.
บทที่ ๕๗ บันทึกราชาสิบสองนักษัตร
ภายในวิหารทะนานทองมืดสลัว และมีกลิ่นอับ...
ลำแสงที่สาดเฉียงเข้ามาส่องสว่างได้เพียงกรอบเงาประตู เห็นไรฝุ่นจางๆ ลอยคลุ้งขึ้น
เจ้าทิพไม่คิดจะเปิดหน้าต่าง แต่จุดตะเกียงน้ำมันขึ้น แสงสว่างที่วาบขึ้นจากไส้ตะเกียงข่มแสงสลัวรอบข้างให้มืดมิดลงชั่วขณะ ก่อนที่สภาพรอบข้างจะค่อยๆ กระจ่างขึ้นชัดตา
ประตูบานใหญ่เบื้องหลังถูกปิดลง..
แสงตะเกียงส่องตรงเบื้องหน้า เห็นแท่นบูชาขนาดใหญ่รูปทรงเหลี่ยมแปดมุมซ้อนขึ้นเป็นชั้น ไล่จากใหญ่ไปหาเล็ก ฐานชั้นล่างสุดกว้างราว ๓ วา ฐานชั้นบนสุดกว้างเพียง ๑ ศอก อยู่สูงขึ้นไปสองช่วงตัวคน แต่ละชั้นประดับด้วยงานปูนปั้นรูปต่างๆ ชั้นล่างสุดเป็นลายโขดหินและไม้น้ำใต้สมุทร ชั้นต่อมาเป็นมัจฉาและสัตว์ทะเล ชั้นตรงกลางในระดับสายตาปรากฏรูปสังข์ จักร ตรี คทาอาวุธของพระวิษณุนารายณ์รายล้อมตลอดฐาน ชั้นรองจากบนสุดปั้นรูปละลอกคลื่นม้วนเกลียว แล้วจึงเป็นรูปกลีบบัวบานรอบฐานชั้นบนสุด
เจ้าทิพถึงกับขนลุก คุกเข่าวางตะเกียงลงแล้วก้มกราบ
นี่คือแท่นบูชาที่เคยประดิษฐานองค์ตุมพะทะนานทอง ครั้งสุดท้ายเมื่อ ๘๖ ปีก่อน...
เมื่อเดินไปด้านหลังของแท่นบูชาจึงพบชั้นวางหนังสือเป็นช่อง ภายในของแต่ละช่องมีห่อผ้าสุมกองอยู่ มีแผ่นไม้บางวางทับ เมื่อหยิบแผ่นไม้ในช่องแรกทางด้านซ้ายสุดขึ้นมาดู มีอักษรสลักอยู่ ๓ แถวว่า
“เอกราชา แห่งปตานี
ราชานักษัตรองค์ที่ ๑
พุทธศักราช ๑๘๓๘-๑๘๕๐”
หากมิใช่เพราะต้องระวังฝุ่นละอองที่จับอยู่ในช่องชั้นวางหนังสือ เจ้าทิพคงสูดลมหายใจแรงเข้าเต็มทรวงแล้ว
หัวใจเต้นรัว มือค่อยๆ บรรจงแกะห่อผ้าซึ่งมีอยู่ ๓ ห่อในช่องแรกออก.. เมื่อตรวจดูข้อความในบันทึกคร่าวๆ จึงรู้ว่าฉบับหนึ่งเขียนทิ้งไว้ตอนก่อนออกเดินทาง อีกฉบับเขียนส่งมาเมื่อไปแฝงตัวอยู่ที่เมืองสุโขทัย และฉบับสุดท้ายเขียนบันทึกไว้เมื่อกลับมายังปตานี ก่อนสิ้นสุดตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรของตน
เจ้าทิพวางตะเกียงลงบนโต๊ะไม้เตี้ยตัวหนึ่งหน้าชั้นวางหนังสือ ทรุดกายนั่งลงกับพื้นโดยมิสนใจคราบฝุ่น พลิกสมุดพับที่เป็นบันทึกฉบับแรกเปิดออก แสงไฟจากตะเกียงบนโต๊ะฉายส่องต้องตัวหนังสือชัดเจน...
