ทริป ภูสอยดาว ๒ วัน ๑ คืน กับหนุ่มน้อยวัยเกษียณ

    

            
               

         สวัสดีครับ เจอกันอีกแล้ว จากทริปที่แล้ว โบลาเวน น้ำตกตาดขมึด ตาดฟาน ก็พบว่าการเดินป่ามันเป็นอะไรที่(โคตร)เหนื่อย แต่สนุก มีความสุข ได้เปิดโลก เจออะไรใหม่ๆ เจอ unpredictable situation ที่ไม่ว่าจะดีหรือแย่ แต่มันก็ให้ประสพการณ์ใหม่ๆกับเราได้ทุกครั้ง เลยวางแผนว่าจะไปไหนต่อดี หลังจากดูไว้หลายๆที่ก็มาจบที่ภูสอยดาว แต่จะไม่ไปช่วงหน้าฝนเพราะเจอฝนที่โบลาเวนตลอดทริป มันอิ่มจนจุกแล้ว ก็เลยแปลนไว้จะไปหน้าหนาว ฟ้าใสๆอากาศหนาว ดาวเต็มฟ้า มีทางช้างเผือกสว่างๆ กะจะถ่ายรูปดาวมาให้ฉ่ำเลย ก็เลือกวันที่เป็นเดือนมืด หน้าหนาว ไม่ตรงกับวันหยุด ก็ได้มาวันที่ 18 พย เป็นวันอังคาร น่าจะหนาวแล้ว และเป็นแรม 14 ค่ำ ก็เริ่มวางแผนลุย เหมือนเดิมจะขับรถไปเองคนเดียว ไปนอนชาติตระการก่อนคืนนึง เช้าค่อยขับรถไปภูสอยดาวแล้วค่อยเริ่มเดิน ก็หาที่เที่ยวแถวๆชาติตระการว่ามีอะไรให้เที่ยว ให้พัก ให้กิน ก็มาเจอ บ้านน้ำจวง เป็นหมู่บ้านม้งเล็กๆอยู่ระหว่างทางไปภูสอยดาว วิวก็สวยดี สงบ มีที่กางเตนท์ ดูรูป ดูรีวิว ก็มีแต่ดีๆถนนก็เข้าถึง  ก็ติดต่อไปจองที่พัก๑คืน กะจะไปกางเตนท์นอนเอง แล้วก็มาเตรียมตัว จัดของ เที่ยวนี้เป็นทริปหน้าหนาวก็จัดอุปกรณ์กันหนาวไปเยอะหน่อย เตนท์ก็เอาตัวเล็กผ้าชั้นเดียวไปก็พอ เบาหน่อย แค่ถุงนอน เสื้อกันหนาว ผ้าเช็ดตัว ที่นอนเป่าลม ก็ยัดไปเกือบเต็มเป้แล้ว พอใกล้ๆวันเดินทางลมหนาวก็มาถึงรังสิตแล้ว ดีใจจริงๆ แต่พอวันจะเดินทาง ( 17 พย) ฟ้าเริ่มครึ้ม เมฆเยอะ ชักใจไม่ดีก็เอาเสื้อกันฝนมายัดเพิ่มอีกตัว
          ตอนออกเดินทางอากาศก็ยังดีอยู่จนออกจากนครสวรรค์ ฟ้าเริ่มมืด จนเข้าพิษณุโลกก็เจอฝนพรำๆตกๆหยุดๆ พอเข้าที่พักที่น้ำจวงฝนก็ตกตลอดแต่เป็นละออง (Drizzle) น่ารำคาญมาก ไปไหนก็ไม่ได้ ว่าจะกางเตนท์เองก็ไม่อยากให้เตนท์เปียก เช้ามาเก็บลำบาก มันจะเละไปหมด เลยเช่าเตนท์เขาไปเลย ใช้เงินแก้ปัญหา ที่พักเขาก็บอกฝนเพิ่งตกเมื่อคืนนี่เองก่อนหน้านี้อากาศยังหนาวอยู่เลย สักพักฝนหยุดก็หาที่เที่ยวใกล้ มีน้ำตกสวยชื่อ ตาดปลากั้ง ต้องนั่งรถชาวบ้านไป แต่ฝนตกแบบนี้ไปไม่ได้ ก็เลยไปน้ำตกเล็กชื่อ ตาดปลาขาว แทน ถามเขา เขาบอกประมาณกิโลนึง อ๊ะแค่กิโลเดียวเดินไปดีกว่าวอร์มขาไปด้วย ชมวิวไปด้วย ก็เดินไปเรื่อยๆ เอกิโลนึงทำไมมันไกลขนาดนี้ เริ่มเข้าเขตหมู่บ้านม้งถามทางเขา เขาว่าโอ๊ยมันไกลเดินไหวเหรอ อ้าวไกลหรอกเหรอ ก็เลยบอกเดินมาไกลแล้วคงไม่กลับไปเอารถหรอกก็เดินต่อไปจนถึง ก็หลงไปพักนึงเหมือนกัน น้ำตกสวยใช้ได้เลย ไม่ใหญ่มาก แต่น้ำเยอะดี มีผมคนเดียว ฝนก็ตกตลอด ขากลับจับระยะทางได้เกือบ ๓ กิโล ลืมไปที่นี่เป็นชาวม้ง ระยะทางคงเป็นกิโลม้ง ไม่ใช่กิโลเมตร ก็ดีได้วอร์มขาก่อนเดินจริง ก็อาบน้ำกินข้าว ไม่มีอะไรทำก็เข้านอนแต่๒ทุ่มเลย
     
