.
บทที่ ๑๗ องค์ตุมพะทะนานทอง
ความผิดของสิงขรร้ายแรงนัก แต่ด้วยองค์ชายอัศวเมฆทรงขอไว้จึงเหลือเพียงลดตำแหน่งจากราชองครักษ์ชั้นเอกประจำวังหลวง เป็นองครักษ์ชั้นตรีมีหน้าที่อารักขาองค์ชายอัศวเมฆ
จากเดิมชั้นหัวหน้ากองถูกปลดออกหาได้มีบริวารในสังกัดอีกต่อไป
“กระหม่อมเป็นหนี้ชีวิตองค์ชาย จากนี้ไปขอถวายชีวิตรับใช้ หากมีพระประสงค์ให้กระหม่อมกระทำสิ่งใด แม้ต้องบุกน้ำลุยไฟก็จักกระทำการไม่ย่อท้อ พระเจ้าค่ะ”
“ดีมาก สิงขร... ท่านอย่าได้เดือดร้อนใจเรื่องยศศักดิ์และฐานะที่สูญไปเลย วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อเราได้ครองนครสืบแทนพระบิดา ตำแหน่งขุนพลใหญ่เมืองปตานีก็จะเป็นของท่านเช่นกัน” องค์ชายทรงหัวเราะพอหทัย
“วันนี้กระหม่อมเก็บชีวิตไว้ได้ก็นับว่าเป็นบุญที่สุดแล้ว... ในวันข้างหน้าก็สุดแต่พระองค์เถิดพระเจ้าค่ะ”
องค์ชายผู้เปลี่ยนฐานะอันน่าเกรงขามของสิงขร ทั้งจากหัวหน้ากองราชองครักษ์หลวงหน่วยที่ ๑ และจากบุตรชายของขุนพลใหญ่ผู้เป็นดั่งศิษย์ผู้พี่ มาเป็นองครักษ์ประจำพระองค์ รับสั่งถามขึ้นว่า
“เจ้ารู้ไหม สิ่งที่เราปรารถนาที่สุด คืออะไร”
องครักษ์คนใหม่เพ่งมองพักตร์ ทูลว่า
“กระหม่อมคิดว่า คือพระราชธิดาวิสาณี แห่งเมืองนครฯ พระเจ้าค่ะ”
สิ้นคำทูลตอบ ผู้เป็นนายทรงหัวเราะ ตบหัตถ์ลงบนบ่าขององครักษ์หนุ่ม
“ใช่แล้ว พระนางคือสุดยอดของสิ่งที่เราปรารถนา...”
ทรงหยุดลงชั่วขณะ สีพักตร์แปรเปลี่ยนเป็นขทึง รับสั่งต่อว่า
“เจ้าทิพคือหนามยอกหัวใจเรา ครั้งนี้แม้ว่าเราจะไม่สามารถทำให้พระเจ้าศรีมหาราชพอพระราชหฤทัยได้ แต่อย่างไรก็ตาม... เจ้าทิพก็กำลังเดินเข้ากองไฟ มันจะไม่มีทางเป็นผู้ชนะในการประลองคัดเลือกราชาสิบสองนักษัตร... จะต้องได้รับทัณฑ์ตามพระราชโองการ ถูกสักบ่าเนรเทศไล่ออกจากเมือง เมื่อถึงตอนนั้นมีหรือที่พระเจ้าศรีมหาราชจะทรงยินยอมรับไปอุ้มชูอุปถัมภ์...”
รับสั่งแล้วทรงหัวเราะดังขึ้นกว่าเก่า ประหนึ่งทอดพระเนตรเห็นรอยสักประทับลงบนบ่าของเจ้าทิพแล้วก็ไม่ปาน...
สิงขรจำต้องข่มความรู้สึกขัดแย้งในใจ ด้วยตนนั้นถูกปลูกฝังและถูกตั้งความหวังจากบิดาผู้เป็นขุนพลใหญ่ให้มุ่งมั่นฝึกวิชาเพื่อเป็นตัวแทนตามหาองค์ตุมพะทะนานทองกลับคืนมาให้เมืองปตานี...
ยามนี้ทั้งเสียใจและละอายใจ... ความหวังนี้ไม่ได้ผูกพันกับตนอีกต่อไปนับแต่วันนี้ แต่กลับต้องช่วยเหลือองค์ชายผู้เป็นนายใหม่ ทำลายผู้เป็นตัวแทนของเมืองปตานีเข้าชิงตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตร...
