บขส.ผนึกบริษัทลอจิสติกส์รุกขนส่งพัสดุ ปั้นรายได้ 200 ล้าน-ทุ่ม 3 พันล้านหารถใหม่ 468 คัน

บขส.เตรียมจับมือบริษัทลอจิสติกส์ รุกตลาดขนส่งพัสดุภัณฑ์ ปรับรูปแบบขนส่งเป็น door to door เพิ่มความสะดวก ปั้นรายได้ปีหน้าแตะ 200 ล้าน ทุ่มงบกว่า 3.1 พันล้านหารถใหม่ 468 คัน นำร่องเช่ารถมินิบัส 55 คัน 230 ล้านยื่นซอง 12 ธ.ค.นี้
นายจิรศักดิ์ เยาว์วัชสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า ธุรกิจขนส่งพัสดุภัณฑ์ของ บขส. ซึ่งมี 2 รูปแบบ คือ ขนส่งด้วยรถพัสดุภัณฑ์เฉพาะ โดยมีรถ 12 คัน อีกส่วนใช้พื้นที่ใต้ท้องรถโดยสาร โดยผู้ใช้บริการต้องนำพัสดุที่ต้องการส่งมาที่สถานีขนส่ง และรอรับที่สถานีปลายทาง พบว่ายังไม่สะดวกและมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม และอาจไม่เหมาะสมกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น บขส.เตรียมแผนปรับรูปแบบบริการให้สามารถขนส่งพัสดุต่างๆ แบบ door to door โดยลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาส่งที่สถานี
โดยอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรที่เป็นผู้ประกอบการลอจิสติกส์ที่มีระบบและความเชี่ยวชาญรวมถึงมีลูกค้าในมือ เข้ามาร่วมดำเนินธุรกิจด้านนี้ ซึ่ง บขส.จะไม่ต้องลงทุนเพิ่มใดๆ แต่เป็นการแชร์โหลด หรือจัดสรรการใช้ประโยชน์พื้นที่ในรถของ บขส.เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้ด้านขนส่งพัสดุฯ ปี 62 เป็น 200 ล้านบาท เพิ่มจากปี 61 ที่มีรายได้ 160 ล้านบาท
“บขส.มีรถ 2 แบบ คือ เฉพาะขนส่งพัสดุ 12 คัน กับรถโดยสารที่มีพื้นที่ใต้ท้อง ซึ่งจะมีเส้นทางวิ่งประจำ ดังนั้นมีสินค้ามากหรือน้อยอย่างไรรถ บขส.ต้องวิ่ง ในขณะที่การมีพันธมิตรเข้ามาจัดการร่วมกับผู้ขนส่งรายอื่นๆ ที่อาจจะมีสินค้าไม่เต็มคันมาร่วมแชร์โหลดกันจะเกิดความคุ้มค่ามากขึ้น”
สำหรับความคืบหน้าในการจัดหารถโดยสารใหม่นั้น ตามแผนการดำเนินงาน บขส.จะมีการจัดหารถโดยสารใหม่เพื่อทดแทนรถเก่ามีอายุ 5-6 ปีที่เตรียมปลดระวาง โดยเป้าหมายจะมีรถให้บริการที่จำนวนประมาณ 500-600 คัน ซึ่งอยู่ระหว่างประกวดราคาด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) เช่ารถโดยสารขนาดเล็ก (Mini Bus) จำนวน 55 คัน วงเงิน 230.94 ล้านบาท ระยะเวลาสัญญาเช่า 4 ปี ราคากลางค่าเช่า 2,293 บาท/คัน/วัน ค่าเหมาซ่อม 583 บาท/คัน/วัน รวมทั้งสิ้น 2,876 บาท/คัน/วัน กำหนดยื่นข้อเสนอในวันที่ 12 ธ.ค. 2561 นี้
นอกจากนี้ ยังเตรียมประมูลเช่ารถโดยสารขนาดใหญ่ (12 เมตร) 314 คัน งบ 2,200 ล้านบาท ระยะเวลาเช่า 4 ปี โดยเตรียมสรุปทีโออาร์ และประกาศขึ้นเว็บไซต์เพื่อประชาพิจารณ์ในเดือน ธ.ค.นี้ โดยในเงื่อนไข บขส.ต้องการเน้นเรื่องคุณภาพรถ อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยต่างๆ มาตรฐาน
