บทที่ 2 ประสูติ : ตำนานพระพุทธเจ้า

ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ในคืนวันอาสาฬหปุรณมี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 80 ปี 10 เดือน
พระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ พระราชาแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ เมืองหลวงของแคว้นสักกะ ทรงสวดอธิษฐานก่อนนอนเช่นเดียวกับที่ทรงกระทำมาทุกๆคืนตั้งแต่ในชาติก่อนๆจนถึงชาตินี้ว่าขอให้ได้เป็นพระมารดาของพระพุทธเจ้า แล้วจึงเข้าที่พระบรรทมหลับไปจนจวนใกล้รุ่งเช้าก็ทรงพระสุบิน

ในพระสุบินนั้นว่า ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ผู้คุ้มครองโลกทั้งสี่ทิศช่วยกันยกพระนางและแท่นที่บรรทมอยู่พาเหาะไปยังป่าอันกว้างใหญ่ มีภูเขาเงินและภูเขาทองอยู่โดยรอบ แล้ววางลงบนแผ่นหินใหญ่เชิงภูเขาเงินสีขาวสดใส จากนั้นมีนางฟ้า 4 องค์พาพระนางดำเนินไปยังสระน้ำใสสะอาดชื่อสระอโนดาต ชำระพระกายแล้วชโลมด้วยเครื่องหอมทิพย์ประดับดอกไม้ทิพย์จากสวรรค์ ให้ทรงนุ่งห่มด้วยผ้าทิพย์อย่างเทพธิดาแล้วพาไปบรรทมบนแท่นภายในวิมานทอง หันพระเศียรไปทิศตะวันออก ครั้นทอดพระเนตรไปทางทิศเหนือ ทรงเห็นช้างเผือกขาวผ่องงามสง่าสมเป็นพระยาช้าง เดินลงมาจากภูเขาทอง งวงชูดอกบัวขาวกลิ่นหอมระรื่นชื่นใจยิ่งนัก ตรงเข้ามาในวิมานทอง หยุดนิ่งเบื้องหน้าพระนางชั่วขณะเป็นการแสดงความเคารพ ก่อนจะเดินเวียนประทักษิณคือวนทางขวาไปรอบแท่นที่พระนางนอน เมื่อครบสามรอบก็เดินเข้ามาจนใกล้ทางด้านขวา แล้วพระยาช้างจึงค่อยๆเลือนหายไป ในพระสุบินนั้นพระนางสิริมหามายาทรงรู้สึกว่าพระยาช้างหายเข้าไปในพระอุทรของพระนาง

ทันใดนั้นก็เกิดเหตุมหัศจรรย์ แผ่นดินสั่นไหวไปทั้งสามโลก คือ โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และนรก เสียงสั่นสะเมือนเลื่อนลั่นกึกก้องขึ้นเป็นสัญญาณว่า ถึงเวลาที่พระโพธิสัตว์ได้จุติลงสู่ครรภ์พระมารดาในโลกมนุษย์แล้วนั่นเอง

พระนางสิริมหามายาทรงรู้สึกตัวตื่นขึ้น ทรงเล่าพระสุบินให้พระเจ้าสุทโธทนะฟัง พระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงให้เชิญพราหมณ์ 64 คนมาเข้าเฝ้าเพื่อทำนายพระสุบิน พราหมณ์ทั้ง 64 คนทราบทูลทำนายว่า

“พระสุบินนี้มีความหมายว่า ผู้มีบุญจุติมาบังเกิดในพระครรภ์ของพระมเหสี พระองค์จะได้พระโอรสผู้เปี่ยมด้วยบุญบารมีอันยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน”
เมื่อพระโพธิสัตว์จุติลงมาอยู่ในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา จะแตกต่างจากทารกทั่วไปตรงที่ระหว่างอยู่ในพระครรภ์นี้ ทารกโพธิสัตว์ไม่ได้นอน แต่นั่งทำสมาธิสงบนิ่งตลอดเวลาที่อยู่ในพระครรภ์จนครบกำหนด 10 เท่ากับมนุษย์ทั่วไป