“เดือน ๘ ปีมะแม พุทธศักราช ๑๘๓๘
ก่อนที่ข้าจะออกเดินทางไปสุโขทัย ข้าขอบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นและสาเหตุที่ต้องไปสู่สุโขทัยไว้ดังนี้
ปีกุน พุทธศักราช ๑๘๓๐ พระเจ้าขุนรามคำแหงแห่งอาณาจักรสุโขทัยทรงแต่งราชทูตมายังเมืองนครศรีธรรมราช ขออาราธนาพระเถระที่มาจากกรุงลังกาไปช่วยประดิษฐานพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นในเมืองของพระองค์ ในขบวนอัญเชิญมีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่าวัชรพราหมณ์ติดตามมาด้วย พราหมณ์ผู้นี้มีใจริษยาในพระพุทธศาสนา และที่เมืองปตานีมีพราหมณ์อีกผู้หนึ่งชื่อว่าเมฆินทร์พราหมณ์ เป็นพราหมณ์ประจำอยู่วัดโทณารามมีหน้าที่ดูแลทำความสะอาดวิหารทะนานทอง เมฆินทร์พราหมณ์เป็นคนทะเยอทะยานเกิดในตระกูลพราหมณ์สายยัชโญปวีตขั้นที่ ๘
ครั้นเมืองปตานีแต่งข้าราชสำนักผู้ใหญ่พร้อมเวฬุนันทพราหมณ์แห่งตระกูลโทณพราหมณ์ผู้ดูแลวัดโทณารามไปเจริญสัมพันธไมตรีด้วยคณะราชทูตแห่งกรุงสุโขทัยที่เมืองนครศรีธรรมราช มีเมฆินทร์พราหมณ์เป็นผู้ติดตาม เมื่อพราหมณ์ที่มีใจคดของสองเมืองเจอกันจึงสมคบคิดกันว่าหากนำองค์ตุมพะทะนานทองไปถวายพระเจ้าสุโขทัย คงจะเป็นที่โปรดปรานและจะทรงเชิดชูศาสนาพราหมณ์ขึ้นทัดเทียมกับพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับที่พระเจ้าปตานีทรงปฏิบัติ ตัวเมฆินทร์พราหมณ์เองก็จะมีความสำคัญเป็นใหญ่ขึ้นในเมืองสุโขทัยด้วยเป็นผู้นำองค์ตุมพะทะนานทองไปถวาย ทั้งสองคิดการณ์นี้ด้วยเห็นว่าสุโขทัยเป็นใหญ่กว่าเมืองทั้งปวงแม้แต่พระเจ้านครศรีธรรมราชเองก็ทรงกริ่งเกรงในพระราชอำนาจ หากพระเจ้ากรุงสุโขทัยทรงยินดีในองค์ตุมพะทะนานทองแล้วไซร้ คงมิมีเมืองใดจะกล้าทัดทาน
ทั้งสองพราหมณ์จึงคิดอุบายให้เมฆินทร์พราหมณ์ทำทีขอลากลับมายังเมืองปตานีก่อน เมื่อมาถึงวัดโทณารามจึงหาโอกาสลักลอบนำองค์ตุมพะทะนานทองออกไปจากวิหารทะนานทอง แล้วรีบเร่งโดยสารเรือออกจากอ่าวปตานีไปพร้อมกับวัชรพราหมณ์ เมื่อผู้คนในวัดโทณารามรู้ว่าองค์ตุมพะทะนานทองหายไปจึงรีบแจ้งให้ราชสำนักปตานีทราบ ต่อมาจึงสืบความได้ว่าเมฆินทร์พราหมณ์และพราหมณ์อีกคนหนึ่งจากดินแดนทางเหนือมาติดต่อเพื่อขอโดยสารเรือสินค้าไปยังปากน้ำพระแผดง (พระประแดง) เมื่อ ๓ วันก่อนและพราหมณ์ทั้งสองได้มาขึ้นเรือออกเดินทางแต่เช้าเป็นวันเดียวกับที่เปิดวิหารทะนานทองเข้าไปแล้วไม่พบองค์ตุมพะทะนานทอง
ครั้นแจ้งไปยังเวฬุนันทพราหมณ์ที่ยังอยู่เมืองนครศรีธรรมราชก็ทราบว่าวัชรพราหมณ์หายไปจากคณะทูตของกรุงสุโขทัย เมื่อไต่สวนทวนความแล้วทางคณะทูตจึงส่งนกพิราบสื่อสารกลับไปยังเมืองสุโขทัยกราบทูลพระเจ้ารามคำแหงว่าวัชรพราหมณ์และเมฆินทร์พราหมณ์ชะรอยจะกระทำเหมือนครั้งบุราณที่ตระกูลโทณพราหมณ์นำองค์ตุมพะหลบหนีจากเมืองไชยศิริมาอยู่ปตานี ครั้งนี้คงจะลอบนำกลับไปถวายพระองค์ขอให้ทรงพิจารณาไตร่ตรอง
ราชสำนักปตานีได้เร่งส่งขุนนางผู้ใหญ่เดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสุโขทัย จึงทราบในลำดับต่อมาว่าเมื่อพระเจ้าขุนรามคำแหงทรงทราบเรื่องราวจากพิราบสื่อสาร พระองค์พิโรธวัชรพราหมณ์และรับสั่งให้จับตัวมาลงทัณฑ์แล้วให้อัญเชิญองค์ตุมพะทะนานทองกลับคืนสู่ปตานี แต่มีพราหมณ์ในวัดพระพายหลวงที่เป็นลูกศิษย์ของวัชรพราหมณ์ลักลอบไปดักคอยแจ้งราชภัยก่อนที่วัชรพราหมณ์และเมฆินทร์พราหมณ์จะได้เดินทางเข้าเฝ้าที่เมืองสุโขทัย แล้วพราหมณ์ผู้คิดคดทั้งสองรวมกับศิษย์ที่นำความมาบอกได้หลบหนีต่อไป มิปรากฏกายในเมืองสุโขทัย
