เมื่อกรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศพยากรณ์อากาศล่วงหน้า ว่าประเทศไทยจะหนาวระลอกที่สองในอีก 1 สัปดาห์ข้างหน้า เราเลือกที่จะท้าทายความหนาวเย็นนี้ ที่นี่ "Mulayit" จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ไล่ระดับจากขุนเขาลูกแล้วลูกเล่า จนถึง 2,078 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ผ่านความอ่อนล้าจากงาน ในคืนวันศุกร์ แต่เมื่อเป้ขึ้นหลัง หัวใจดวงนี้ก็กระชุ่มกระชวยอีกครั้ง ได้เวลาออกเดินทาง
🍃Part 1 แผนการเดินทางคร่าว ๆ
20.00 น. รถตู้จากจุดนัดพบ (BigC สะพานควาย)
Day 1
07.00 น. จุดรวมพล บ้านมอเกอไทย
10.00 น. ออกเดินทางข้ามแดนด้วยรถ กระบะ 4×4
14.00 น. จุดเริ่มต้นการเดินเท้า
15.00 น. ถึงจุดกางเต็นท์
18.00 น. แคมป์ปิ้งมือเย็น ท่ามกลางสายฝน
Day 2
06.00 น. นั่งเฝ้าท้องฟ้าด้วยความหวัง และดื่มด่ำกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติตรงหน้าให้ได้มากที่สุด
08.00 น. มื้อเช้าและเก็บสัมภาระ
10.00 น. เดินเท้าขึ้นสักการะพระธาตุ
11.00 น. ออกเดินทางกลับหมู่บ้านมอเกอไทย
15.00 น. กลับกรุงเทพ
23.00 น. ถึงกทม. โดยสวัสดิภาพ
🍃Part 2 ค่าใช้จ่าย
ทริปนี้ใช้บริการเพจ #การเดินทางของหอยทาก 2,900.- บาท ได้รับมิตรภาพบนทางชัน เป็นเพื่อนร่วมทริปที่น่ารักของกันและกัน มีตั้งแต่อายุ 20 ต้น ๆ ไปจนถึง 67 อุ่น ๆ อาหารการกินก็ดูแลอย่างดี ขอบคุณน้าค้า
🍃Part 3 จะเล่าให้ฟังว่า ...
จากคำล่ำลือปากต่อปาก ที่ว่ากันว่า "Mulayit ขุนเขาแห่งศรัทธา" กระตุ้นหัวใจเราให้อยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที เราเริ่มออกเดินทางด้วยรถตู้จากราชบุรี ถึงสายใต้ใหม่ประมาณ 19.20 น. ต่อแท็กซี่ไปยังจุดนัดพบ Big-C สะพานควาย
สว่างแล้วววว ถึงบ้านลุงจ่า (ผู้ประสานงาน การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ วัฒนธรรมสองแผ่นดิน โทร. 083-6281898 หรือ 087-4160792) เราไม่ได้อาบน้ำหรอก แค่เปลี่ยนเป็นเสื้อยืด กางเกง รองเท้าสำหรับเดิน ก็พร้อมลุย (แบบไม่เน่าเท่าไร มั้ง)
เริ่มต้นด้วยการเดินเท้าข้ามสะพานไม้ในตำนาน ข้ามปุ๊บ คนละประเทศปั๊บ เรานั่งรถกระบะบนเส้นทางที่สุดทรหด และทุลักทุเลมากถึงมากที่สุด ถ้ารถที่เลือกใช้บริการมีเบาะให้นั่งและมีหลังหาให้ อันนั้นคือสิ่งวิเศษ ณ เวลานั้นเลยจริง ๆ เพราะพวกเราได้แต่มอง เพื่อนคันหน้าด้วยความอิจฉานิดนึง 555 ก็พวกเรากลิ้งไปกลิ้งมา เกร็งแล้วเกร็งอีก สนุกกันจนก้นกบร้าวและเกือบจะเป็นอัมพาตครึ่งซีก ตลอดระยะเวลา 4 ชั่วโมง กับถนนลูกรังบวกกับเส้นทางขึ้นเขา การได้ลงมายืดเส้นสายระหว่างทาง ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ๆ บอกกับตัวเองไว้เลยว่า "ถึงเวลาสนุกแล้วซิ"
