อุบายทำอานาปานสติให้เกิดขึ้นและทำให้ละเอียดจนเกิดนิมิต

อุบายทำอานาปานสติให้เกิดขึ้นและทำให้ละเอียดจนเกิดนิมิต

1. ตอนแรก “หายใจอยู่แต่จับลมไม่เจอ” ต้องเตือนสติตัวเองก่อน

ภิกษุรู้สึกว่า “กรรมฐานไม่ปรากฏ” คือ หายใจอยู่นั่นแหละ แต่จับลมไม่ได้ ไม่รู้จะเอาสติเกาะตรงไหน

อุบายคือให้ถามตัวเองในใจว่า
ลมหายใจเข้าออกนี่ มีที่ไหนบ้าง ไม่มีที่ไหนบ้าง ของใครมี ของใครไม่มี

พอพิจารณา จะเห็นเองว่า
    1. ทารกในท้องแม่ – ยังไม่มีลมเข้าออกทางจมูก
    2. คนดำน้ำ – ไม่หายใจทางจมูก
    3. อสัญญีสัตว์ – ไม่มีความรู้ตัว
    4. คนตาย – ไม่มีลมหายใจ
    5. ผู้เข้าจตุตถฌาน
    6. ผู้เสวยรูปภพ–อรูปภพ
    7. ผู้เข้านิโรธสมาบัติ
ทั้งหมด “ไม่มีลมเข้าออกให้กำหนด”

แล้วให้เตือนตัวเองว่า
เราไม่ใช่ทารกในท้องแม่
ไม่ได้ดำน้ำ
ไม่ใช่อสัญญีสัตว์
ไม่ได้ตาย
ไม่ได้อยู่ในจตุตถฌาน
ไม่ได้อยู่ในนิโรธ
เรายังหายใจอยู่จริง ๆ
แต่เรายังโง่อยู่ จึงจับมันไม่ได้

นี่คือการดึงสติ + ปัญญาขึ้นมาก่อนเลย ว่า “ลมมีจริง แต่สติเรายังอ่อน”

2. จุดตัดสินใจ ตั้งจิตไว้ตรง “ที่ลมถูกต้องตามปกติ” เท่านั้น

จากนั้นให้ตั้งจิตไว้ที่ ฐานที่ลมกระทบจริงในคนธรรมดา
    ถ้าจมูกยาว ลมจะไปโดน “โครงจมูก”
    ถ้าจมูกสั้น ลมจะไปโดน “ริมฝีปากบน”

ให้กำหนดในใจว่า

“ลมหายใจเข้าออกของเราจะสัมผัสตรงนี้แหละเราจะรู้อยู่ตรงนี้ ไม่ไปหาที่อื่น”

นี่แหละคือ
“โอกาสที่ลมถูกต้องโดยปกติ”

และตรงนี้เอง พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
อานาปานสติใช้ไม่ได้กับคน “หลงลืมสติ ไม่รู้สึกตัว”
เพราะกรรมฐานนี้ต้องอาศัยสติและความรู้ตัวละเอียดมาก

3. อานาปานสติ เป็นกรรมฐานของมหาบุรุษ ไม่ใช่ของเล่น

    1. กรรมฐานอื่น ๆ ต่อให้สติไม่ละเอียดมาก ก็ยังพอทำให้ปรากฏง่าย
    2. แต่อานาปานสติ “เป็นภาระหนัก สำเร็จยาก”
    3. เป็นภูมิของ “พระพุทธเจ้า ปัจเจกพุทธเจ้า และพุทธบุตรผู้ใหญ่”
    4. ไม่ใช่กรรมฐานของสัตว์ผู้ต่ำต้อย
    5. จึงต้องการ “สติ = เข็ม” และ “ปัญญา = ด้าย” ที่ละเอียดมาก

เปรียบกับ
    ผ้าสาฎกเนื้อละเอียด → ต้องใช้เข็มเล็ก
    ด้ายที่ร้อยเข็ม → ต้องละเอียดกว่าเข็มอีก

ฉันใด
อานาปานสติที่ละเอียดมาก → ต้องมีสติและปัญญาแหลมคมฉันนั้น

อย่าคิดว่าอานาปานสติเป็นของง่าย ๆ
ต้องเอาจริงกับสติและปัญญามากกว่ากรรมฐานอื่น

4. อุบาย “ชาวนา – โคถึก” เป็นวิธีหา “ลมหายใจที่หายไป” ดังนี้

    1. ชาวนาไถนาเสร็จ ปล่อยโคถึกเข้าป่าไปกินหญ้า
    2. ตอนเย็น ถ้าจะตามหาโค ชาวนาฉลาดจะไม่เดินเข้าป่าตามรอยเท้าโค
    3. แต่จะถือเชือกและประตัก ไปดักรอที่ “ท่าน้ำ”
เพราะโคหิวเมื่อไรก็ต้องกลับมาดื่มน้ำที่ท่าน้ำอยู่ดี