ขณะที่มีแผนจัดซื้อรถบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง โดยเป็นการซื้อรถโดยสารใหญ่ (12 เมตร) จำนวน 99 คัน วงเงิน 700 ล้านบาท (เฉลี่ย 6-7 ล้านบาท/คัน) ซึ่งอยู่ในขั้นตอนเสนอสภาพัฒน์เพื่อขออนุมัติโครงการ หากได้รับความเห็นชอบพร้อมเปิดประมูลเนื่องจากร่างทีโออาร์เสร็จแล้ว โดยหากเปิดประมูลได้ในปี 2562 จะใช้เวลาในการจัดหาประมาณ 12 เดือน ทำให้มีรถใหม่ที่มีคุณภาพให้บริการไปได้อีก 5 ปี
หลังจากนี้ บขส.จะเร่งดำเนินการในเรื่องที่ช่วยประหยัดต้นทุน เช่น การใช้น้ำมันดีเซล บี 20 ซึ่งอยู่ระหว่างทดลอง หากได้ผลคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนค่าน้ำมันได้ประมาณ 80 สต./ลิตร-3 บาท/ลิตร ขึ้นกับราคาและการอุดหนุนของรัฐบาลในแต่ละช่วง ซึ่งแต่ละปี บขส.มีปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลประมาณ 40 ล้านลิตร
https://mgronline.com/business/detail/9610000115111
โลจิสติกส์ไทยขยับขึ้นอันดับ 32 โลกแล้ว

“กอบศักดิ์” ปลื้ม!ความสามารถเต็มเปี่ยม
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ธนาคารโลกหรือเวิลด์แบงก์ได้ประกาศผลการจัดอันดับความสามารถด้านโลจิสติกส์ปี 61 จาก 160 ประเทศทั่วโลกปรากฏว่า ไทยอยู่อันดับที่ 32 ดีขึ้น 13 อันดับจากปี 59 ที่อยู่อันดับ 45 (จัดอันดับ 2 ปีต่อ 1 ครั้ง) เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ซึ่งอยู่อันดับ 7 และสูงกว่ามาเลเซียที่อยู่อันดับ 41 และเป็นอันดับ 7 ของเอเชีย ขณะที่ญี่ปุ่นอยู่อันดับ 5 ของโลก ตามด้วยสิงคโปร์อันดับ 7, ฮ่องกงอันดับ 12, เกาหลีใต้อันดับ 25, จีนอันดับ 26 และไต้หวันอันดับ 27 ส่วนอันดับ 1 คือ เยอรมนี
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ 3.41 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5.0 วัดโดยใช้ดัชนีชี้วัดทางด้านประสิทธิภาพโลจิสติกส์ (แอลพีไอ) แยกเป็น 6 ด้าน คือ 1.ด้านประสิทธิภาพการดำเนินงานพิธีการสินค้าผ่านแดนหรือศุลกากรได้ 3.14 คะแนน 2.ด้านคุณภาพการค้า การขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานได้ 3.14 คะแนน 3.ด้านความง่ายในการจัดการขนส่งสินค้าทางเรือระหว่างประเทศได้ 3.46 คะแนน 4.ด้านความสามารถของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในประเทศได้ 3.41 คะแนน 5.ด้านความสามารถการติดตามสืบค้นสินค้าระหว่างการขนส่งได้ 3.47 คะแนน 6.ด้านการส่งสินค้าถึงที่หมายตรงเวลาได้ 3.81 คะแนน โดยเหตุผลที่ไทยได้อันดับดีขึ้น มาจากการขับเคลื่อนแผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศจนเห็นเป็นรูปธรรม ซึ่งช่วยให้เกิดการปฏิรูประบบโลจิสติกส์ของประเทศ.
