม่รู้ ทุกคนลืมสิ่งรอบตัว ลืมคนรอบข้าง คว้ากล้องขึ้นมาเก็บภาพความทรงจำให้ได้มากที่สุด นับเป็นโชคดีของกลุ่มเราเพราะช่วงนี้ภูเขาไฟ Active มากๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาหลายปีแล้ว รอยยิ้มเปื้อนอยู่บนหน้าของทุกคนอย่างที่ยากจะลบออก จุดนี้เราอยากขอบคุณสองขาท่อนหนาของเราที่ไม่ย่อท้อ ที่ยอมพาร่างตันๆ ของเรามาถึงจุดนี้ได้ ขอบคุณจริงๆ







                    หลังจากดื่มด่ำกับลาวาแล้วเราก็กลับมานอนใน Camp ด้านบนที่ห่างจากปากปล่องเพียง 15 นาที ที่นอนคืนนี้ไม่ต่างจากคืนแรกที่ต้องนอนอาบแสงจันทร์เคล้าลมคลุกฝุ่นกันไป แต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือความไออุ่นจากภูเขาไฟข้างๆ ที่ทำให้ใจชุ่มชื้นขึ้นอีกครั้ง อย่างนี้สินะที่เค้าเรียกว่า “รางวัลของการเดินทาง”

เตียงนอนตากอากาศในคืนนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่