ต่อมาไม่นานจึงมีคนพบศพเมฆินทร์พราหมณ์ตายอยู่ในเทวสถานแห่งหนึ่งนอกเมืองสุโขทัย โดยยืนยันจากสายยัชโญปวีตประจำตัว ส่วนวัชรพราหมณ์และศิษย์พร้อมองค์ตุมพะทะนานทองได้หายสาบสูญไป
การสูญเสียองค์ตุมพะทะนานทองไปจากวัดโทณารามทำให้อีกหกเมืองในอาณาจักรลังกาสุกะไม่พอใจกล่าวโทษเมืองปตานีและเริ่มบาดหมางกัน
ในขณะที่สงครามยืดเยื้อระหว่างสองชนชาติของสองเกาะใหญ่ได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง พุทธศักราช ๑๘๓๐ พระเจ้าเกียรตินครแห่งรัฐสิงหัดส่าหรีจากเกาะชวาส่งกองทัพไปรบมีชัยเหนือนครรัฐมลายูบนเกาะสุมาตรา หลังจากนั้นอีก ๒ ปีพระองค์ก็สั่งให้จับทูตชาวมองโกลของราชวงศ์หยวนที่ล่องเรือมาเยือนมลายู ปาดจมูกทูตออกแล้วไล่กลับเมืองจีน
ปีพุทธศักราช ๑๘๓๕ กองทัพเรือชวาสิงหัดส่าหรีบุกโจมตีเกาะสุมาตราอีกครั้ง ครั้งนี้ตีได้ปาเล็มบังเมืองหลวงของนครรัฐมลายู แล้วบุกไปเกาะกาลีมันตัน (เกาะบอร์เนียว) ตีได้เมืองบากุลปุระ จากนั้นได้เดินทัพเรือข้ามมายังคาบสมุทรสุวรรณภูมิที่กำลังแตกแยกขาดสามัคคี บุกโจมตีเอาชนะเมืองปะหัง ไล่ตีขึ้นมาชนะเมืองกะลันตัน และในที่สุดบุกยึดได้เมืองปตานี
พระเจ้าปตานีได้เสด็จไปยังเมืองนครศรีธรรมราชเพื่อทรงขอความช่วยเหลือ พระเจ้านครศรีธรรมราชจึงทรงนำกองทัพเข้าสู้รบชนะทัพชวาสิงหัดส่าหรีและขับไล่ออกไปพ้นจากดินแดนคาบสมุทรสุวรรณภูมิทั้งสิ้น หลังจากนั้นดินแดนบนคาบสมุทรที่เคยแบ่งเป็นตอนบนและตอนล่างก็ผนวกรวมกันเป็นหนึ่ง โดยมีเมืองนครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลางและ ๑๒ เมืองหลักทั้งหลายตลอดคาบสมุทรเป็นเมืองบริวาร ตั้งขึ้นเป็นเมือง ๑๒ นักษัตร
เมืองปตานีมิได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นเมืองนักษัตรลำดับแรกแต่กลับเป็นเมืองลูกหลวงสายบุรี ตัวข้าคิดว่าอาจมีสองสาเหตุ หนึ่งเพราะต้องการลดบทบาทของเมืองปตานีลง มิให้แข่งบารมีกับเมืองนครศรีธรรมราชจนอาจกลายเป็นชนวนสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่ในคาบสมุทรภายภาคหน้า หรือสองอาจเพราะต้องการไม่ให้แต่ละเมืองแคลงใจในลำดับนักษัตรว่ามิได้เรียงลำดับจากเมืองใหญ่หรือเมืองสำคัญ แม้เมืองปตานีก็เป็นลำดับนักษัตรที่สอง แล้วจัดให้เมืองในกลุ่มลังกาสุกะเดิม ๗ เมืองได้ลำดับนักษัตรที่ ๑ ถึงลำดับที่ ๗ จากนั้นจึงให้เมืองในกลุ่มตามพรลิงค์เดิมเริ่มจากลำดับที่ ๘ ไปจนถึงลำดับที่ ๑๒ เป็นสุดท้าย
ต่อมาได้กำหนดเรื่องการแย่งชิงตามหาองค์ตุมพะทะนานทอง ซึ่งเคยเป็นชนวนให้บาดหมางด้วยคิดกันว่าเมืองใดตามกลับมาได้ก็จะเป็นกรรมสิทธิ์ขาดของเมืองนั้น ซึ่งหากนำกลับมาได้จริงอาจเป็นชนวนให้เกิดสงครามแย่งชิง จึงกำหนดให้จัดพิธีประลองคัดเลือกตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรขึ้น ตัวแทนของเมืองใดชนะการประลองจะได้ตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรมีศักดิ์และสิทธิ์เสมอหนึ่งองค์ราชา และให้เป็นผู้มีสิทธิ์และทำหน้าที่ตามหาองค์ตุมพะทะนานทองแต่เพียงผู้เดียว เมื่อตามหาและนำกลับมาได้ให้อยู่ในความครอบครองของเมืองนั้น