เป็นความรู้สึกที่ยากจะรับได้จริงๆ
--------------------------------------------------
“อาการเจ้าทิพเป็นอย่างไรบ้าง ขอรับนายท่าน”
ไต้ซีหงถามขึ้นทันทีที่เซียงจือกงก้าวออกมาจากห้องข้างใน
“หมอหลวงเปิดแผล เอาเลือดเสียของเขาออก พร้อมพอกสมุนไพรประคบแผล... แต่เราเกรงว่าจะมีเลือดใหม่ไหลออกมาคั่งที่เดิมอีก จึงฝังเข็มกรุยเลือดลมบริเวณรอบบาดแผลให้ไหลเวียนสะดวก และต้องกระทำทุกชั่วยาม”
ที่แท้ภายในห้องคือเจ้าทิพซึ่งนอนหมดสติอยู่ ภายหลังจากที่หมอหลวงได้ทำการรักษาแล้ว เซียงจือกงจึงอาสาขอรับตัวชายหนุ่มมาดูแล
“เป็นโชคดีของเจ้าทิพ ที่นายท่านมีฝีมือเชี่ยวชาญการฝังเข็ม คิดว่าไม่นานคงจะหายเป็นปกติ... เพียงแต่นายท่านเองก็ควรระวังสุขภาพด้วย”
ผู้แทนการค้าประจำนครปตานีกล่าวด้วยความเป็นห่วง ทั้งผู้บาดเจ็บและผู้ให้การรักษา ด้วยขณะนี้ใกล้จะล่วงเข้ายามสองแล้ว
“แล้วงานที่เราให้ท่านไปทำ ได้ความว่าอย่างไร”
ไต้ซีหงซึ่งเพิ่งกลับเข้าที่พักมา รีบรายงานทันที
“เป็นอย่างที่นายท่านคาดการณ์ สิงขรถูกไต่สวนลงโทษ ปลดออกจากราชองครักษ์ประจำวังหลวง ลดตำแหน่งเป็นองครักษ์ชั้นตรี คอยติดตามดูแลองค์ชายอัศวเมฆขอรับ”
ผู้แทนประจำเมืองท่าปตานีย่อมรู้จักกับข้าราชบริพารภายในวัง และรู้วิธีที่จะได้มาซึ่งข้อเท็จจริง ยิ่งการปลด ๑ ใน ๔ หัวหน้ากองราชองครักษ์ประจำวังหลวง ย่อมมิใช่เรื่องลับมากมาย เพราะต้องประกาศถอดสิทธิ์และหน้าที่ให้ผู้เกี่ยวข้องต่างๆ ในวังรับรู้ เพียงแต่ในส่วนที่ยากคือสาเหตุของการปลด...
“แล้วเหตุผลล่ะ”
“เรียนนายท่าน เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ค่อยแน่ชัด เพียงระบุในหนังสือสั่งการว่า สิงขรกระทำเรื่องไม่สมควร... แต่มีคนพูดกันว่า สิงขรไปเกี่ยวพันกับพวกโจฬะทมิฬของเมืองไทรบุรีขอรับ”
“โจฬะทมิฬ... ไทรบุรี”
“ขอรับนายท่าน โจฬะทมิฬที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองไทรบุรี และได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากพระศรีมหาอินทรวังศา ราชาแห่งเมืองไทรบุรี... ในบรรดาเมืองนักษัตรนอกจากปตานีแล้ว ดูเหมือนจะมีไทรบุรีเพียงเมืองเดียวที่แสดงออกอย่างเด่นชัดที่ต้องการตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรเพื่อสิทธิ์ในการตามหาองค์ตุมพะทะนานทองขอรับ”
“ท่านคิดว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าไทรบุรี... หรือเป็นความปรารถนาของชาวโจฬะทมิฬที่มาอาศัยอยู่ไทรบุรี”
ไต้ซีหงถึงกับนิ่งงัน ไม่กล้าตอบคำ ผู้ผ่านดินแดนมามากมายกล่าวต่อว่า
“ท่านต้องเข้าใจก่อนว่า ใน ๑๒ เมืองนักษัตรนั้น แบ่งเป็น ๗ เมืองเดิมที่รวมอยู่ในแคว้นลังกาสุกะ คือสายบุรี กลันตัง ปะหัง ไทรบุรี พัทลุง ตรัง และปตานีที่เป็นเมืองเอก ฉะนั้นทุกเมืองจะมากจะน้อยก็ย่อมอ่อนข้อให้กับปตานี แม้ไทรบุรีและเมืองอื่นจะต้องการสิทธิ์ในการครอบครององค์ตุมพะทะนานทองแค่ไหน ก็ไม่ดำเนินพฤติกรรมอันเป็นเล่ห์เพทุบาย...”
ความนัยที่เซียงจือกงกำลังอธิบาย... ราชสำนักไทรบุรีไม่มีทางเข้ามาแทรกแซงการประลองคัดเลือกตัวแทนของปตานีเด็ดขาด ยกเว้นเป็นแผนร้ายของพวกโจฬะทมิฬ...