ที่พัก ลานกางเตนท์ บ้านนำ้จวง
สภาพหมู่บ้านนำ้จวง
นำ้ตกตาดปลาขาว

        กลางคืนฝนหยุดตกแล้วแต่ลมแรงทั้งคืน ไม่เห็นดาวสักดวง ก็กะว่าฝนตกแบบนี้เช้าคงมีทะเลหมอกสวยๆชดเชยกัน แต่ลมแรงทั้งคืน เป่าหมอกไปหมดไม่มีให้เห็นเลย ซวยสองเด้งจริงๆ ก็ทำใจเก็บของขับรถไปภูสอยดาวดีกว่า
            ไปถึงภูสอยดาว มีรถจอดอยู่พอสมควร นักท่องเที่ยวที่เห็นน่าจะ 20-30 คนกว่าจะลงทะเบียนเสร็จก็ใช้เวลาพอสมควรเพราะไม่รู้ขั้นตอน แต่พอจนท.รู้ว่าผม 60 แล้วเขาก็ช่วยเหลือดี ค่าเข้าอุทยาน ค่าที่จอดรถไม่ต้องเสีย เออ แก่แล้วมันก็มีอะไรดีๆเหมือนกัน กินข้าวเช้า ซื้อข้าวเหนียวไปเป็นเสบียงกลางทาง น้ำ ๒ ขวด snicker 1 แท่งเอาไว้กินกลางทาง พร้อมแล้วก็เริ่มเดินเลย มาคนเดียว เดินคนเดียว ถ่ายรูปเองคนเดียว แต่ก็มีน้องๆ หลานๆ มาชวนคุยบ้างพอหายเหงาไปบ้าง