ก่อนหน้านั้น การเวียนอัญเชิญองค์ตุมพะทะนานทองไปประดิษฐานยัง ๗ เมืองเดิมของลังกาสุกะได้กระทำต่อเนื่องมาช้านานแล้ว พระเจ้านครศรีธรรมราชทรงต้องการให้เมืองนักษัตรที่เป็นกลุ่มหัวเมืองเดิมของอาณาจักรตามพรลิงค์ได้ตื่นตัวและร่วมให้ความสำคัญ จึงกำหนดให้เริ่มจัดการประลองครั้งแรกในปีนักษัตรลำดับที่ ๘ เป็นต้นไป คือปีมะแม จัดขึ้นที่ชุมพรเมืองมะแมนักษัตร หลังจากนั้นทุก ๑๓ ปีให้จัดที่เมืองนักษัตรในลำดับถัดไป
ข้าได้ชัยชนะในการประลอง ได้ตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรเป็นองค์แรก พระเจ้านครศรีธรรมราชจึงพระราชทานนามว่า เอกราชา แต่หากข้ามิอาจนำองค์ตุมพะทะนานทองกลับมาได้ภายในเวลา ๑๓ ปี ข้าจำต้องคืนตำแหน่งราชาและจะมีการประลองหาราชาสิบสองนักษัตรองค์ใหม่เพื่อทำหน้าที่ต่อไป กำหนดให้ข้าและราชาทุกองค์จดบันทึกร่องรอยการค้นหาองค์ตุมพะเก็บไว้เป็นความลับในวิหารทะนานทองที่วัดโทณาราม ให้รู้แต่เฉพาะราชาสิบสองนักษัตรผู้มีหน้าที่ออกค้นหาองค์ตุมพะทะนานทองเท่านั้น
จากร่องรอยสุดท้ายที่ได้ยินมา องค์ตุมพะทะนานทองน่าจะอยู่กับวัชรพราหมณ์ที่หายสาบสูญ ข้าจึงตัดสินใจจะแฝงกายขึ้นไปสุโขทัย ไปสืบจากบรรดาพราหมณ์ที่เคยเป็นศิษย์หรือเคยร่วมสำนักกับวัชรพราหมณ์ว่ามีสถานที่แห่งใดให้ตัวพราหมณ์หลบไปซุกซ่อน ที่ผ่านมามีทหารจากบางเมืองขึ้นไปสอบถามที่กรุงสุโขทัยซึ่งคงมิได้ข้อมูลเท็จจริง ครั้งนี้ข้าจะปลอมเป็นพราหมณ์ขึ้นไปสุโขทัย หนึ่งปีที่ผ่านมาข้าได้ฝึกปฏิบัติวัตรและจำคำท่องสวดที่สำคัญไว้บ้างแล้ว อีก ๗ วันข้างหน้าข้าจะออกเดินทางเพียงลำพังไปยังเมืองสุโขทัย
เอกราชา
เดือน ๑๐ ปีวอก พุทธศักราช ๑๘๓๙”
เจ้าทิพถึงกับตะลึง... บันทึกที่อ่านทอดเวลากว่า ๑ ปีในการจดลงเล่าเรื่อง คงเป็นเพราะเอกราชาเริ่มต้นบันทึกหลังจากได้ขึ้นเป็นราชาสิบสองนักษัตรและต่อมาคิดว่าควรปลอมเป็นพราหมณ์ จนต้องใช้เวลาอีก ๑ ปีในการฝึกฝนวิถีปฏิบัติของพราหมณ์ให้แนบเนียนก่อนออกเดินทาง...
“เอกราชามุ่งมั่นและเตรียมตัวขนาดนี้ ยังมิอาจตามหาองค์ตุมพะทะนานทองจนพบเจอได้ แล้วเราล่ะ จะติดตามนำกลับมาภายในสองปีได้หรือ” เจ้าทิพคำนึงขึ้นด้วยหัวใจครั่นคร้าม ด้วยเงื่อนเวลา ๒ ปีที่รับปากไว้กับองค์หญิงวิสาณี
บันทึกฉบับแรกถูกวางลง สมุดพับเล่มต่อมาถูกพลิกเปิดออกอ่าน...
“เดือน ๕ ปีชวด พุทธศักราช ๑๘๔๓
ข้าเอกราชาหลังจากเดินทางมาอยู่สุโขทัย ได้แฝงตัวอยู่ในวัดพระพายหลวง ซึ่งเคยเป็นเทวสถานของศาสนาพราหมณ์และเป็นที่พำนักของวัชรพราหมณ์
ย้อนไปเมื่อครั้งราชวงศ์พระร่วงขึ้นครองกรุงสุโขทัยความเลื่อมใสในศาสนาพราหมณ์ก็ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยศรัทธาแรงกล้าในพระพุทธศาสนาเถรวาท เทวสถานต่างๆ ถูกเปลี่ยนเป็นวัดแม้จะยังคงอนุญาตให้มีอาศรมพราหมณ์ปลูกอยู่ภายในเพื่อปฏิบัติศาสนกิจสวดพระเวทบูชาพระปรางค์ และนี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งให้พวกพราหมณ์ขัดเคืองใจจนวัชรพราหมณ์สมคบคิดขโมยองค์ตุมพะทะนานทองมา หวังฟื้นศรัทธาของศาสนาพราหมณ์ในอาณาจักรสุโขทัย ข้าสืบอยู่นานมิพบร่องรอยของวัชรพราหมณ์ในเมืองสุโขทัย ตัววัชรพราหมณ์เกิดและเติบโตอยู่ที่นี่จะมีแต่เพียงเคยออกเดินทางติดตามอาจารย์ไปประกอบพิธีที่เทวสถานในเมืองไตรตรึงษ์ (
อยู่ในกำแพงเพชรปัจจุบัน)
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๕๗ บันทึกราชาสิบสองนักษัตร
บทที่ ๕๗ บันทึกราชาสิบสองนักษัตร
ภายในวิหารทะนานทองมืดสลัว และมีกลิ่นอับ...