การหัวเราะไปกับความลำบากที่เผชิญ ทำให้พวกเรากลายเป็นเพื่อนกันในไม่ช้า เล่าสู่กันฟังในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างคุ้นชิน
แว๊บแรกที่เท้าแตะพื้นดิน หูได้ยินเสียงสวดมนต์เป็นภาษาที่ไม่คุ้นหู ร่างกายสัมผัสกับสายหมอกเย็นยะเยือก สายตาทอดมองผู้คนทั้งหญิงชายแต่งกายสุขุมเรียบร้อย เรารู้สึกตกหลุมรักการนุ่งผ้าซิ่นของสุภาพสตรีที่นี่มาก ๆ เลย สีสันสวยงามบวกกับใบหน้าอิ่มเอมไปด้วยรอยยิ้มแห่งมิตรภาพ มันเป็นอย่างนี้จริง ๆ นะ พวกเราผู้หญิงหยิบผ้าถุงมานุ่งกันโดยเร็ว นุ่งเป็นบ้าง ไม่เป็นบ้าง ก็ช่วย ๆ กัน จนทุกคนได้ทำความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เรียบร้อย
จากนั้นถ้าใครหิว ก็มีอาหารบริการให้ฟรี กินเสร็จก็ล้างภาชนะคืนให้เรียบร้อย ส่วนเราน่ะหรอ ไม่หิวหรอก อยากรู้ อยากชิม ก็ไปกินกับเขาด้วย กินไม่ได้จ้าาาา 555 แต่โชคดีที่มะกะหล่ำปลีผัดกับน้ำมันและน่าจะใส่เกลือเหลือติดจานอยู่นิดนึง พอจะช่วยให้เราได้กินข้าวที่ตักมาได้หมดจาน เราชอบการหุงข้าวของที่นี่นะ ใช้เตาเผา หุงใส่ถาดก้นลึก ๆ พร้อม ๆ กันหลายถาด ได้ข้าวที่อร่อยไม่น้อยอย่าบอกใครเลย
อิ่มแล้วก็เริ่มเดินได้ สำหรับการเดินป่านั้น ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร ถือเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมากก็จริง แต่พอบวกกับความทรหดกับการนั่งรถแล้ว ก็ไม่แพ้ป่าไหน ๆ เหมือนกันนะเราว่า ฮ่าาาา
สองเท้าก้าวจากจุดเริ่มต้น ใจกลับดิ่งลงภายในใจหนแล้วหนเล่า ความสุขจากการปราศจากความคิด การปล่อยวางเรื่องราวดีร้ายและการได้อยู่กับตัวเอง เวลาอย่างนี้ดีที่สุดแล้ว
เมื่อถึงจุดตั้งแคมป์ ทัศนียภาพกลับถูกบดบังด้วยหมอกไปเสียแล้ว หลังจากที่พวกเรากางเต็นท์ของตัวเองเสร็จ ก็ออกมารอฟ้าฝนด้วยความหวัง แต่แล้วก็สู้กับความหนาวเย็นไม่ไหวจริง ๆ ต้องมุดเข้าถุงนอนใครถุงนอนมัน ว๊าาาา น่าเสียดายจัง แต่ยังไม่หมดหวังจ้าาาาา ยามสายฟ้าเปิดใสกระจ่าง ชะโย่ พวกเราเพลิดเพลินกับธรรมชาติกันครู่ใหญ่ แล้วเริ่มออกเดินไปสักการะพระธาตุกันซึ่งต้องนุ่งซิ่นอีกครั้ง... และ ... เดินด้วยเท้าที่ปราศจากรองเท้า ... จุดนั้น เหมือนร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกับปุยเมฆเลยล่ะ หมอกหนา ลมแรงจนตัวเราโยกตามจังหวะลม เรานั่งลงกับพื้นเบื้องหน้าพระธาตุ ไม่ได้ขออะไร ถึงแม้ในใจมีสิ่งที่ปราถนาก็ตาม... กราบ ... กราบ ... กราบ ...