            ระหว่างทางที่เดินไป สภาพทางเดินก็แคบ บางส่วนชันมาก ยาว แต่ก็ไม่หนักมาก เอาอยู่ ช่วงที่ชันที่สุดกลับเป็นช่วง เนินส่งญาติ ทั้งชันทั้งยาว ไม่มีทางราบให้พักเลย หลังจากนั้นไป ก็สบายขึ้น ถึงจะชัน จะยาวแต่ก็มีทางราบให้พักบ้าง วิวระหว่างทางก็มีหลายจุดที่ว้าวมาก เมฆลอยคลุมไปทั่ว แต่ลมแรงมาก แรงจนน่ากลัว ข้างบนถ้าลมแบบนี้เตนท์จะเอาอยู่เหรอ ก็เดินไปเรื่อยๆจนถึงยอดภู ก็ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ ผลลัพท์จากการออกกำลังสม่ำเสมอ และทริปนี้ได้ลองซื้อ Trekking pole มาใช้เป็นครั้งแรก แล้วพบว่ามันช่วยได้มากจริงๆ จากที่คิดว่ามันเป็นแค่แฟชั่นที่ไม่มีประโยชน์ ก็ผ่อนแรงได้มากจริงๆ จนมาถึงลานกางเตนท์ก็หาโค้กน้ำแข็งกินก่อนเลย ชื่นใจจริงๆ นึกถึงน้ำแดงโซดาบนภูกระดึงเลย  ตามด้วยข้าวไข่เจียว พอหมดก็รีบกางเตนท์ ยังดีข้างบนลมไม่แรงเท่าระหว่างทาง กางเตนท์เสร็จอาบน้ำเปลี่ยนชุดไปหาที่ถ่ายรูป แป๊บเดียวฝนมาแล้ว ตกเป็นละอองหนาวๆ หมอกคลุมเต็มลาน ได้แต่หลบอยู่ในเตนท์จนเย็น ออกมากินข้าว แล้วมามุดเตนท์ต่อ นอนฟังเสียงฝนกระแทกเตนท์ เสียงลมดังเหมือนคลื่นทะเล เตนท์กระพือไปเรื่อยๆ นอนลุ้นว่าเตนท์จะพังไหมจนเช้าหลับๆตื่นๆ รวมๆได้หลับไป ๓ – ๔ ชั่วโมงเอง

สภาพลานกางเตนท์
ข้าวไข่เจียวกับโค้กนำ้แข็ง ชื่นใจสุดๆ

วิวบนลานสน

        เช้ามามึนหัว เบลอๆ ฝนหยุดแล้ว ลมเบาแล้ว ก็กินข้าวเหนียวไก่ที่เอามาเมื่อวาน กินได้นิดหน่อย เพราะมันเช้ามาก และมันแข็ง เย็นชืดเลย โมงเช้าก็เดินลง คนแรกเลย ตอนลงก็ได้ Pole ช่วยชีวิตไว้ เพราะขาลงแบกเป้ลงเอง 11 กก. ไม่ได้จ้างลูกหาบเพราะรีบลงแล้วต้องขับรถกลับบ้านอีก 500 กม . รอลูกหาบไม่ได้  ถ้าไม่มี pole คงตะคริวกินหน้าขา หรือเข่าพังก่อนแน่ ระหว่าเดินลงก็มีเด็กๆที่เดินสวนขึ้นมาชมตลอดทาง มีเรียกพี่ อา ลุง ป๋า มีทุกแบบ ยิ่งรู้ว่าผม 60 แล้วยิ่งตาโต ตอนขาขึ้นมีเด็กผู้หญิงคนนึงกำลังไลฟ์คุยกับแม่ เธอบอกเลย แม่ดูนี่ ลุงแก 60 แล้วแกยังเดินเร็วกว่าหนูอีก แม่ยังไม่ 50 เลยเอาแต่นอน ผมก็บ๊ายบายให้กล้องแล้วบอกว่าออกกำลังบ้างนะครับ แล้วก็เดินแซงไป    พอลงมาแล้วก็อาบน้ำ เปลี่ยนชุด กินข้าว แล้วก็ออกเดินทาง ฟ้าครึ้มมาเรื่อยๆจนออกจากนครสวรรค์ ก็ฟ้าเปิด แดดเปรี้ยง มาถึงบ้านเอา ทุ่มตรง กินข้าวอาบน้ำ นอน หัวถึงหมอนปุ๊บ สลบไปเลย  เช้ามาค่อยมารื้อเป้ ซักผ้า  สภาพร่างกาย ก็ปวดบ่าเพราะจัดเป้ไม่ดี น้ำหนักลงบ่ามากกว่าลงเอว กับปวดหน้าขานิดหน่อย  ถ้าไม่ใช้ pole คงลุกไม่ขึ้นแล้ว   รื้อของไปก็เริ่มหาเรื่องอีกแล้ว ทริปต่อไปจะไปที่ไหนดี  ถ้าไปที่ไหนแล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกครับ    สวัสดี

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่