“นายท่านพิเคราะห์เหตุการณ์ได้เหมาะสม ข้าน้อยจะจดจำไว้ขอรับ”
“แต่ในการประลอง ๑๒ นักษัตรรอบนี้ ความสำคัญขององค์ตุมพะทะนานทองนับว่ายิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร”
ไต้ซีหงทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะไล่เลียงตอบด้วยความระมัดระวัง
“เท่าที่ข้าน้อยทราบมา องค์ตุมพะคือทะนานทองซึ่งโทณพราหมณ์ใช้ตวงพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า พราหมณ์ในตระกูลของท่านเป็นคนเก็บรักษาสืบต่อกันมา จนเมื่อแผ่นดินชมพูทวีปถูกชาวต่างศาสนาเข้ามายึดครอง ศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ถูกทำลาย ตระกูลโทณพราหมณ์จึงพาองค์ตุมพะทะนานทองหนีมายังดินแดนสุวรรณภูมิที่เมืองไชยศิริ และก็ต้องอพยพหนีภัยอีกครั้งมายังแคว้นลังกาสุกะ ก่อนองค์ตุมพะทะนานทองจะสูญหายไปเมื่อมีผู้แทนจากกรุงสุโขทัยมาอัญเชิญพระเถระผู้ใหญ่จากเมืองนครศรีธรรมราชไปช่วยประดิษฐานพระพุทธศาสนายังดินแดนทางเหนือ... ความสำคัญน่าจะอยู่ที่ปีนี้คือ พุทธศักราช ๑๙๑๖ ซึ่งถ้านับจากปีที่พระพุทธเจ้าประสูติ ก็คือผ่านมา ๑๙๙๖ ปีแล้ว ขอรับนายท่าน”
“ดีมากไต้ซีหง ไม่เสียทีที่ท่านประจำการอยู่ปตานีมาหลายปี.. ศึกษาเรื่องราวสิ่งสำคัญในย่านนี้ได้อย่างละเอียด” ผู้บัญชาการใหญ่กองเรือสินค้ากล่าวชื่นชม จากนั้นกล่าวต่อไปว่า...
“เจ็ดเมืองแห่งแคว้นลังกาสุกะเดิม มลายูแห่งเกาะสุมาตราและมัชปาหิตแห่งเกาะชวา ต่างนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานผสานความเชื่อพราหมณ์ฮินดู ซึ่งถือคติว่าการเสด็จปรินิพพานของพระพุทธเจ้ามิได้เป็นภาวะดับสิ้นทั้งปวง หากแต่ยังคงสถิตอยู่และมีรูปกายเป็น ๓ ที่เรียกว่าตรีกาย...
กายที่ ๑ คือสัมโภคกาย อยู่ในแดนสุขาวดี...
กายที่ ๒ คือนิรมานกาย ซึ่งพร้อมจะกลับมาอุบัติยังโลกมนุษย์...
และกายที่ ๓ ธรรมกายคือภาวะรู้แจ้งสว่างไสว...
ส่วนชาวโจฬะทมิฬนับถือศาสนาพราหมณ์ฮินดูเชื่อว่าพระพุทธเจ้าคือพระนารายณ์ที่อวตารมาเกิด และจะอวตารลงมาอีกครั้งหลังครบ ๒,๐๐๐ ปี...
ทั้งหมดนี้ทำให้ทุกเมืองต่างต้องการครอบครององค์ตุมพะทะนานทอง ด้วยเป็นภาชนะชิ้นเดียวซึ่งเคยบรรจุสัมผัสพระบรมสารีริกธาตุทุกองค์ก่อนจะถูกอัญเชิญแยกย้ายไปบูชาตามทิศประเทศต่างๆ... มีความเชื่อว่าหากได้นำพระบรมสารีริกธาตุแม้เพียงพระองค์เดียว บรรจุกลับลงไปในองค์ตุมพะทะนานทองและกระทำการบูชาอย่างเหมาะสม มหาบุรุษของโลกจะอุบัติขึ้นยังดินแดนแห่งนั้น”
“ความหมายของนายท่านคือ ไม่ได้มีเพียง ๗ เมืองนักษัตรเท่านั้นที่ต้องการจะครอบครององค์ตุมพะทะนานทอง แต่ยังจะมีแว่นแคว้นอื่นเข้ามาช่วงชิง”
“ถูกต้อง... แต่ทั้งมลายู มัชปาหิต และโจฬะทมิฬอาจจะมิแสดงตัวชัดเจน หากแต่แฝงเร้นกระทำการ ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจกำลังส่งคนไปสืบเสาะยังเมืองที่มีเบาะแสเรื่องนี้”
“หมายถึงเมืองสุโขทัยหรือ นายท่าน”
“ถ้าเป็นเมืองสุโขทัยคงจะมีการสืบค้นกันไปนานแล้ว”
“แต่ถ้าเป็นคนกลุ่มใหม่ที่เข้ามา อาจต้องไปเริ่มต้นสืบค้นกันที่เมืองสุโขทัยก็เป็นได้ขอรับ” ไต้ซีหงกล่าวแล้วหยุดครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวเป็นเชิงหยั่งใจผู้เป็นนายว่า