ฉันใด
    1. เราไม่ต้อง “ไล่หา” ลมหายใจทั่วร่างกาย
  2. แค่เอา “เชือก คือ สติ” และ “ประตัก คือปัญญา”
    3. ไปตั้งไว้ตรง “ที่ลมกระทบตามปกติ” ที่ปลายจมูก/ริมฝีปากบน แล้ว “รออย่างมีสติ” อยู่ตรงนั้น

ไม่นาน
ลมหายใจละเอียด ๆ จะเริ่มปรากฏเอง
เหมือนโคถึกกลับมาที่ท่าน้ำ

จากนั้น
    4. ใช้สติ “ผูก” ลมไว้ คือ ไม่ปล่อยให้สติหลุดจากจุดนั้น
    5. ใช้ปัญญา “แทง” คือรู้เท่าทันลมว่าไม่เที่ยง เกิด–ดับ ไม่ใช่เรา
    6. กรรมฐานจึงเดินต่อจนเกิดนิมิต

5. เมื่อนิมิตเกิด  ทำไมแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ตำราว่า “นิมิตไม่เหมือนกันทุกคน”

บางคนเห็นรู้สึกเหมือน
    1. ปุยนุ่น ปุยฝ้าย ลมอ่อน ๆ นุ่ม ๆ
    2. ดวงดาว พวงแก้ว มุกดา แสงต่าง ๆ
    3. เมล็ดฝ้าย เสี้ยนไม้ หยาบ ๆ
    4. สายสังวาล ดอกคำ เปลวควัน
    5. ใยแมงมุม กลีบเมฆ ดอกบัว ล้อรถ จันทร์–อาทิตย์ ฯลฯ

ทั้งหมดนี้
ไม่ใช่ตัวกรรมฐานที่ต่างกัน
แต่เป็น “สัญญาต่างกัน” ของจิตแต่ละดวง

เหมือนพระหลายรูปสวดพระสูตรเดียวกัน
แต่คนหนึ่งรู้สึกเหมือนน้ำตก
อีกคนเหมือนป่าใหญ่
อีกคนเหมือนต้นไม้หนักลูกผล
พระสูตรเดียวกัน แต่ “ความรับรู้ในใจ” ต่างกัน

อานาปานสติก็เช่นกัน
กรรมฐานเดียวกัน แต่ปรากฏต่างกัน เพราะสัญญาต่างกัน

สรุปคือ
อย่าไปติดว่า นิมิตเราต้องเหมือนในหนังสือ
ให้สนใจ “คุณสมบัติ” มากกว่า “หน้าตา” ของนิมิต
คือมันทำให้จิตตั้งมั่น สงบ สว่าง นุ่ม แนบแน่น หรือไม่

6. “วิธีฝึกแบบใช้งานจริง”
กล่าวโดยสรุป
    1.    ยอมรับก่อนว่า ลมหายใจมีอยู่จริง แต่สติ–ปัญญาเรายังอ่อน
ไม่ต้องหงุดหงิด แค่ยอมรับตามความจริง
    2.    ตั้งใจว่า “เราจะไม่เข้าไปหาอะไรแปลก ๆ”
ไม่ออกไปร่างกาย ไม่วิ่งตามลมทั่วตัว
แต่จะตั้งสติแค่ตรง “จุดที่ลมสัมผัสชัดที่สุด” ใต้จมูก/ริมฝีปากบน
    3.    ใช้สติเป็น “เชือก” คือรู้อยู่กับจุดสัมผัสตลอด
ไม่ว่าเข้าหรือออก แค่รู้อยู่ตรงนี้
    4.    ใช้ปัญญาเป็น “ประตัก” คอยแทงรู้ว่า
ลมนี้เกิด–ดับ ไม่ใช่เรา
ไม่ต้องคิดเยอะ แค่รู้ว่ามันไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน
    5.    ไม่ต้องไล่ตามลม ไม่ต้องเดินตามต้น–กลาง–ปลาย
แค่ตั้งตัวเหมือนชาวนานั่งรอที่ท่าน้ำ
ให้ลมหายใจมัน “มาเอง–ไปเอง” ผ่านหน้าสติเรา
    6.    ฝึกบ่อย ๆ ลมหายใจจะละเอียด นุ่ม สบายมากขึ้น แล้ว “นิมิต” แบบใดแบบหนึ่งจะปรากฏตามจริตของเรา ไม่ต้องเลือกแบบ ขอแค่จิตตั้งมั่น สงบ ไม่ฟุ้ง ไม่ดีใจเกิน
    7.    จากนั้นจึงใช้สมาธิที่ตั้งมั่นนี้
ไปต่อในทางวิปัสสนา เห็นรูป–นาม สังขารทั้งหลายเกิด–ดับ ไปจนถึงอุบาย “ไม่ยึดธาตุ ไม่ยึดโลกนี้โลกหน้า”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่