https://www.thairath.co.th/content/1347219
ธุรกิจนี้น่าจะไปได้ดีนะคะ
ยุคที่คนไทยซื้อสินค้าทางโซเชียล การขนส่งเป็นเรื่องจำเป็นที่สุด
💡~มาลาริน~ไทยแลนด์ 4.0...บขส.จับมือบริษัทลอจิสติกส์ รุกตลาดขนส่งพัสดุภัณฑ์..สมที่โลจิสติกส์ไทยขยับขึ้นอันดับ 32 โลก
บขส.ผนึกบริษัทลอจิสติกส์รุกขนส่งพัสดุ ปั้นรายได้ 200 ล้าน-ทุ่ม 3 พันล้านหารถใหม่ 468 คัน
บขส.เตรียมจับมือบริษัทลอจิสติกส์ รุกตลาดขนส่งพัสดุภัณฑ์ ปรับรูปแบบขนส่งเป็น door to door เพิ่มความสะดวก ปั้นรายได้ปีหน้าแตะ 200 ล้าน ทุ่มงบกว่า 3.1 พันล้านหารถใหม่ 468 คัน นำร่องเช่ารถมินิบัส 55 คัน 230 ล้านยื่นซอง 12 ธ.ค.นี้
นายจิรศักดิ์ เยาว์วัชสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า ธุรกิจขนส่งพัสดุภัณฑ์ของ บขส. ซึ่งมี 2 รูปแบบ คือ ขนส่งด้วยรถพัสดุภัณฑ์เฉพาะ โดยมีรถ 12 คัน อีกส่วนใช้พื้นที่ใต้ท้องรถโดยสาร โดยผู้ใช้บริการต้องนำพัสดุที่ต้องการส่งมาที่สถานีขนส่ง และรอรับที่สถานีปลายทาง พบว่ายังไม่สะดวกและมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม และอาจไม่เหมาะสมกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น บขส.เตรียมแผนปรับรูปแบบบริการให้สามารถขนส่งพัสดุต่างๆ แบบ door to door โดยลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาส่งที่สถานี
โดยอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรที่เป็นผู้ประกอบการลอจิสติกส์ที่มีระบบและความเชี่ยวชาญรวมถึงมีลูกค้าในมือ เข้ามาร่วมดำเนินธุรกิจด้านนี้ ซึ่ง บขส.จะไม่ต้องลงทุนเพิ่มใดๆ แต่เป็นการแชร์โหลด หรือจัดสรรการใช้ประโยชน์พื้นที่ในรถของ บขส.เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้ด้านขนส่งพัสดุฯ ปี 62 เป็น 200 ล้านบาท เพิ่มจากปี 61 ที่มีรายได้ 160 ล้านบาท
“บขส.มีรถ 2 แบบ คือ เฉพาะขนส่งพัสดุ 12 คัน กับรถโดยสารที่มีพื้นที่ใต้ท้อง ซึ่งจะมีเส้นทางวิ่งประจำ ดังนั้นมีสินค้ามากหรือน้อยอย่างไรรถ บขส.ต้องวิ่ง ในขณะที่การมีพันธมิตรเข้ามาจัดการร่วมกับผู้ขนส่งรายอื่นๆ ที่อาจจะมีสินค้าไม่เต็มคันมาร่วมแชร์โหลดกันจะเกิดความคุ้มค่ามากขึ้น”
สำหรับความคืบหน้าในการจัดหารถโดยสารใหม่นั้น ตามแผนการดำเนินงาน บขส.จะมีการจัดหารถโดยสารใหม่เพื่อทดแทนรถเก่ามีอายุ 5-6 ปีที่เตรียมปลดระวาง โดยเป้าหมายจะมีรถให้บริการที่จำนวนประมาณ 500-600 คัน ซึ่งอยู่ระหว่างประกวดราคาด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) เช่ารถโดยสารขนาดเล็ก (Mini Bus) จำนวน 55 คัน วงเงิน 230.94 ล้านบาท ระยะเวลาสัญญาเช่า 4 ปี ราคากลางค่าเช่า 2,293 บาท/คัน/วัน ค่าเหมาซ่อม 583 บาท/คัน/วัน รวมทั้งสิ้น 2,876 บาท/คัน/วัน กำหนดยื่นข้อเสนอในวันที่ 12 ธ.ค. 2561 นี้
นอกจากนี้ ยังเตรียมประมูลเช่ารถโดยสารขนาดใหญ่ (12 เมตร) 314 คัน งบ 2,200 ล้านบาท ระยะเวลาเช่า 4 ปี โดยเตรียมสรุปทีโออาร์ และประกาศขึ้นเว็บไซต์เพื่อประชาพิจารณ์ในเดือน ธ.ค.นี้ โดยในเงื่อนไข บขส.ต้องการเน้นเรื่องคุณภาพรถ อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยต่างๆ มาตรฐาน