เมื่อใกล้ถึงกำหนด ตามธรรมเนียมศาสนาพราหมณ์ในชมพูทวีป ฝ่ายหญิงจะต้องกลับไปคลอดบุตรที่บ้านบิดามารดา พระนางสิริมหามายาจึงทรงขอพระราชานุญาตพระเจ้าสุทโธทนะเดินทางกลับกรุงเทวทหะของพระบิดา

ณ วันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ขบวนเสด็จของพระนางสิริมหามายามาถึงสวนลุมพินีวัน ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ สวนลุมพินีวันมีต้นไม้มากมายหลายชนิด ร่มรื่นสวยงาม โดยเฉพาะมีต้นสาละอยู่มากมาย

พระนางสิริมหามายาทรงเจ็บพระครรภ์ จึงให้หยุดพักกันที่นี่ เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น คือ แม้จะไม่ใช่ฤดูต้นสาละควรมีดอก แต่ทั้งต้นสาละและต้นไม้อื่นๆกลับออกดอกบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมระรื่นชื่นใจไปทั้งสวนลุมพินีวัน

เวลานั้นใกล้จะเที่ยงวัน แต่แดดกลับยังอ่อนแสง ไม่แรงร้อน ข้าราชบริพารจึงจัดสถานที่สำหรับประสูติ พระนางสิริมหามายาทรงเข้าไปประทับใต้ร่มสาละต้นหนึ่ง พระนางทรงฉลองพระองค์ยาวคลุมถึงหลังพระบาท ทรงยืนพิงลำต้นของต้นสาละ ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก กิ่งสาละโน้มอ่อนลงมาให้ทรงเอื้อมพระหัตถ์ขวาขึ้นไปจับยึดไว้ ส่วนพระหัตถ์ซ้ายทรงปล่อยลงข้างพระกาย ครั้นดวงอาทิตย์โคจรมาตรงพระเศียร พระกุมารโพธิสัตว์ก็ประสูติ
พระโพธิสัตว์ประสูติในเวลาเที่ยงวันนั้นเอง ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันวิสาขปุรณมี คือวันเพ็ญที่พระจันทร์เต็มดวงตอนเที่ยงคืนในเดือนวิสาขะ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี

เหล่าเทวดาที่ล่วงรู้กำหนดเวลาต่างพากันยินดีและมาคอยเฝ้าอยู่โดยรอบ ดวงอาทิตย์ยิ่งราแสงลงจนเย็นสบายแม้จะเป็นเวลาเที่ยงวัน สิ่งอัศจรรรย์ทั้งหลายก็เกิดขึ้นเหมือนวันที่พระโพธิสัตว์จุติลงมาสู่ครรภ์พระมารดาเมื่อสิบเดือนก่อน

พระโพธิสัตว์กุมารทรงมีร่างกายเช่นเดียวกับมนุษย์เพศชายทั้งหลาย เพียงแต่ทรงมีลักษณะของผู้มีบุญอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า มหาบุรุษ ทรงมีความพิเศษกว่าคนธรรมดาบางอย่างปรากฏอยู่ รวมทั้งประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดาโดยเอาเท้าออกมาก่อน ต่างจากมนุษย์และสัตว์โลกทั่วไปที่จะเอาศีรษะออกก่อน

ท้าวมหาพรหมเอาผืนตาข่ายทองเข้ารองรับร่างพระกุมารไว้เพื่อไม่ให้ตกลงบนพื้น เวลานั้นบังเกิดสายน้ำทิพย์หลั่งไหลลงมาจากฟ้าแยกกันเป็นสองสาย คือสายน้ำร้อนกับสายน้ำเย็น โปรยปรายทั่วพระกายของพระโอรสและพระมารดา สายน้ำทิพย์นั้นสร้างความชุ่มฉ่ำใจ แต่ไม่ทำให้เครื่องทรงเปียกและไม่มีหยดน้ำติดกาย