“ถ้าองค์ตุมพะทะนานทองมีความสำคัญมากขนาดนี้ นายท่านคิดจะติดตามเพื่อนำไปถวายแด่องค์พระจักรพรรดิของเราหรือไม่”
คำถามนี้ทำให้ผู้บัญชาการกองเรือต้องเพ่งมองหน้าผู้ถาม... กล่าวตอบไปชัดคำ
“ภารกิจของเราคือค้าขายสินค้าและเจริญสัมพันธไมตรีกับแว่นแคว้นต่างๆ หาใช่โจรสลัดเที่ยวปล้นช่วงชิงสิ่งของสำคัญของบ้านเมืองเขาไม่ ทีหลังท่านจะถามอะไรก็ควรให้อยู่ในกรอบด้วย”
ไต้ซีหงรู้สึกหน้าชา สำนึกตนว่าผิดอีกครั้งแล้ว
--------------------------------------------------
ทิพากร แปลว่าดวงอาทิตย์... นามนี้พระสนมจันทราทรงตั้งให้กับบุตรชายของตน
บางคนกล่าวหาว่า แม้แต่ชื่อก็เป็นกาลกิณีกับพระมารดา... เพราะเมื่อพระอาทิตย์ส่องฟ้า พระจันทร์ย่อมลาลับไป และสุดท้ายพระนางก็สิ้นพระชนม์ลงยามพระอาทิตย์ปรากฏแสงบนลำน้ำปตานี
บัดนี้อาทิตย์ส่องเจิดจ้าบนท้องฟ้า แต่เจ้าของนามกลับนอนไร้สติอยู่ในห้องพักด้านในของเรือนรับรอง
“ท่านอย่าได้เป็นอะไรไปนะ” พระสุรเสียงสั่นเครือของพระราชธิดาแห่งเมืองนครฯ ชวนให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกปวดร้าวใจ
พระหัตถ์ทรงกุมมือเจ้าทิพไว้แน่น คล้ายดั่งมิยอมให้ชายหนุ่มจากไปไหน ทั้งที่ร่างนอนสงบนิ่ง แทบไม่ไหวติง ลมหายใจเล่าก็แผ่วเบา
“พระองค์หญิงอย่าได้กังวลพระทัยไปเลย เกล้ากระหม่อมฝังเข็มให้เขาจมสู่อาการหลับลึก เพื่อไม่ให้กระสับกระส่ายพลิกตัวจนกระเทือนถึงบาดแผลภายใน หากแม้นคาดการณ์ไม่ผิด ภายในเย็นวันนี้เขาคงจะฟื้นคืนสติแล้ว” เสียงล่ามแปลภาษาจีนถวาย
“เราได้ยินมาว่า เจ้าทิพจะไม่ได้กลับเมืองนครฯ อีกแล้ว... หลังจากเขาหายดี ต้องฝึกวิชาการต่อสู้อยู่ที่ปตานีเพื่อเข้าชิงชัยในพิธีชุมนุมสิบสองนักษัตร หากพ่ายแพ้ก็จะถูกเนรเทศขับออกจากเมือง แม้เมืองนครฯ และเมืองบริวารทั้ง ๑๒ ก็ห้ามเข้า... แต่หากชนะได้เป็นราชาสิบสองนักษัตร ก็ต้องเร่ร่อนออกตามหาองค์ตุมพะทะนานทองต่อไป... นี่เราจะไม่ได้พบเจอเขาที่เมืองนครฯ อีกแล้ว...”
น้ำพระเนตรคลอปริ่ม ทรงยกพระภูษาขึ้นซับก่อนจะไหลออกมา
เซียงจือกงทอดถอนใจ มิรู้จะปลอบพระนางเช่นไร กราบทูลว่า
“องค์หญิงเสด็จมาเฝ้าอาการของเจ้าทิพนานแล้ว เกล้ากระหม่อมเห็นว่าสมควรเสด็จกลับยังพระตำหนัก เพื่อเสวยพระกระยาหารพร้อมกับพระราชบิดา หากแม้นเจ้าทิพฟื้นคืนสติ เกล้ากระหม่อมจะให้คนไปเชิญเสด็จเอง พระเจ้าค่ะ”
“พรุ่งนี้ เราต้องออกเดินทางกลับเมืองนครฯ พร้อมพระบิดาแต่เช้าตรู่ ท่านอย่าได้ใจร้ายผลักไสเราไปเลย เราอยากอยู่เฝ้าใกล้ชิดเขา... ส่วนทางพระบิดา เราจะให้นางข้าหลวงกลับไปกราบทูลเอง”
ผู้ที่เจ้าทิพเรียกว่าท่านอา รู้พระอาการดีว่าองค์หญิงมิเพียงทรงประสงค์จะอยู่ใกล้เจ้าทิพ หากแต่ยังทรงปรารถนาจะหลบเลี่ยงการเสวยพระกระยาหารร่วมกับองค์ชายอัศวเมฆ จึงกราบทูลว่า
“ถ้าอย่างนั้น เกล้ากระหม่อมจะให้คนจัดพระกระยาหารมาถวาย พระเจ้าค่ะ”
“อย่าต้องลำบากเลย ท่านเซียงจือกง เราเพียงขออยู่ข้างๆ เจ้าทิพก็พอแล้ว หลังจากวันนี้เราไม่รู้จะได้พบเขาอีกเมื่อใด”