ลำแสงที่สาดเฉียงเข้ามาส่องสว่างได้เพียงกรอบเงาประตู เห็นไรฝุ่นจางๆ ลอยคลุ้งขึ้น
เจ้าทิพไม่คิดจะเปิดหน้าต่าง แต่จุดตะเกียงน้ำมันขึ้น แสงสว่างที่วาบขึ้นจากไส้ตะเกียงข่มแสงสลัวรอบข้างให้มืดมิดลงชั่วขณะ ก่อนที่สภาพรอบข้างจะค่อยๆ กระจ่างขึ้นชัดตา
ประตูบานใหญ่เบื้องหลังถูกปิดลง..
แสงตะเกียงส่องตรงเบื้องหน้า เห็นแท่นบูชาขนาดใหญ่รูปทรงเหลี่ยมแปดมุมซ้อนขึ้นเป็นชั้น ไล่จากใหญ่ไปหาเล็ก ฐานชั้นล่างสุดกว้างราว ๓ วา ฐานชั้นบนสุดกว้างเพียง ๑ ศอก อยู่สูงขึ้นไปสองช่วงตัวคน แต่ละชั้นประดับด้วยงานปูนปั้นรูปต่างๆ ชั้นล่างสุดเป็นลายโขดหินและไม้น้ำใต้สมุทร ชั้นต่อมาเป็นมัจฉาและสัตว์ทะเล ชั้นตรงกลางในระดับสายตาปรากฏรูปสังข์ จักร ตรี คทาอาวุธของพระวิษณุนารายณ์รายล้อมตลอดฐาน ชั้นรองจากบนสุดปั้นรูปละลอกคลื่นม้วนเกลียว แล้วจึงเป็นรูปกลีบบัวบานรอบฐานชั้นบนสุด
เจ้าทิพถึงกับขนลุก คุกเข่าวางตะเกียงลงแล้วก้มกราบ
นี่คือแท่นบูชาที่เคยประดิษฐานองค์ตุมพะทะนานทอง ครั้งสุดท้ายเมื่อ ๘๖ ปีก่อน...
เมื่อเดินไปด้านหลังของแท่นบูชาจึงพบชั้นวางหนังสือเป็นช่อง ภายในของแต่ละช่องมีห่อผ้าสุมกองอยู่ มีแผ่นไม้บางวางทับ เมื่อหยิบแผ่นไม้ในช่องแรกทางด้านซ้ายสุดขึ้นมาดู มีอักษรสลักอยู่ ๓ แถวว่า
“เอกราชา แห่งปตานี
ราชานักษัตรองค์ที่ ๑
พุทธศักราช ๑๘๓๘-๑๘๕๐”
หากมิใช่เพราะต้องระวังฝุ่นละอองที่จับอยู่ในช่องชั้นวางหนังสือ เจ้าทิพคงสูดลมหายใจแรงเข้าเต็มทรวงแล้ว
หัวใจเต้นรัว มือค่อยๆ บรรจงแกะห่อผ้าซึ่งมีอยู่ ๓ ห่อในช่องแรกออก.. เมื่อตรวจดูข้อความในบันทึกคร่าวๆ จึงรู้ว่าฉบับหนึ่งเขียนทิ้งไว้ตอนก่อนออกเดินทาง อีกฉบับเขียนส่งมาเมื่อไปแฝงตัวอยู่ที่เมืองสุโขทัย และฉบับสุดท้ายเขียนบันทึกไว้เมื่อกลับมายังปตานี ก่อนสิ้นสุดตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรของตน
เจ้าทิพวางตะเกียงลงบนโต๊ะไม้เตี้ยตัวหนึ่งหน้าชั้นวางหนังสือ ทรุดกายนั่งลงกับพื้นโดยมิสนใจคราบฝุ่น พลิกสมุดพับที่เป็นบันทึกฉบับแรกเปิดออก แสงไฟจากตะเกียงบนโต๊ะฉายส่องต้องตัวหนังสือชัดเจน...