🍃Part 4 เรื่องควรรู้
⚪ อาหารทุกมื้อที่นี่ เจล้วน ๆ จ้า
⚪ ผู้หญิง และ ผู้ชาย ให้อยู่ในกิริยาสำรวม ไม่นอนด้วยกันแม้เป็นสามีภรรยาก็ตาม
⚪ หญิงมีระดูห้ามขึ้นพระธาตุ
⚪ ไม้เท้าเดินป่าที่นี่อาจไม่จำเป็นนัก
⚪ หญิงห้ามลืมผ้าถุง มิเช่นนั้น อดขึ้นสักการะแน่นอนนนน
⚪ อุปกรณ์ต้องดีนิดนึง เต็นท์ต้องกันลมกันฝนได้ดี ถุงนอนถ้าไม่มีแย่แน่ ๆ และถ้ามีแผ่นรองนอนชีวิตยูจะดี๊ดี
⚪ อย่าลืมกระดาษทิชชู่เปียก เอาไปเยอะหน่อยไว้เช็ดตัว (ควรเลือกแบบที่ย่อยสลายได้เร็ว จะมีสัญลักษณ์รูปชักโครกหน้าซอง)
⚪ ผ้าบลัฟ ผ้าปิดปาก ปิดจมูก สำคัญยิ่ง ฝุ่นเยอะจริงอันนี้คอนเฟิร์ม นี่ขนาดฝนตกนะ
⚪ เสื้อกันลม นอกจากจะถ่ายรูปขึ้นแล้ว ที่นี่เหมาะมากเพราะอากาศแปรปรวนเหลือเกิน
(***รูปแทบทั้งหมดถ่ายโดย Samsung Galaxy S8)
ปล. ทิ้งท้ายเหมือนเดิมเลยแล้วกัน Inbox ถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ Chariya Leeloun ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้า เร็ว ๆ นี้
Mulayit | เดินป่ารอยต่อชายแดนไทย - พม่า | ขุนเขาแห่งศรัทธา
🍃Part 1 แผนการเดินทางคร่าว ๆ
20.00 น. รถตู้จากจุดนัดพบ (BigC สะพานควาย)
Day 1
07.00 น. จุดรวมพล บ้านมอเกอไทย
10.00 น. ออกเดินทางข้ามแดนด้วยรถ กระบะ 4×4
14.00 น. จุดเริ่มต้นการเดินเท้า
15.00 น. ถึงจุดกางเต็นท์
18.00 น. แคมป์ปิ้งมือเย็น ท่ามกลางสายฝน
Day 2
06.00 น. นั่งเฝ้าท้องฟ้าด้วยความหวัง และดื่มด่ำกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติตรงหน้าให้ได้มากที่สุด
08.00 น. มื้อเช้าและเก็บสัมภาระ
10.00 น. เดินเท้าขึ้นสักการะพระธาตุ
11.00 น. ออกเดินทางกลับหมู่บ้านมอเกอไทย
15.00 น. กลับกรุงเทพ
23.00 น. ถึงกทม. โดยสวัสดิภาพ
🍃Part 2 ค่าใช้จ่าย
ทริปนี้ใช้บริการเพจ #การเดินทางของหอยทาก 2,900.- บาท ได้รับมิตรภาพบนทางชัน เป็นเพื่อนร่วมทริปที่น่ารักของกันและกัน มีตั้งแต่อายุ 20 ต้น ๆ ไปจนถึง 67 อุ่น ๆ อาหารการกินก็ดูแลอย่างดี ขอบคุณน้าค้า
🍃Part 3 จะเล่าให้ฟังว่า ...