ขณะที่มีแผนจัดซื้อรถบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง โดยเป็นการซื้อรถโดยสารใหญ่ (12 เมตร) จำนวน 99 คัน วงเงิน 700 ล้านบาท (เฉลี่ย 6-7 ล้านบาท/คัน) ซึ่งอยู่ในขั้นตอนเสนอสภาพัฒน์เพื่อขออนุมัติโครงการ หากได้รับความเห็นชอบพร้อมเปิดประมูลเนื่องจากร่างทีโออาร์เสร็จแล้ว โดยหากเปิดประมูลได้ในปี 2562 จะใช้เวลาในการจัดหาประมาณ 12 เดือน ทำให้มีรถใหม่ที่มีคุณภาพให้บริการไปได้อีก 5 ปี
หลังจากนี้ บขส.จะเร่งดำเนินการในเรื่องที่ช่วยประหยัดต้นทุน เช่น การใช้น้ำมันดีเซล บี 20 ซึ่งอยู่ระหว่างทดลอง หากได้ผลคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนค่าน้ำมันได้ประมาณ 80 สต./ลิตร-3 บาท/ลิตร ขึ้นกับราคาและการอุดหนุนของรัฐบาลในแต่ละช่วง ซึ่งแต่ละปี บขส.มีปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลประมาณ 40 ล้านลิตร
https://mgronline.com/business/detail/9610000115111
โลจิสติกส์ไทยขยับขึ้นอันดับ 32 โลกแล้ว
“กอบศักดิ์” ปลื้ม!ความสามารถเต็มเปี่ยม
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ธนาคารโลกหรือเวิลด์แบงก์ได้ประกาศผลการจัดอันดับความสามารถด้านโลจิสติกส์ปี 61 จาก 160 ประเทศทั่วโลกปรากฏว่า ไทยอยู่อันดับที่ 32 ดีขึ้น 13 อันดับจากปี 59 ที่อยู่อันดับ 45 (จัดอันดับ 2 ปีต่อ 1 ครั้ง) เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ซึ่งอยู่อันดับ 7 และสูงกว่ามาเลเซียที่อยู่อันดับ 41 และเป็นอันดับ 7 ของเอเชีย ขณะที่ญี่ปุ่นอยู่อันดับ 5 ของโลก ตามด้วยสิงคโปร์อันดับ 7, ฮ่องกงอันดับ 12, เกาหลีใต้อันดับ 25, จีนอันดับ 26 และไต้หวันอันดับ 27 ส่วนอันดับ 1 คือ เยอรมนี
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ 3.41 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5.0 วัดโดยใช้ดัชนีชี้วัดทางด้านประสิทธิภาพโลจิสติกส์ (แอลพีไอ) แยกเป็น 6 ด้าน คือ 1.ด้านประสิทธิภาพการดำเนินงานพิธีการสินค้าผ่านแดนหรือศุลกากรได้ 3.14 คะแนน 2.ด้านคุณภาพการค้า การขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานได้ 3.14 คะแนน 3.ด้านความง่ายในการจัดการขนส่งสินค้าทางเรือระหว่างประเทศได้ 3.46 คะแนน 4.ด้านความสามารถของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในประเทศได้ 3.41 คะแนน 5.ด้านความสามารถการติดตามสืบค้นสินค้าระหว่างการขนส่งได้ 3.47 คะแนน 6.ด้านการส่งสินค้าถึงที่หมายตรงเวลาได้ 3.81 คะแนน โดยเหตุผลที่ไทยได้อันดับดีขึ้น มาจากการขับเคลื่อนแผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศจนเห็นเป็นรูปธรรม ซึ่งช่วยให้เกิดการปฏิรูประบบโลจิสติกส์ของประเทศ.
https://www.thairath.co.th/content/1347219
ธุรกิจนี้น่าจะไปได้ดีนะคะ
ยุคที่คนไทยซื้อสินค้าทางโซเชียล การขนส่งเป็นเรื่องจำเป็นที่สุด