“เดือน ๘ ปีมะแม พุทธศักราช ๑๘๓๘
ก่อนที่ข้าจะออกเดินทางไปสุโขทัย ข้าขอบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นและสาเหตุที่ต้องไปสู่สุโขทัยไว้ดังนี้
ปีกุน พุทธศักราช ๑๘๓๐ พระเจ้าขุนรามคำแหงแห่งอาณาจักรสุโขทัยทรงแต่งราชทูตมายังเมืองนครศรีธรรมราช ขออาราธนาพระเถระที่มาจากกรุงลังกาไปช่วยประดิษฐานพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นในเมืองของพระองค์ ในขบวนอัญเชิญมีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่าวัชรพราหมณ์ติดตามมาด้วย พราหมณ์ผู้นี้มีใจริษยาในพระพุทธศาสนา และที่เมืองปตานีมีพราหมณ์อีกผู้หนึ่งชื่อว่าเมฆินทร์พราหมณ์ เป็นพราหมณ์ประจำอยู่วัดโทณารามมีหน้าที่ดูแลทำความสะอาดวิหารทะนานทอง เมฆินทร์พราหมณ์เป็นคนทะเยอทะยานเกิดในตระกูลพราหมณ์สายยัชโญปวีตขั้นที่ ๘
ครั้นเมืองปตานีแต่งข้าราชสำนักผู้ใหญ่พร้อมเวฬุนันทพราหมณ์แห่งตระกูลโทณพราหมณ์ผู้ดูแลวัดโทณารามไปเจริญสัมพันธไมตรีด้วยคณะราชทูตแห่งกรุงสุโขทัยที่เมืองนครศรีธรรมราช มีเมฆินทร์พราหมณ์เป็นผู้ติดตาม เมื่อพราหมณ์ที่มีใจคดของสองเมืองเจอกันจึงสมคบคิดกันว่าหากนำองค์ตุมพะทะนานทองไปถวายพระเจ้าสุโขทัย คงจะเป็นที่โปรดปรานและจะทรงเชิดชูศาสนาพราหมณ์ขึ้นทัดเทียมกับพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับที่พระเจ้าปตานีทรงปฏิบัติ ตัวเมฆินทร์พราหมณ์เองก็จะมีความสำคัญเป็นใหญ่ขึ้นในเมืองสุโขทัยด้วยเป็นผู้นำองค์ตุมพะทะนานทองไปถวาย ทั้งสองคิดการณ์นี้ด้วยเห็นว่าสุโขทัยเป็นใหญ่กว่าเมืองทั้งปวงแม้แต่พระเจ้านครศรีธรรมราชเองก็ทรงกริ่งเกรงในพระราชอำนาจ หากพระเจ้ากรุงสุโขทัยทรงยินดีในองค์ตุมพะทะนานทองแล้วไซร้ คงมิมีเมืองใดจะกล้าทัดทาน
ทั้งสองพราหมณ์จึงคิดอุบายให้เมฆินทร์พราหมณ์ทำทีขอลากลับมายังเมืองปตานีก่อน เมื่อมาถึงวัดโทณารามจึงหาโอกาสลักลอบนำองค์ตุมพะทะนานทองออกไปจากวิหารทะนานทอง แล้วรีบเร่งโดยสารเรือออกจากอ่าวปตานีไปพร้อมกับวัชรพราหมณ์ เมื่อผู้คนในวัดโทณารามรู้ว่าองค์ตุมพะทะนานทองหายไปจึงรีบแจ้งให้ราชสำนักปตานีทราบ ต่อมาจึงสืบความได้ว่าเมฆินทร์พราหมณ์และพราหมณ์อีกคนหนึ่งจากดินแดนทางเหนือมาติดต่อเพื่อขอโดยสารเรือสินค้าไปยังปากน้ำพระแผดง (พระประแดง) เมื่อ ๓ วันก่อนและพราหมณ์ทั้งสองได้มาขึ้นเรือออกเดินทางแต่เช้าเป็นวันเดียวกับที่เปิดวิหารทะนานทองเข้าไปแล้วไม่พบองค์ตุมพะทะนานทอง
ครั้นแจ้งไปยังเวฬุนันทพราหมณ์ที่ยังอยู่เมืองนครศรีธรรมราชก็ทราบว่าวัชรพราหมณ์หายไปจากคณะทูตของกรุงสุโขทัย เมื่อไต่สวนทวนความแล้วทางคณะทูตจึงส่งนกพิราบสื่อสารกลับไปยังเมืองสุโขทัยกราบทูลพระเจ้ารามคำแหงว่าวัชรพราหมณ์และเมฆินทร์พราหมณ์ชะรอยจะกระทำเหมือนครั้งบุราณที่ตระกูลโทณพราหมณ์นำองค์ตุมพะหลบหนีจากเมืองไชยศิริมาอยู่ปตานี ครั้งนี้คงจะลอบนำกลับไปถวายพระองค์ขอให้ทรงพิจารณาไตร่ตรอง
ราชสำนักปตานีได้เร่งส่งขุนนางผู้ใหญ่เดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสุโขทัย จึงทราบในลำดับต่อมาว่าเมื่อพระเจ้าขุนรามคำแหงทรงทราบเรื่องราวจากพิราบสื่อสาร พระองค์พิโรธวัชรพราหมณ์และรับสั่งให้จับตัวมาลงทัณฑ์แล้วให้อัญเชิญองค์ตุมพะทะนานทองกลับคืนสู่ปตานี แต่มีพราหมณ์ในวัดพระพายหลวงที่เป็นลูกศิษย์ของวัชรพราหมณ์ลักลอบไปดักคอยแจ้งราชภัยก่อนที่วัชรพราหมณ์และเมฆินทร์พราหมณ์จะได้เดินทางเข้าเฝ้าที่เมืองสุโขทัย แล้วพราหมณ์ผู้คิดคดทั้งสองรวมกับศิษย์ที่นำความมาบอกได้หลบหนีต่อไป มิปรากฏกายในเมืองสุโขทัย