“หากพระองค์ไม่ทรงประสงค์จะเสวยพระกระยาหารที่เกล้ากระหม่อมจัดเตรียม เกล้ากระหม่อมเกรงว่าอาจจะต้องเชิญเสด็จพระองค์หญิงกลับไปเสวยยังพระตำหนักก่อน พระเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงและท่าทีนุ่มนวลของเซียงจือกง แม้ตัวล่ามจะแปลออกมาจนขัดหู แต่พระนางก็เข้าพระทัยนัยแห่งความปรารถนาดีและชั้นเชิงการทูตของผู้กำกับกองเรืออันใหญ่โต
ทรงแย้มพระสรวลน้อยๆ พร้อมรับสั่งว่า
“ถ้าจะทำให้ท่านจือกงอนุญาตให้เราอยู่ต่อในที่นี้ เราเห็นจะต้องรบกวนอาหารของท่านสักมื้อหนึ่งแล้ว”
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๑๗ องค์ตุมพะทะนานทอง
บทที่ ๑๗ องค์ตุมพะทะนานทอง
ความผิดของสิงขรร้ายแรงนัก แต่ด้วยองค์ชายอัศวเมฆทรงขอไว้จึงเหลือเพียงลดตำแหน่งจากราชองครักษ์ชั้นเอกประจำวังหลวง เป็นองครักษ์ชั้นตรีมีหน้าที่อารักขาองค์ชายอัศวเมฆ
จากเดิมชั้นหัวหน้ากองถูกปลดออกหาได้มีบริวารในสังกัดอีกต่อไป
“กระหม่อมเป็นหนี้ชีวิตองค์ชาย จากนี้ไปขอถวายชีวิตรับใช้ หากมีพระประสงค์ให้กระหม่อมกระทำสิ่งใด แม้ต้องบุกน้ำลุยไฟก็จักกระทำการไม่ย่อท้อ พระเจ้าค่ะ”
“ดีมาก สิงขร... ท่านอย่าได้เดือดร้อนใจเรื่องยศศักดิ์และฐานะที่สูญไปเลย วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อเราได้ครองนครสืบแทนพระบิดา ตำแหน่งขุนพลใหญ่เมืองปตานีก็จะเป็นของท่านเช่นกัน” องค์ชายทรงหัวเราะพอหทัย
“วันนี้กระหม่อมเก็บชีวิตไว้ได้ก็นับว่าเป็นบุญที่สุดแล้ว... ในวันข้างหน้าก็สุดแต่พระองค์เถิดพระเจ้าค่ะ”
องค์ชายผู้เปลี่ยนฐานะอันน่าเกรงขามของสิงขร ทั้งจากหัวหน้ากองราชองครักษ์หลวงหน่วยที่ ๑ และจากบุตรชายของขุนพลใหญ่ผู้เป็นดั่งศิษย์ผู้พี่ มาเป็นองครักษ์ประจำพระองค์ รับสั่งถามขึ้นว่า
“เจ้ารู้ไหม สิ่งที่เราปรารถนาที่สุด คืออะไร”
องครักษ์คนใหม่เพ่งมองพักตร์ ทูลว่า
“กระหม่อมคิดว่า คือพระราชธิดาวิสาณี แห่งเมืองนครฯ พระเจ้าค่ะ”
สิ้นคำทูลตอบ ผู้เป็นนายทรงหัวเราะ ตบหัตถ์ลงบนบ่าขององครักษ์หนุ่ม
“ใช่แล้ว พระนางคือสุดยอดของสิ่งที่เราปรารถนา...”
ทรงหยุดลงชั่วขณะ สีพักตร์แปรเปลี่ยนเป็นขทึง รับสั่งต่อว่า
“เจ้าทิพคือหนามยอกหัวใจเรา ครั้งนี้แม้ว่าเราจะไม่สามารถทำให้พระเจ้าศรีมหาราชพอพระราชหฤทัยได้ แต่อย่างไรก็ตาม... เจ้าทิพก็กำลังเดินเข้ากองไฟ มันจะไม่มีทางเป็นผู้ชนะในการประลองคัดเลือกราชาสิบสองนักษัตร... จะต้องได้รับทัณฑ์ตามพระราชโองการ ถูกสักบ่าเนรเทศไล่ออกจากเมือง เมื่อถึงตอนนั้นมีหรือที่พระเจ้าศรีมหาราชจะทรงยินยอมรับไปอุ้มชูอุปถัมภ์...”
รับสั่งแล้วทรงหัวเราะดังขึ้นกว่าเก่า ประหนึ่งทอดพระเนตรเห็นรอยสักประทับลงบนบ่าของเจ้าทิพแล้วก็ไม่ปาน...
สิงขรจำต้องข่มความรู้สึกขัดแย้งในใจ ด้วยตนนั้นถูกปลูกฝังและถูกตั้งความหวังจากบิดาผู้เป็นขุนพลใหญ่ให้มุ่งมั่นฝึกวิชาเพื่อเป็นตัวแทนตามหาองค์ตุมพะทะนานทองกลับคืนมาให้เมืองปตานี...
ยามนี้ทั้งเสียใจและละอายใจ... ความหวังนี้ไม่ได้ผูกพันกับตนอีกต่อไปนับแต่วันนี้ แต่กลับต้องช่วยเหลือองค์ชายผู้เป็นนายใหม่ ทำลายผู้เป็นตัวแทนของเมืองปตานีเข้าชิงตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตร...
