ธัมมนันทะ อุปาทานขันธ์ 5 เม็ดมะม่วง บอกว่าสมาธิรู้ไตรลักษณ์ไม่ได้ ฌานเห็นความไม่เที่ยงไม่ได้ เชิญสดับ

สืบเนื่องจากกระทู้ https://pantip.com/topic/38355006/comment3-1

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=22&A=419&Z=450
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

ทุสสีลสูตร
             [๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาสมาธิของภิกษุผู้ทุศีล มีศีลวิบัติแล้ว ย่อม
เป็นธรรมมีอุปนิสัยขาดแล้ว

เมื่อสัมมาสมาธิไม่มี ยถาภูตญาณทัสสนะของภิกษุ ผู้มีสัมมาสมาธิวิบัติ ย่อมเป็นธรรมมีอุปนิสัยขาดแล้ว เมื่อยถาภูตญาณทัสสนะไม่มี


นิพพิทา ๒- และวิราคะ ๓- ของภิกษุผู้มียถาภูตญาณวิบัติ ย่อมเป็นธรรมมีอุปนิสัยขาด
แล้ว เมื่อนิพพิทาและวิราคะไม่มี วิมุตติญาณทัสสนะ ๔- ของภิกษุผู้มีนิพพิทาและ
วิราคะวิบัติ ย่อมเป็นธรรมมีอุปนิสัยขาดแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้ที่มีกิ่งและใบ
วิบัติแล้ว แม้กะเทาะของต้นไม้นั้น ก็ไม่ถึงความบริบูรณ์ แม้เปลือกก็ไม่ถึงความ
บริบูรณ์ แม้กระพี้ก็ไม่ถึงความบริบูรณ์ แม้แก่นก็ไม่ถึงความบริบูรณ์ ฉันใด ฉันนั้น
@๑. หมายถึงอาสวักขยญาณ ๒. วิปัสสนาชั้นสูง ๓. มรรค ๔. ผลวิมุตติและปัจจเวกขณญาณ
เหมือนกันแล ภิกษุทั้งหลาย สัมมาสมาธิของภิกษุผู้ทุศีล มีศีลวิบัติแล้ว ย่อม
เป็นธรรมมีอุปนิสัยขาดแล้ว เมื่อสัมมาสมาธิไม่มี ยถาภูตญาณทัสสนะของภิกษุ
ผู้มีสัมมาสมาธิวิบัติ ย่อมเป็นธรรมมีอุปนิสัยขาดแล้ว เมื่อยถาภูตญาณทัสสนะ
ไม่มี นิพพิทาและวิราคะ ของภิกษุผู้มียถาภูตญาณทัสนะวิบัติ ย่อมเป็นธรรมมี
อุปนิสัยขาดแล้ว เมื่อนิพพิทาและวิราคะไม่มี วิมุตติญาณทัสสนะ ของภิกษุผู้มี
นิพพิทาและวิราคะวิบัติ ย่อมเป็นธรรมมีอุปนิสัยขาดแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัมมาสมาธิของภิกษุผู้มีศีล ถึงพร้อมด้วยศีล ย่อมเป็นธรรมถึงพร้อมด้วย
อุปนิสัย เมื่อสัมมาสมาธิมีอยู่ ยถาภูตญาณทัสสนะของภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วย
สัมมาสมาธิ ย่อมเป็นธรรมถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย เมื่อยถาภูตญาณทัสสนะมีอยู่
นิพพิทาและวิราคะ ของภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยยถาภูตญาณทัสสนะ ย่อมเป็นธรรม
ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย เมื่อนิพพิทาและวิราคะมีอยู่ วิมุตติญาณทัสสนะ ของภิกษุ
ผู้ถึงพร้อมด้วยนิพพิทาและวิราคะ ย่อมเป็นธรรมถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ต้นไม้ที่กิ่งและใบบริบูรณ์ แม้กะเทาะของต้นไม้นั้นก็ถึงความบริบูรณ์
แม้เปลือกก็ถึงความบริบูรณ์ แม้กระพี้ก็ถึงความบริบูรณ์ แม้แก่นก็ถึงความบริบูรณ์
ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุทั้งหลาย สัมมาสมาธิของภิกษุผู้มีศีล ถึงพร้อม-
*ด้วยศีล ย่อมเป็นธรรมถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย เมื่อสัมมาสมาธิมีอยู่ ยถาภูตญาณ-
*ทัสสนะ ของภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยสัมมาสมาธิ ย่อมเป็นธรรมถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย
เมื่อยถาภูตญาณทัสสนะมีอยู่ นิพพิทาและวิราคะของภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยยถาภูต
ญาณทัสสนะ ย่อมเป็นธรรมถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย เมื่อนิพพิทาและวิราคะมีอยู่
วิมุตติญาณทัสสนะของภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยนิพพิทาและวิราคะ ย่อมเป็นธรรมถึงพร้อม
ด้วยอุปนิสัย ฯ


http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=09&A=1072&Z=1919

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค

๒. สามัญญผลสูตร
-----------------------------------------------------
เรื่องพระเจ้าอชาตศัตรู

รูปฌาน ๔
             [๑๒๗] เมื่อเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ ที่ละได้แล้วในตน ย่อมเกิดปราโมทย์
เมื่อปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ เมื่อมีปีติในใจ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบแล้วย่อมได้เสวยสุข
เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น. เธอสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน...