จากคำล่ำลือปากต่อปาก ที่ว่ากันว่า "Mulayit ขุนเขาแห่งศรัทธา" กระตุ้นหัวใจเราให้อยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที เราเริ่มออกเดินทางด้วยรถตู้จากราชบุรี ถึงสายใต้ใหม่ประมาณ 19.20 น. ต่อแท็กซี่ไปยังจุดนัดพบ Big-C สะพานควาย
สว่างแล้วววว ถึงบ้านลุงจ่า (ผู้ประสานงาน การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ วัฒนธรรมสองแผ่นดิน โทร. 083-6281898 หรือ 087-4160792) เราไม่ได้อาบน้ำหรอก แค่เปลี่ยนเป็นเสื้อยืด กางเกง รองเท้าสำหรับเดิน ก็พร้อมลุย (แบบไม่เน่าเท่าไร มั้ง)
เริ่มต้นด้วยการเดินเท้าข้ามสะพานไม้ในตำนาน ข้ามปุ๊บ คนละประเทศปั๊บ เรานั่งรถกระบะบนเส้นทางที่สุดทรหด และทุลักทุเลมากถึงมากที่สุด ถ้ารถที่เลือกใช้บริการมีเบาะให้นั่งและมีหลังหาให้ อันนั้นคือสิ่งวิเศษ ณ เวลานั้นเลยจริง ๆ เพราะพวกเราได้แต่มอง เพื่อนคันหน้าด้วยความอิจฉานิดนึง 555 ก็พวกเรากลิ้งไปกลิ้งมา เกร็งแล้วเกร็งอีก สนุกกันจนก้นกบร้าวและเกือบจะเป็นอัมพาตครึ่งซีก ตลอดระยะเวลา 4 ชั่วโมง กับถนนลูกรังบวกกับเส้นทางขึ้นเขา การได้ลงมายืดเส้นสายระหว่างทาง ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ๆ บอกกับตัวเองไว้เลยว่า "ถึงเวลาสนุกแล้วซิ"
การหัวเราะไปกับความลำบากที่เผชิญ ทำให้พวกเรากลายเป็นเพื่อนกันในไม่ช้า เล่าสู่กันฟังในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างคุ้นชิน
แว๊บแรกที่เท้าแตะพื้นดิน หูได้ยินเสียงสวดมนต์เป็นภาษาที่ไม่คุ้นหู ร่างกายสัมผัสกับสายหมอกเย็นยะเยือก สายตาทอดมองผู้คนทั้งหญิงชายแต่งกายสุขุมเรียบร้อย เรารู้สึกตกหลุมรักการนุ่งผ้าซิ่นของสุภาพสตรีที่นี่มาก ๆ เลย สีสันสวยงามบวกกับใบหน้าอิ่มเอมไปด้วยรอยยิ้มแห่งมิตรภาพ มันเป็นอย่างนี้จริง ๆ นะ พวกเราผู้หญิงหยิบผ้าถุงมานุ่งกันโดยเร็ว นุ่งเป็นบ้าง ไม่เป็นบ้าง ก็ช่วย ๆ กัน จนทุกคนได้ทำความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เรียบร้อย
จากนั้นถ้าใครหิว ก็มีอาหารบริการให้ฟรี กินเสร็จก็ล้างภาชนะคืนให้เรียบร้อย ส่วนเราน่ะหรอ ไม่หิวหรอก อยากรู้ อยากชิม ก็ไปกินกับเขาด้วย กินไม่ได้จ้าาาา 555 แต่โชคดีที่มะกะหล่ำปลีผัดกับน้ำมันและน่าจะใส่เกลือเหลือติดจานอยู่นิดนึง พอจะช่วยให้เราได้กินข้าวที่ตักมาได้หมดจาน เราชอบการหุงข้าวของที่นี่นะ ใช้เตาเผา หุงใส่ถาดก้นลึก ๆ พร้อม ๆ กันหลายถาด ได้ข้าวที่อร่อยไม่น้อยอย่าบอกใครเลย