เป็นความรู้สึกที่ยากจะรับได้จริงๆ
--------------------------------------------------
“อาการเจ้าทิพเป็นอย่างไรบ้าง ขอรับนายท่าน”
ไต้ซีหงถามขึ้นทันทีที่เซียงจือกงก้าวออกมาจากห้องข้างใน
“หมอหลวงเปิดแผล เอาเลือดเสียของเขาออก พร้อมพอกสมุนไพรประคบแผล... แต่เราเกรงว่าจะมีเลือดใหม่ไหลออกมาคั่งที่เดิมอีก จึงฝังเข็มกรุยเลือดลมบริเวณรอบบาดแผลให้ไหลเวียนสะดวก และต้องกระทำทุกชั่วยาม”
ที่แท้ภายในห้องคือเจ้าทิพซึ่งนอนหมดสติอยู่ ภายหลังจากที่หมอหลวงได้ทำการรักษาแล้ว เซียงจือกงจึงอาสาขอรับตัวชายหนุ่มมาดูแล
“เป็นโชคดีของเจ้าทิพ ที่นายท่านมีฝีมือเชี่ยวชาญการฝังเข็ม คิดว่าไม่นานคงจะหายเป็นปกติ... เพียงแต่นายท่านเองก็ควรระวังสุขภาพด้วย”
ผู้แทนการค้าประจำนครปตานีกล่าวด้วยความเป็นห่วง ทั้งผู้บาดเจ็บและผู้ให้การรักษา ด้วยขณะนี้ใกล้จะล่วงเข้ายามสองแล้ว
“แล้วงานที่เราให้ท่านไปทำ ได้ความว่าอย่างไร”
ไต้ซีหงซึ่งเพิ่งกลับเข้าที่พักมา รีบรายงานทันที
“เป็นอย่างที่นายท่านคาดการณ์ สิงขรถูกไต่สวนลงโทษ ปลดออกจากราชองครักษ์ประจำวังหลวง ลดตำแหน่งเป็นองครักษ์ชั้นตรี คอยติดตามดูแลองค์ชายอัศวเมฆขอรับ”
ผู้แทนประจำเมืองท่าปตานีย่อมรู้จักกับข้าราชบริพารภายในวัง และรู้วิธีที่จะได้มาซึ่งข้อเท็จจริง ยิ่งการปลด ๑ ใน ๔ หัวหน้ากองราชองครักษ์ประจำวังหลวง ย่อมมิใช่เรื่องลับมากมาย เพราะต้องประกาศถอดสิทธิ์และหน้าที่ให้ผู้เกี่ยวข้องต่างๆ ในวังรับรู้ เพียงแต่ในส่วนที่ยากคือสาเหตุของการปลด...
“แล้วเหตุผลล่ะ”
“เรียนนายท่าน เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ค่อยแน่ชัด เพียงระบุในหนังสือสั่งการว่า สิงขรกระทำเรื่องไม่สมควร... แต่มีคนพูดกันว่า สิงขรไปเกี่ยวพันกับพวกโจฬะทมิฬของเมืองไทรบุรีขอรับ”
“โจฬะทมิฬ... ไทรบุรี”
“ขอรับนายท่าน โจฬะทมิฬที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองไทรบุรี และได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากพระศรีมหาอินทรวังศา ราชาแห่งเมืองไทรบุรี... ในบรรดาเมืองนักษัตรนอกจากปตานีแล้ว ดูเหมือนจะมีไทรบุรีเพียงเมืองเดียวที่แสดงออกอย่างเด่นชัดที่ต้องการตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรเพื่อสิทธิ์ในการตามหาองค์ตุมพะทะนานทองขอรับ”
“ท่านคิดว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าไทรบุรี... หรือเป็นความปรารถนาของชาวโจฬะทมิฬที่มาอาศัยอยู่ไทรบุรี”
ไต้ซีหงถึงกับนิ่งงัน ไม่กล้าตอบคำ ผู้ผ่านดินแดนมามากมายกล่าวต่อว่า
“ท่านต้องเข้าใจก่อนว่า ใน ๑๒ เมืองนักษัตรนั้น แบ่งเป็น ๗ เมืองเดิมที่รวมอยู่ในแคว้นลังกาสุกะ คือสายบุรี กลันตัง ปะหัง ไทรบุรี พัทลุง ตรัง และปตานีที่เป็นเมืองเอก ฉะนั้นทุกเมืองจะมากจะน้อยก็ย่อมอ่อนข้อให้กับปตานี แม้ไทรบุรีและเมืองอื่นจะต้องการสิทธิ์ในการครอบครององค์ตุมพะทะนานทองแค่ไหน ก็ไม่ดำเนินพฤติกรรมอันเป็นเล่ห์เพทุบาย...”
ความนัยที่เซียงจือกงกำลังอธิบาย... ราชสำนักไทรบุรีไม่มีทางเข้ามาแทรกแซงการประลองคัดเลือกตัวแทนของปตานีเด็ดขาด ยกเว้นเป็นแผนร้ายของพวกโจฬะทมิฬ...