วิชชา ๘
วิปัสสนาญาณ

             [๑๓๑] ภิกษุนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส
อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสนะ ๑- เธอ
ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แล มีรูปประกอบด้วยมหาภูต ๒- ๔ เกิดแต่มารดาบิดา เติบโต
ขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสดไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็น
ธรรมดาและวิญญาณของเรานี้ ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้


............
อาสวักขยญาณ
             [๑๓๘] ภิกษุนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส
อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ
ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา  เหล่านี้
อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา
เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อม
หลุดพ้นแม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่า
หลุดพ้นแล้ว. รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น
เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

...............................................................................................
          

ความคิดเห็นที่ 1  ธัมมนันทะ
  หมายถึงหน้าที่หรือกิจของสมาธิ  คือหน้าที่ทำให้จิตตั้งมั่นโดยการรวบรวมธรรมต่างๆไว้  ไม่ใช่ทำหน้าที่ไปรู้หรือไปพิจารณาว่าอะไรเที่ยงหรือไม่เที่ยง

- หน้าที่ที่จะไปรู้เห็นหรือพิจารณาว่า อะไรเที่ยงหรือไม่  เป็นหน้าที่ของปัญญา  ไม่ใช่หน้าที่ของสมาธิ

ความคิดเห็นที่ 3 เม็ดมะม่วง
ฌานในพุทธศาสนา คือสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
การรู้ชัดในพระไตรลักษณ์ ไม่ใช่กิจของ "เอกัคคตา" หรือ "สมาธิ"
แต่เป็นกิจของ "ปัญญา"

ความคิดเห็นที่ 4 อุปาทานขันธ์ 5

ปัญญา เห็นความไม่เที่ยง ( กิจของปัญญา คือ เห็นอริยสัจจ4 ตามความเป็นจริง / ในนั้นมีไตรลักษณ์ / ในไตรลักษณ์มีความไม่เที่ยง )
ศีล เห็นความไม่เที่ยงไม่ได้ ( กิจของศีลคืออย่างอื่น )
สมาธิ เห็นความไม่เที่ยงไม่ได้ ( กิจของสมาธิคืออย่างอื่น )
ชัดเจนจะครับว่า หน้าที่เห็นความไม่เที่ยงคือ ปัญญา
โดยมีมรรคอื่นประกอบ มีสมาธินำ
สติ อยู่ในกลุ่มสมาธิ ในอริยมรรคองค์ 8
เพียร อยู่ในกลุ่มสมาธิ ในอริยมรรคองค์ 8
ฌาน อยู่ในกลุ่มสมาธิ ในอริยมรรคองค์ 8 ( ตาม สติปัฏฐานสูตร มหาสติปัฏฐานสูตร / ธรรมในธรรม แสดง ฌาน 1 2 3 4 คือ สัมมาสมาธิ )
ดังนั้น
กลุ่มสมาธิ เห็นความไม่เที่ยงไม่ได้ ( จะไปแย่งกลุ่มปัญญาในอริยมรรค ไม่ได้เด็ดขาด )
สติ เห็นความไม่เที่ยงไม่ได้
เพียร เห็นความไม่เที่ยงไม่ได้
ฌาน เห็นความไม่เที่ยงไม่ได้

.........................................................................................................................

มรรคที่เดินเพื่อโน้มไปเห็นไตรลักษณ์คือ สมาธิ   ซึ่งมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธานอยู่  ฉะนั้น ท่านทั้ง ๓ แสดงธรรมห้วนๆ จนขาดเหตุปัจจัย  ประเด็นสำคัญของการบรรลุธรรม คือ ได้ฌาน สมาธิแล้วจะทำยังไงต่อไป จะทำอะไรต่อไป  ถ้าคนปฏิบัติธรรมเดินมรรคไม่เป็นก็จะประคองเอกัคคตาไว้อยู่อย่างนั้น จนมรรคตีบตัน แต่ถ้าคนที่ปฏิบัติเป็นจะรู้เมื่อบรรลุสมาธิจะใช้ประโยชน์ของสมาธิยังไงต่อไป จึงโน้มจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิไปเห็นไตรลักษณ์ วิปัสสนา       บรรลุอาสวักขญาณ  ดังสามัญญผลสูตร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่