ต่อมาไม่นานจึงมีคนพบศพเมฆินทร์พราหมณ์ตายอยู่ในเทวสถานแห่งหนึ่งนอกเมืองสุโขทัย โดยยืนยันจากสายยัชโญปวีตประจำตัว ส่วนวัชรพราหมณ์และศิษย์พร้อมองค์ตุมพะทะนานทองได้หายสาบสูญไป
การสูญเสียองค์ตุมพะทะนานทองไปจากวัดโทณารามทำให้อีกหกเมืองในอาณาจักรลังกาสุกะไม่พอใจกล่าวโทษเมืองปตานีและเริ่มบาดหมางกัน
ในขณะที่สงครามยืดเยื้อระหว่างสองชนชาติของสองเกาะใหญ่ได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง พุทธศักราช ๑๘๓๐ พระเจ้าเกียรตินครแห่งรัฐสิงหัดส่าหรีจากเกาะชวาส่งกองทัพไปรบมีชัยเหนือนครรัฐมลายูบนเกาะสุมาตรา หลังจากนั้นอีก ๒ ปีพระองค์ก็สั่งให้จับทูตชาวมองโกลของราชวงศ์หยวนที่ล่องเรือมาเยือนมลายู ปาดจมูกทูตออกแล้วไล่กลับเมืองจีน
ปีพุทธศักราช ๑๘๓๕ กองทัพเรือชวาสิงหัดส่าหรีบุกโจมตีเกาะสุมาตราอีกครั้ง ครั้งนี้ตีได้ปาเล็มบังเมืองหลวงของนครรัฐมลายู แล้วบุกไปเกาะกาลีมันตัน (เกาะบอร์เนียว) ตีได้เมืองบากุลปุระ จากนั้นได้เดินทัพเรือข้ามมายังคาบสมุทรสุวรรณภูมิที่กำลังแตกแยกขาดสามัคคี บุกโจมตีเอาชนะเมืองปะหัง ไล่ตีขึ้นมาชนะเมืองกะลันตัน และในที่สุดบุกยึดได้เมืองปตานี
พระเจ้าปตานีได้เสด็จไปยังเมืองนครศรีธรรมราชเพื่อทรงขอความช่วยเหลือ พระเจ้านครศรีธรรมราชจึงทรงนำกองทัพเข้าสู้รบชนะทัพชวาสิงหัดส่าหรีและขับไล่ออกไปพ้นจากดินแดนคาบสมุทรสุวรรณภูมิทั้งสิ้น หลังจากนั้นดินแดนบนคาบสมุทรที่เคยแบ่งเป็นตอนบนและตอนล่างก็ผนวกรวมกันเป็นหนึ่ง โดยมีเมืองนครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลางและ ๑๒ เมืองหลักทั้งหลายตลอดคาบสมุทรเป็นเมืองบริวาร ตั้งขึ้นเป็นเมือง ๑๒ นักษัตร
เมืองปตานีมิได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นเมืองนักษัตรลำดับแรกแต่กลับเป็นเมืองลูกหลวงสายบุรี ตัวข้าคิดว่าอาจมีสองสาเหตุ หนึ่งเพราะต้องการลดบทบาทของเมืองปตานีลง มิให้แข่งบารมีกับเมืองนครศรีธรรมราชจนอาจกลายเป็นชนวนสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่ในคาบสมุทรภายภาคหน้า หรือสองอาจเพราะต้องการไม่ให้แต่ละเมืองแคลงใจในลำดับนักษัตรว่ามิได้เรียงลำดับจากเมืองใหญ่หรือเมืองสำคัญ แม้เมืองปตานีก็เป็นลำดับนักษัตรที่สอง แล้วจัดให้เมืองในกลุ่มลังกาสุกะเดิม ๗ เมืองได้ลำดับนักษัตรที่ ๑ ถึงลำดับที่ ๗ จากนั้นจึงให้เมืองในกลุ่มตามพรลิงค์เดิมเริ่มจากลำดับที่ ๘ ไปจนถึงลำดับที่ ๑๒ เป็นสุดท้าย
ต่อมาได้กำหนดเรื่องการแย่งชิงตามหาองค์ตุมพะทะนานทอง ซึ่งเคยเป็นชนวนให้บาดหมางด้วยคิดกันว่าเมืองใดตามกลับมาได้ก็จะเป็นกรรมสิทธิ์ขาดของเมืองนั้น ซึ่งหากนำกลับมาได้จริงอาจเป็นชนวนให้เกิดสงครามแย่งชิง จึงกำหนดให้จัดพิธีประลองคัดเลือกตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรขึ้น ตัวแทนของเมืองใดชนะการประลองจะได้ตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรมีศักดิ์และสิทธิ์เสมอหนึ่งองค์ราชา และให้เป็นผู้มีสิทธิ์และทำหน้าที่ตามหาองค์ตุมพะทะนานทองแต่เพียงผู้เดียว เมื่อตามหาและนำกลับมาได้ให้อยู่ในความครอบครองของเมืองนั้น