“นายท่านพิเคราะห์เหตุการณ์ได้เหมาะสม ข้าน้อยจะจดจำไว้ขอรับ”
“แต่ในการประลอง ๑๒ นักษัตรรอบนี้ ความสำคัญขององค์ตุมพะทะนานทองนับว่ายิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร”
ไต้ซีหงทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะไล่เลียงตอบด้วยความระมัดระวัง
“เท่าที่ข้าน้อยทราบมา องค์ตุมพะคือทะนานทองซึ่งโทณพราหมณ์ใช้ตวงพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า พราหมณ์ในตระกูลของท่านเป็นคนเก็บรักษาสืบต่อกันมา จนเมื่อแผ่นดินชมพูทวีปถูกชาวต่างศาสนาเข้ามายึดครอง ศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ถูกทำลาย ตระกูลโทณพราหมณ์จึงพาองค์ตุมพะทะนานทองหนีมายังดินแดนสุวรรณภูมิที่เมืองไชยศิริ และก็ต้องอพยพหนีภัยอีกครั้งมายังแคว้นลังกาสุกะ ก่อนองค์ตุมพะทะนานทองจะสูญหายไปเมื่อมีผู้แทนจากกรุงสุโขทัยมาอัญเชิญพระเถระผู้ใหญ่จากเมืองนครศรีธรรมราชไปช่วยประดิษฐานพระพุทธศาสนายังดินแดนทางเหนือ... ความสำคัญน่าจะอยู่ที่ปีนี้คือ พุทธศักราช ๑๙๑๖ ซึ่งถ้านับจากปีที่พระพุทธเจ้าประสูติ ก็คือผ่านมา ๑๙๙๖ ปีแล้ว ขอรับนายท่าน”
“ดีมากไต้ซีหง ไม่เสียทีที่ท่านประจำการอยู่ปตานีมาหลายปี.. ศึกษาเรื่องราวสิ่งสำคัญในย่านนี้ได้อย่างละเอียด” ผู้บัญชาการใหญ่กองเรือสินค้ากล่าวชื่นชม จากนั้นกล่าวต่อไปว่า...
“เจ็ดเมืองแห่งแคว้นลังกาสุกะเดิม มลายูแห่งเกาะสุมาตราและมัชปาหิตแห่งเกาะชวา ต่างนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานผสานความเชื่อพราหมณ์ฮินดู ซึ่งถือคติว่าการเสด็จปรินิพพานของพระพุทธเจ้ามิได้เป็นภาวะดับสิ้นทั้งปวง หากแต่ยังคงสถิตอยู่และมีรูปกายเป็น ๓ ที่เรียกว่าตรีกาย...
กายที่ ๑ คือสัมโภคกาย อยู่ในแดนสุขาวดี...
กายที่ ๒ คือนิรมานกาย ซึ่งพร้อมจะกลับมาอุบัติยังโลกมนุษย์...
และกายที่ ๓ ธรรมกายคือภาวะรู้แจ้งสว่างไสว...
ส่วนชาวโจฬะทมิฬนับถือศาสนาพราหมณ์ฮินดูเชื่อว่าพระพุทธเจ้าคือพระนารายณ์ที่อวตารมาเกิด และจะอวตารลงมาอีกครั้งหลังครบ ๒,๐๐๐ ปี...
ทั้งหมดนี้ทำให้ทุกเมืองต่างต้องการครอบครององค์ตุมพะทะนานทอง ด้วยเป็นภาชนะชิ้นเดียวซึ่งเคยบรรจุสัมผัสพระบรมสารีริกธาตุทุกองค์ก่อนจะถูกอัญเชิญแยกย้ายไปบูชาตามทิศประเทศต่างๆ... มีความเชื่อว่าหากได้นำพระบรมสารีริกธาตุแม้เพียงพระองค์เดียว บรรจุกลับลงไปในองค์ตุมพะทะนานทองและกระทำการบูชาอย่างเหมาะสม มหาบุรุษของโลกจะอุบัติขึ้นยังดินแดนแห่งนั้น”
“ความหมายของนายท่านคือ ไม่ได้มีเพียง ๗ เมืองนักษัตรเท่านั้นที่ต้องการจะครอบครององค์ตุมพะทะนานทอง แต่ยังจะมีแว่นแคว้นอื่นเข้ามาช่วงชิง”
“ถูกต้อง... แต่ทั้งมลายู มัชปาหิต และโจฬะทมิฬอาจจะมิแสดงตัวชัดเจน หากแต่แฝงเร้นกระทำการ ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจกำลังส่งคนไปสืบเสาะยังเมืองที่มีเบาะแสเรื่องนี้”
“หมายถึงเมืองสุโขทัยหรือ นายท่าน”
“ถ้าเป็นเมืองสุโขทัยคงจะมีการสืบค้นกันไปนานแล้ว”
“แต่ถ้าเป็นคนกลุ่มใหม่ที่เข้ามา อาจต้องไปเริ่มต้นสืบค้นกันที่เมืองสุโขทัยก็เป็นได้ขอรับ” ไต้ซีหงกล่าวแล้วหยุดครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวเป็นเชิงหยั่งใจผู้เป็นนายว่า
“ถ้าองค์ตุมพะทะนานทองมีความสำคัญมากขนาดนี้ นายท่านคิดจะติดตามเพื่อนำไปถวายแด่องค์พระจักรพรรดิของเราหรือไม่”
คำถามนี้ทำให้ผู้บัญชาการกองเรือต้องเพ่งมองหน้าผู้ถาม... กล่าวตอบไปชัดคำ