ทั่วทั้งร่างของพระกุมารไม่มีสิ่งอื่นใดแปดเปื้อนเลย พระฉวีผุดผ่องเป็นประกายสดใสดังทองคำบริสุทธิ์ แล้วท้าวมหาพรหมก็ยื่นส่งพระกุมารให้พระพี่เลี้ยงรับไป เพื่อหุ้มห่อกายด้วยผ้าชั้นดีที่เตรียมมา ตลอดเวลาของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ไม่มีผู้ใดได้เห็นท้าวมหาพรหมและเทวดาทั้งหลายรวมทั้งสายน้ำทิพย์นั้นเลย เพราะเทวดาและสิ่งเหล่านี้เป็นทิพย์ มนุษย์ธรรมดาจะมองไม่เห็น

เมื่อพระพี่เลี้ยงรับไปแล้ว พระโพธิสัตว์กุมารก็ทรงผละออกจากมือที่อุ้มอยู่ ทรงยืนอยู่บนพื้นด้วยพระบาททั้งสองในแนวเสมอกัน ท้าวมหาพรหมบันดาลดอกบัวมารองรับไว้ พระกุมารทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทอดพระเนตรเหล่าเทวดาที่มาคอยเฝ้าด้วยความชื่นชมยินดี จากนั้นทรงหันไปทางทิศเหนือ แล้วทรงย่างพระบาทดำเนินไปเจ็ดก้าว ท้าวมหาพรหมก็บันดาลดอกบัวรองรับไว้ทุกย่างก้าว พระกุมารโพธิสัตว์ทรงหยุดยืน แล้วทรงประกาศว่า
“เราคือผู้เลิศสุดในโลกนี้ เราคือผู้เจริญสุดในโลกนี้ เราคือผู้ประเสริฐสุดในโลกนี้ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะไม่เกิดอีก”

การย่างพระบาทเจ็ดก้าวของพระกุมารโพธิสัตว์นี้ มีคำอธิบายว่า เมื่อตรัสรู้แล้ว พระองค์จะเผยแผ่พระศาสนาไปในแคว้นทั้งเจ็ดของชมพูทวีป
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ขบวนเสด็จของพระนางสิริมหามายาที่จะไปกรุงเทวทหะจึงเป็นอันยกเลิก หันหลังกลับยังกรุงกบิลพัสดุ์ทันที
ในคราวที่พระกุมารโพธิสัตว์ประสูตินี้ มีทั้งคน สัตว์ และสิ่งของที่จะข้องเกี่ยวกับพระองค์ต่อไป เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันตามสถานที่อันสมควร ซึ่งเรียกว่า สหชาติ รวมเจ็ดอย่าง คือ

-เจ้าหญิงยโสธราพิมพา ผู้จะทรงเป็นพระชายาของพระองค์
-พระอานนท์ ผู้จะทำหน้าที่เป็นผู้ปรนนิบัติพระองค์จนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
-นายฉันนะ ผู้จะเป็นมหาดเล็กคนสนิทคอยติดตามรับใช้พระองค์ตลอดเวลาจนกระทั่งเสด็จออกบรรพชา
-อำมาตย์กาฬุทายี ผู้จะเป็นพระสหายคนสนิทตอนยังทรงพระเยาว์ และเป็นผู้ไปนิมนต์พระองค์กลับกรุงกบิลพัสดุ์
-ม้ากัณฑกะ สีขาวผ่องเหมือนหอยสังข์ขาวสะอาด ที่จะเป็นพระพาหนะพาเสด็จออกบรรพชา
-ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่พระองค์ประทับใต้ต้นขณะตรัสรู้
-หม้อขุมทรัพย์ทั้งสี่ คือขุมทองสี่แห่งที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นสมบัติของผู้มีบุญ (ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์)

สหชาติทั้งเจ็ดนี้จะมีส่วนร่วมที่สำคัญอย่างยิ่งกับพระพุทธเจ้า พระบรมศาสดาของพุทธศาสนา ซึ่งจะกล่าวถึงในอันดับต่อๆไป
 
อ้างอิง ตำนานพระพุทธเจ้า สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่