อิ่มแล้วก็เริ่มเดินได้ สำหรับการเดินป่านั้น ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร ถือเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมากก็จริง แต่พอบวกกับความทรหดกับการนั่งรถแล้ว ก็ไม่แพ้ป่าไหน ๆ เหมือนกันนะเราว่า ฮ่าาาา
สองเท้าก้าวจากจุดเริ่มต้น ใจกลับดิ่งลงภายในใจหนแล้วหนเล่า ความสุขจากการปราศจากความคิด การปล่อยวางเรื่องราวดีร้ายและการได้อยู่กับตัวเอง เวลาอย่างนี้ดีที่สุดแล้ว
เมื่อถึงจุดตั้งแคมป์ ทัศนียภาพกลับถูกบดบังด้วยหมอกไปเสียแล้ว หลังจากที่พวกเรากางเต็นท์ของตัวเองเสร็จ ก็ออกมารอฟ้าฝนด้วยความหวัง แต่แล้วก็สู้กับความหนาวเย็นไม่ไหวจริง ๆ ต้องมุดเข้าถุงนอนใครถุงนอนมัน ว๊าาาา น่าเสียดายจัง แต่ยังไม่หมดหวังจ้าาาาา ยามสายฟ้าเปิดใสกระจ่าง ชะโย่ พวกเราเพลิดเพลินกับธรรมชาติกันครู่ใหญ่ แล้วเริ่มออกเดินไปสักการะพระธาตุกันซึ่งต้องนุ่งซิ่นอีกครั้ง... และ ... เดินด้วยเท้าที่ปราศจากรองเท้า ... จุดนั้น เหมือนร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกับปุยเมฆเลยล่ะ หมอกหนา ลมแรงจนตัวเราโยกตามจังหวะลม เรานั่งลงกับพื้นเบื้องหน้าพระธาตุ ไม่ได้ขออะไร ถึงแม้ในใจมีสิ่งที่ปราถนาก็ตาม... กราบ ... กราบ ... กราบ ...
🍃Part 4 เรื่องควรรู้
⚪ อาหารทุกมื้อที่นี่ เจล้วน ๆ จ้า
⚪ ผู้หญิง และ ผู้ชาย ให้อยู่ในกิริยาสำรวม ไม่นอนด้วยกันแม้เป็นสามีภรรยาก็ตาม
⚪ หญิงมีระดูห้ามขึ้นพระธาตุ
⚪ ไม้เท้าเดินป่าที่นี่อาจไม่จำเป็นนัก
⚪ หญิงห้ามลืมผ้าถุง มิเช่นนั้น อดขึ้นสักการะแน่นอนนนน
⚪ อุปกรณ์ต้องดีนิดนึง เต็นท์ต้องกันลมกันฝนได้ดี ถุงนอนถ้าไม่มีแย่แน่ ๆ และถ้ามีแผ่นรองนอนชีวิตยูจะดี๊ดี
⚪ อย่าลืมกระดาษทิชชู่เปียก เอาไปเยอะหน่อยไว้เช็ดตัว (ควรเลือกแบบที่ย่อยสลายได้เร็ว จะมีสัญลักษณ์รูปชักโครกหน้าซอง)
⚪ ผ้าบลัฟ ผ้าปิดปาก ปิดจมูก สำคัญยิ่ง ฝุ่นเยอะจริงอันนี้คอนเฟิร์ม นี่ขนาดฝนตกนะ
⚪ เสื้อกันลม นอกจากจะถ่ายรูปขึ้นแล้ว ที่นี่เหมาะมากเพราะอากาศแปรปรวนเหลือเกิน
(***รูปแทบทั้งหมดถ่ายโดย Samsung Galaxy S8)
ปล. ทิ้งท้ายเหมือนเดิมเลยแล้วกัน Inbox ถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ Chariya Leeloun ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้า เร็ว ๆ นี้