“ภารกิจของเราคือค้าขายสินค้าและเจริญสัมพันธไมตรีกับแว่นแคว้นต่างๆ หาใช่โจรสลัดเที่ยวปล้นช่วงชิงสิ่งของสำคัญของบ้านเมืองเขาไม่ ทีหลังท่านจะถามอะไรก็ควรให้อยู่ในกรอบด้วย”
ไต้ซีหงรู้สึกหน้าชา สำนึกตนว่าผิดอีกครั้งแล้ว
--------------------------------------------------
ทิพากร แปลว่าดวงอาทิตย์... นามนี้พระสนมจันทราทรงตั้งให้กับบุตรชายของตน
บางคนกล่าวหาว่า แม้แต่ชื่อก็เป็นกาลกิณีกับพระมารดา... เพราะเมื่อพระอาทิตย์ส่องฟ้า พระจันทร์ย่อมลาลับไป และสุดท้ายพระนางก็สิ้นพระชนม์ลงยามพระอาทิตย์ปรากฏแสงบนลำน้ำปตานี
บัดนี้อาทิตย์ส่องเจิดจ้าบนท้องฟ้า แต่เจ้าของนามกลับนอนไร้สติอยู่ในห้องพักด้านในของเรือนรับรอง
“ท่านอย่าได้เป็นอะไรไปนะ” พระสุรเสียงสั่นเครือของพระราชธิดาแห่งเมืองนครฯ ชวนให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกปวดร้าวใจ
พระหัตถ์ทรงกุมมือเจ้าทิพไว้แน่น คล้ายดั่งมิยอมให้ชายหนุ่มจากไปไหน ทั้งที่ร่างนอนสงบนิ่ง แทบไม่ไหวติง ลมหายใจเล่าก็แผ่วเบา
“พระองค์หญิงอย่าได้กังวลพระทัยไปเลย เกล้ากระหม่อมฝังเข็มให้เขาจมสู่อาการหลับลึก เพื่อไม่ให้กระสับกระส่ายพลิกตัวจนกระเทือนถึงบาดแผลภายใน หากแม้นคาดการณ์ไม่ผิด ภายในเย็นวันนี้เขาคงจะฟื้นคืนสติแล้ว” เสียงล่ามแปลภาษาจีนถวาย
“เราได้ยินมาว่า เจ้าทิพจะไม่ได้กลับเมืองนครฯ อีกแล้ว... หลังจากเขาหายดี ต้องฝึกวิชาการต่อสู้อยู่ที่ปตานีเพื่อเข้าชิงชัยในพิธีชุมนุมสิบสองนักษัตร หากพ่ายแพ้ก็จะถูกเนรเทศขับออกจากเมือง แม้เมืองนครฯ และเมืองบริวารทั้ง ๑๒ ก็ห้ามเข้า... แต่หากชนะได้เป็นราชาสิบสองนักษัตร ก็ต้องเร่ร่อนออกตามหาองค์ตุมพะทะนานทองต่อไป... นี่เราจะไม่ได้พบเจอเขาที่เมืองนครฯ อีกแล้ว...”
น้ำพระเนตรคลอปริ่ม ทรงยกพระภูษาขึ้นซับก่อนจะไหลออกมา
เซียงจือกงทอดถอนใจ มิรู้จะปลอบพระนางเช่นไร กราบทูลว่า
“องค์หญิงเสด็จมาเฝ้าอาการของเจ้าทิพนานแล้ว เกล้ากระหม่อมเห็นว่าสมควรเสด็จกลับยังพระตำหนัก เพื่อเสวยพระกระยาหารพร้อมกับพระราชบิดา หากแม้นเจ้าทิพฟื้นคืนสติ เกล้ากระหม่อมจะให้คนไปเชิญเสด็จเอง พระเจ้าค่ะ”
“พรุ่งนี้ เราต้องออกเดินทางกลับเมืองนครฯ พร้อมพระบิดาแต่เช้าตรู่ ท่านอย่าได้ใจร้ายผลักไสเราไปเลย เราอยากอยู่เฝ้าใกล้ชิดเขา... ส่วนทางพระบิดา เราจะให้นางข้าหลวงกลับไปกราบทูลเอง”
ผู้ที่เจ้าทิพเรียกว่าท่านอา รู้พระอาการดีว่าองค์หญิงมิเพียงทรงประสงค์จะอยู่ใกล้เจ้าทิพ หากแต่ยังทรงปรารถนาจะหลบเลี่ยงการเสวยพระกระยาหารร่วมกับองค์ชายอัศวเมฆ จึงกราบทูลว่า
“ถ้าอย่างนั้น เกล้ากระหม่อมจะให้คนจัดพระกระยาหารมาถวาย พระเจ้าค่ะ”
“อย่าต้องลำบากเลย ท่านเซียงจือกง เราเพียงขออยู่ข้างๆ เจ้าทิพก็พอแล้ว หลังจากวันนี้เราไม่รู้จะได้พบเขาอีกเมื่อใด”
“หากพระองค์ไม่ทรงประสงค์จะเสวยพระกระยาหารที่เกล้ากระหม่อมจัดเตรียม เกล้ากระหม่อมเกรงว่าอาจจะต้องเชิญเสด็จพระองค์หญิงกลับไปเสวยยังพระตำหนักก่อน พระเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงและท่าทีนุ่มนวลของเซียงจือกง แม้ตัวล่ามจะแปลออกมาจนขัดหู แต่พระนางก็เข้าพระทัยนัยแห่งความปรารถนาดีและชั้นเชิงการทูตของผู้กำกับกองเรืออันใหญ่โต
ทรงแย้มพระสรวลน้อยๆ พร้อมรับสั่งว่า
“ถ้าจะทำให้ท่านจือกงอนุญาตให้เราอยู่ต่อในที่นี้ เราเห็นจะต้องรบกวนอาหารของท่านสักมื้อหนึ่งแล้ว”
(มีต่อ)