ก่อนหน้านั้น การเวียนอัญเชิญองค์ตุมพะทะนานทองไปประดิษฐานยัง ๗ เมืองเดิมของลังกาสุกะได้กระทำต่อเนื่องมาช้านานแล้ว พระเจ้านครศรีธรรมราชทรงต้องการให้เมืองนักษัตรที่เป็นกลุ่มหัวเมืองเดิมของอาณาจักรตามพรลิงค์ได้ตื่นตัวและร่วมให้ความสำคัญ จึงกำหนดให้เริ่มจัดการประลองครั้งแรกในปีนักษัตรลำดับที่ ๘ เป็นต้นไป คือปีมะแม จัดขึ้นที่ชุมพรเมืองมะแมนักษัตร หลังจากนั้นทุก ๑๓ ปีให้จัดที่เมืองนักษัตรในลำดับถัดไป
ข้าได้ชัยชนะในการประลอง ได้ตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรเป็นองค์แรก พระเจ้านครศรีธรรมราชจึงพระราชทานนามว่า เอกราชา แต่หากข้ามิอาจนำองค์ตุมพะทะนานทองกลับมาได้ภายในเวลา ๑๓ ปี ข้าจำต้องคืนตำแหน่งราชาและจะมีการประลองหาราชาสิบสองนักษัตรองค์ใหม่เพื่อทำหน้าที่ต่อไป กำหนดให้ข้าและราชาทุกองค์จดบันทึกร่องรอยการค้นหาองค์ตุมพะเก็บไว้เป็นความลับในวิหารทะนานทองที่วัดโทณาราม ให้รู้แต่เฉพาะราชาสิบสองนักษัตรผู้มีหน้าที่ออกค้นหาองค์ตุมพะทะนานทองเท่านั้น
จากร่องรอยสุดท้ายที่ได้ยินมา องค์ตุมพะทะนานทองน่าจะอยู่กับวัชรพราหมณ์ที่หายสาบสูญ ข้าจึงตัดสินใจจะแฝงกายขึ้นไปสุโขทัย ไปสืบจากบรรดาพราหมณ์ที่เคยเป็นศิษย์หรือเคยร่วมสำนักกับวัชรพราหมณ์ว่ามีสถานที่แห่งใดให้ตัวพราหมณ์หลบไปซุกซ่อน ที่ผ่านมามีทหารจากบางเมืองขึ้นไปสอบถามที่กรุงสุโขทัยซึ่งคงมิได้ข้อมูลเท็จจริง ครั้งนี้ข้าจะปลอมเป็นพราหมณ์ขึ้นไปสุโขทัย หนึ่งปีที่ผ่านมาข้าได้ฝึกปฏิบัติวัตรและจำคำท่องสวดที่สำคัญไว้บ้างแล้ว อีก ๗ วันข้างหน้าข้าจะออกเดินทางเพียงลำพังไปยังเมืองสุโขทัย
เอกราชา
เดือน ๑๐ ปีวอก พุทธศักราช ๑๘๓๙”
เจ้าทิพถึงกับตะลึง... บันทึกที่อ่านทอดเวลากว่า ๑ ปีในการจดลงเล่าเรื่อง คงเป็นเพราะเอกราชาเริ่มต้นบันทึกหลังจากได้ขึ้นเป็นราชาสิบสองนักษัตรและต่อมาคิดว่าควรปลอมเป็นพราหมณ์ จนต้องใช้เวลาอีก ๑ ปีในการฝึกฝนวิถีปฏิบัติของพราหมณ์ให้แนบเนียนก่อนออกเดินทาง...
“เอกราชามุ่งมั่นและเตรียมตัวขนาดนี้ ยังมิอาจตามหาองค์ตุมพะทะนานทองจนพบเจอได้ แล้วเราล่ะ จะติดตามนำกลับมาภายในสองปีได้หรือ” เจ้าทิพคำนึงขึ้นด้วยหัวใจครั่นคร้าม ด้วยเงื่อนเวลา ๒ ปีที่รับปากไว้กับองค์หญิงวิสาณี
บันทึกฉบับแรกถูกวางลง สมุดพับเล่มต่อมาถูกพลิกเปิดออกอ่าน...
“เดือน ๕ ปีชวด พุทธศักราช ๑๘๔๓
ข้าเอกราชาหลังจากเดินทางมาอยู่สุโขทัย ได้แฝงตัวอยู่ในวัดพระพายหลวง ซึ่งเคยเป็นเทวสถานของศาสนาพราหมณ์และเป็นที่พำนักของวัชรพราหมณ์
ย้อนไปเมื่อครั้งราชวงศ์พระร่วงขึ้นครองกรุงสุโขทัยความเลื่อมใสในศาสนาพราหมณ์ก็ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยศรัทธาแรงกล้าในพระพุทธศาสนาเถรวาท เทวสถานต่างๆ ถูกเปลี่ยนเป็นวัดแม้จะยังคงอนุญาตให้มีอาศรมพราหมณ์ปลูกอยู่ภายในเพื่อปฏิบัติศาสนกิจสวดพระเวทบูชาพระปรางค์ และนี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งให้พวกพราหมณ์ขัดเคืองใจจนวัชรพราหมณ์สมคบคิดขโมยองค์ตุมพะทะนานทองมา หวังฟื้นศรัทธาของศาสนาพราหมณ์ในอาณาจักรสุโขทัย ข้าสืบอยู่นานมิพบร่องรอยของวัชรพราหมณ์ในเมืองสุโขทัย ตัววัชรพราหมณ์เกิดและเติบโตอยู่ที่นี่จะมีแต่เพียงเคยออกเดินทางติดตามอาจารย์ไปประกอบพิธีที่เทวสถานในเมืองไตรตรึงษ์ (อยู่ในกำแพงเพชรปัจจุบัน)
(มีต่อ)