ธรรมะข้อเดียวที่ยิ่งใหญ่ — เอกธรรมสูตร
ครั้งนั้น ณ พระนครสาวัตถี
พระผู้มีพระภาคตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า :
“ภิกษุทั้งหลาย ธรรมะข้อเดียว…
หากเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์มาก”
ธรรมะข้อนั้นคือ — อานาปานสติ
(การกำหนดลมหายใจเข้า–ออก)
พระองค์ทรงสอนวิธีปฏิบัติอย่างเรียบง่าย :
ไปสู่ป่า โคนไม้ หรือเรือนว่าง
นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง
มีสติรู้พร้อมทุกลมหายใจเข้า–ออก
จากนั้นค่อย ๆ พัฒนาเป็น ๑๖ ขั้น
เริ่มจากรู้ลมยาว–สั้น → รู้กาย → ระงับกายสังขาร → รู้ปีติ–สุข → รู้และระงับจิตสังขาร → รู้จิต ตั้งจิตให้มั่น ทำให้บันเทิง และปลดปล่อย → จนถึงการพิจารณาอนิจจัง วิราคะ นิโรธ และปฏินิสสัคคะ
“อานาปานสติที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่”
อานาปานสติหล่อเลี้ยงโพชฌงค์ — โพชฌงคสูตร
พระพุทธองค์ตรัสว่า—
อานาปานสติ มิใช่เพียงฝึกหายใจ แต่เป็น ต้นน้ำ ที่หล่อเลี้ยง โพชฌงค์ ๗ องค์ธรรมแห่งการตรัสรู้
เริ่มจาก สติสัมโพชฌงค์ → ระลึกรู้ไม่เผลอ
ต่อด้วย ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ → ใช้ปัญญาพิจารณาธรรม
เกิด วิริยสัมโพชฌงค์ → ความเพียรไม่ย่อหย่อน
ก่อให้เกิด ปีติสัมโพชฌงค์ → ความอิ่มใจปราศจากอามิส
แล้วเข้าสู่ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ → กายสงบ จิตสงบ
จิตจึงตั้งมั่นเป็น สมาธิสัมโพชฌงค์
และสุดท้าย วางใจเป็นกลางด้วยปัญญา เป็น อุเบกขาสัมโพชฌงค์
แต่การเจริญโพชฌงค์ ต้องมีเงื่อนไข ๓ คือ :
อาศัย วิเวก (ความสงัด)
อาศัย วิราคะ (ความคลายกำหนัด)
อาศัย นิโรธ (ความดับกิเลส)
และทั้งหมด น้อมไปสู่การปล่อยวาง (วิมุตติ)
ผลานิสงส์ — ไม่ต่ำกว่าอนาคามี
พระองค์ตรัสชี้ตรง ๆ ว่า—
ภิกษุผู้เจริญอานาปานสติจริงจัง ย่อมหวังได้ผล ๒ อย่าง
1. บรรลุ อรหัตผล ในปัจจุบัน
2. ถ้ายังไม่ถึง ก็ย่อมบรรลุอย่างน้อย พระอนาคามี
แม้ยังไม่สิ้นกิเลสทั้งหมด ก็สิ้นสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ และไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก
ในอีกสูตร พระองค์แจกแจงต่อว่า ผลสูงสุดที่ควรหวังได้มีถึง ๗ ประการ ตั้งแต่การบรรลุอรหันต์ในชาตินี้ ในเวลาใกล้ตาย หรืออย่างน้อยก็เป็นอนาคามีในระดับต่าง ๆ เช่น อันตราปรินิพพายี อุปหัจจปรินิพพายี ฯลฯ
ใจความสั้น ๆ คือ—
อานาปานสติ ถ้าทำเต็มที่ ไม่ต่ำกว่าอนาคามีแน่นอน
อริฏฐสูตร — ความเข้าใจที่ยังไม่ครบ
พระอริฏฐะกราบทูลว่า ตนเจริญอานาปานสติอยู่แล้ว โดยหมายเพียงการละกามฉันท์และปฏิฆะ แล้วกำหนดลมหายใจเข้า–ออก
พระองค์ตรัสว่า :
“อานาปานสตินั้นมีอยู่ แต่ยังไม่บริบูรณ์
การเจริญที่บริบูรณ์ ต้องทำครบถ้วน
ทั้ง ๑๖ ขั้น จนถึงการพิจารณาเห็นความสละคืนสิ่งทั้งปวง”
กัปปินสูตร — สมาธิไม่ไหวไม่เอน
เล่าถึง พระมหากัปปินะ ผู้เจริญอานาปานสติสมาธิจนมั่นคง ถึงกับนั่งในสงฆ์หรือในที่ลับเพียงลำพัง ก็ไม่เห็นความไหวของกาย และไม่เห็นความกวัดแกว่งแห่งจิตเลย
พระองค์ตรัสว่า :
“ความไหวของกาย ความหวั่นไหวของจิต ย่อมไม่มี เพราะเจริญอานาปานสติสมาธิ”
ทีปสูตร — ตะเกียงแห่งธรรม
สุดท้าย พระพุทธองค์ตรัสประกาศว่า :
“อานาปานสติสมาธิ ที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว → ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์มาก”
ดุจ ตะเกียง (ทีปะ) ที่ให้แสงสว่าง อานาปานสติสมาธิทำให้กายสงบ จิตมั่นคง และนำไปสู่การปล่อยวางได้จริง
สรุปภาพรวม
เอกธรรมสูตร : อานาปานสติคือธรรมะข้อเดียวที่ยิ่งใหญ่
โพชฌงคสูตร : อานาปานสติเป็นต้นน้ำหล่อเลี้ยงโพชฌงค์ ๗
ผลสูตร : ผู้ปฏิบัติย่อมบรรลุผลสูงสุด ไม่ต่ำกว่าอนาคามี
อริฏฐสูตร : เตือนว่าอย่าหยุดที่ความเข้าใจเพียงบางส่วน ต้องทำให้ครบถ้วน
กัปปินสูตร : แสดงผลจริง คือสมาธิที่มั่นคง ไม่ไหวไม่เอน
ทีปสูตร : ตอกย้ำว่า อานาปานสติสมาธิเป็นตะเกียงแห่งธรรม ให้ผลใหญ่และอานิสงส์มหาศาล
ธรรมะข้อเดียวที่ยิ่งใหญ่ — เอกธรรมสูตร
ครั้งนั้น ณ พระนครสาวัตถี
พระผู้มีพระภาคตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า :
“ภิกษุทั้งหลาย ธรรมะข้อเดียว…
หากเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์มาก”
ธรรมะข้อนั้นคือ — อานาปานสติ
(การกำหนดลมหายใจเข้า–ออก)
พระองค์ทรงสอนวิธีปฏิบัติอย่างเรียบง่าย :
ไปสู่ป่า โคนไม้ หรือเรือนว่าง
นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง
มีสติรู้พร้อมทุกลมหายใจเข้า–ออก
จากนั้นค่อย ๆ พัฒนาเป็น ๑๖ ขั้น
เริ่มจากรู้ลมยาว–สั้น → รู้กาย → ระงับกายสังขาร → รู้ปีติ–สุข → รู้และระงับจิตสังขาร → รู้จิต ตั้งจิตให้มั่น ทำให้บันเทิง และปลดปล่อย → จนถึงการพิจารณาอนิจจัง วิราคะ นิโรธ และปฏินิสสัคคะ
“อานาปานสติที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่”
อานาปานสติหล่อเลี้ยงโพชฌงค์ — โพชฌงคสูตร
พระพุทธองค์ตรัสว่า—
อานาปานสติ มิใช่เพียงฝึกหายใจ แต่เป็น ต้นน้ำ ที่หล่อเลี้ยง โพชฌงค์ ๗ องค์ธรรมแห่งการตรัสรู้
เริ่มจาก สติสัมโพชฌงค์ → ระลึกรู้ไม่เผลอ
ต่อด้วย ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ → ใช้ปัญญาพิจารณาธรรม
เกิด วิริยสัมโพชฌงค์ → ความเพียรไม่ย่อหย่อน
ก่อให้เกิด ปีติสัมโพชฌงค์ → ความอิ่มใจปราศจากอามิส
แล้วเข้าสู่ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ → กายสงบ จิตสงบ
จิตจึงตั้งมั่นเป็น สมาธิสัมโพชฌงค์
และสุดท้าย วางใจเป็นกลางด้วยปัญญา เป็น อุเบกขาสัมโพชฌงค์
แต่การเจริญโพชฌงค์ ต้องมีเงื่อนไข ๓ คือ :
อาศัย วิเวก (ความสงัด)
อาศัย วิราคะ (ความคลายกำหนัด)
อาศัย นิโรธ (ความดับกิเลส)
และทั้งหมด น้อมไปสู่การปล่อยวาง (วิมุตติ)
ผลานิสงส์ — ไม่ต่ำกว่าอนาคามี
พระองค์ตรัสชี้ตรง ๆ ว่า—
ภิกษุผู้เจริญอานาปานสติจริงจัง ย่อมหวังได้ผล ๒ อย่าง
1. บรรลุ อรหัตผล ในปัจจุบัน
2. ถ้ายังไม่ถึง ก็ย่อมบรรลุอย่างน้อย พระอนาคามี
แม้ยังไม่สิ้นกิเลสทั้งหมด ก็สิ้นสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ และไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก
ในอีกสูตร พระองค์แจกแจงต่อว่า ผลสูงสุดที่ควรหวังได้มีถึง ๗ ประการ ตั้งแต่การบรรลุอรหันต์ในชาตินี้ ในเวลาใกล้ตาย หรืออย่างน้อยก็เป็นอนาคามีในระดับต่าง ๆ เช่น อันตราปรินิพพายี อุปหัจจปรินิพพายี ฯลฯ
ใจความสั้น ๆ คือ—
อานาปานสติ ถ้าทำเต็มที่ ไม่ต่ำกว่าอนาคามีแน่นอน
อริฏฐสูตร — ความเข้าใจที่ยังไม่ครบ
พระอริฏฐะกราบทูลว่า ตนเจริญอานาปานสติอยู่แล้ว โดยหมายเพียงการละกามฉันท์และปฏิฆะ แล้วกำหนดลมหายใจเข้า–ออก
พระองค์ตรัสว่า :
“อานาปานสตินั้นมีอยู่ แต่ยังไม่บริบูรณ์
การเจริญที่บริบูรณ์ ต้องทำครบถ้วน
ทั้ง ๑๖ ขั้น จนถึงการพิจารณาเห็นความสละคืนสิ่งทั้งปวง”
กัปปินสูตร — สมาธิไม่ไหวไม่เอน
เล่าถึง พระมหากัปปินะ ผู้เจริญอานาปานสติสมาธิจนมั่นคง ถึงกับนั่งในสงฆ์หรือในที่ลับเพียงลำพัง ก็ไม่เห็นความไหวของกาย และไม่เห็นความกวัดแกว่งแห่งจิตเลย
พระองค์ตรัสว่า :
“ความไหวของกาย ความหวั่นไหวของจิต ย่อมไม่มี เพราะเจริญอานาปานสติสมาธิ”
ทีปสูตร — ตะเกียงแห่งธรรม
สุดท้าย พระพุทธองค์ตรัสประกาศว่า :
“อานาปานสติสมาธิ ที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว → ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์มาก”
ดุจ ตะเกียง (ทีปะ) ที่ให้แสงสว่าง อานาปานสติสมาธิทำให้กายสงบ จิตมั่นคง และนำไปสู่การปล่อยวางได้จริง
สรุปภาพรวม
เอกธรรมสูตร : อานาปานสติคือธรรมะข้อเดียวที่ยิ่งใหญ่
โพชฌงคสูตร : อานาปานสติเป็นต้นน้ำหล่อเลี้ยงโพชฌงค์ ๗
ผลสูตร : ผู้ปฏิบัติย่อมบรรลุผลสูงสุด ไม่ต่ำกว่าอนาคามี
อริฏฐสูตร : เตือนว่าอย่าหยุดที่ความเข้าใจเพียงบางส่วน ต้องทำให้ครบถ้วน
กัปปินสูตร : แสดงผลจริง คือสมาธิที่มั่นคง ไม่ไหวไม่เอน
ทีปสูตร : ตอกย้ำว่า อานาปานสติสมาธิเป็นตะเกียงแห่งธรรม ให้ผลใหญ่และอานิสงส์มหาศาล