แมร่งอย่างกับในละครเลือดข้นคนจาง
คำถามก็ตามหัวข้อเลยครับ
แต่ที่จะเล่าจะเป็นเรื่องท้าวความ
ผมเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ครอบครัวผมเป็นเหมือน บ้านหลังนึงในละครเลือดข้นฯนี่แหละ คืออยู่ระแวกเดียวกับญาติๆ แต่เรื่องญาติๆ ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ผมประสบอยู่ตอนนี้
เดิมทีครอบครัวผม มีสมาชิก 5 คน ประกอบไปด้วย
พ่อ แม่(แม่เป็นคนไทยไม่ได้มีเชื้อสายจีน)
ผม น้องชายคนกลาง น้องชายคนเล็ก(ยังเรียนอยู่เมืองนอก)
ความสัมพันธ์ของผมกับน้องชาย ก่อนแต่งงานถือว่าดีมาก ผมกับน้องก็อายุห่างกันไม่มาก ช่วงที่เรียนอยู่เมืองนอกเราก็เคยใช้ชีวิตด้วยกัน 2 พี่น้องมาแล้วประมาณ 2 ปี มีทะเลาะกันบ้างแต่ทุกครั้งที่ปรับความเข้าใจกันก็จะกลับมามองหน้ากันได้เหมือนเดิมทุกครั้ง
ซึ่ง ผมกับน้องชาย แต่งงานและมีลูกในช่วงเวลาใกล้ๆกัน เพราะฉะนั้นการพาสะใภ้เข้ามาอยู่ภายในบ้าน ก็เริ่มในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน
แต่ปัญหาคือ น้องสะใภ้ผมอายุเยอะกว่าผมซะอีก และหนำซ้ำ ยังเป็นคนที่ผมเคยเรียกว่าเจ้ มาก่อนด้วย ซึ่งในช่วงแรกๆผมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเริ่มอาศัยในบ้านหลังเดียวกันแล้วเราที่เคยเป็นพี่ชายคนโตก็เริ่มมีความรู้สึกแปลกๆที่จะต้องมาเรียกน้องสะใภ้ว่าเจ้ เพราะเราเป็นพี่ใหญ่มาตลอด ซึ่งเราก็ไม่ได้รับความชัดเจนเรื่องนี้ว่า ภรรยาผม หรือภรรยาน้อง ใครเป็นสะใภ้ใหญ่สะใภ้เล็ก เหมือนกับว่าทุกคนหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกันจึงไม่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
นานวันเข้า คนที่เริ่มรู้สึกเสียเปรียบก็คือภรรยาผม เหตุผลอาจจะมีหลายอย่าง เช่น
1.ภรรยาผมเป็นคนญี่ปุ่นและเพิ่งหัดเรียนภาษาไทยช่วงที่ย้ายจากญี่ปุ่นมาอยู่ในครอบครัวผม จึงทำให้การสื่อสารกับพ่อแม่ ค่อนข้างลำบาก
2.ภรรยาผมอายุน้อยกว่าน้องสะใภ้ 7-8 ปี เท่ากับน้องชายคนเล็ก
3.อย่างที่บอกน้องสะใภ้เป็นคนที่ผมเคยเรียกว่า เจ้ มาก่อนก็คือเราเป็นเหลน เหล่ากง เดียวกัน ซึ่งเคยเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะฉะนั้น ภาพจำก็คือ พี่สาว แต่ภาพจำของคนรอบๆยังเรียกแทนน้องสะใภ้ผมว่าเจ้ จนเหมือนกับเค้าเป็นสะใภ้ใหญ่ซะอย่างงั้น
และพื้นฐานครอบครัวของน้องสะใภ้นั้นไม่ได้ดีลักษณะเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนใน กทม.ช่วง ม.ปลาย และเช่า หอพัก ใช้ชีวิตคนเดียวมาตลอด เพราะฉะนั้นพอต้องเข้ามาอยู่ในครอบครัวใหญ่ที่มีวัฒนธรรมครอบครัว ลักษณะว่าต้องรอสมาชิกทุกคนกลับมากินข้าวเย็น สะใภ้ทำกับข้าวทั้งเช้าและเย็น ผมรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจในหลายๆ ครั้งแต่ทุกครั้งเราก็จะพยายามมองข้ามมันไป แต่สุดท้ายคนที่ลำบากก็คือแฟนผมที่ต้องเป็นคนตระเตรียมซะส่วนใหญ่ และพอทุกคนเริ่มชินตากับภาพนี้แล้ว กลายเป็นว่าน้องสะใภ้ก็เป็นเหมือนสะใภ้ใหญ่ไปซะอย่างนั้น
ซึ่งมีครั้งนึงผมเคยถามแม่ว่า ใครสะใภ้ใหญ่ สะใภ้เล็ก แต่แม่ผมไม่สามารถตอบได้ ณ ตรงนั้น ซึ่งมันทำให้ผมรู้ว่าเราปล่อยให้มันเลยเถิดไปแล้ว
และเป็นที่มาของการไม่คุยกันระหว่างสะใภ้ครั้งแรก
แต่โอเค ครั้งนี้เป็นครั้งที่เราปรับความเข้าใจกันได้และก็แอบหวังไว้ในใจลึกๆว่า น่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว ทุกอย่างน่าจะดีขึ้นตามลำดับของมัน
หลังจากนั้นสาวๆก็ไปเที่ยวกันมากขึ้น ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้นแต่เรื่องสะใภ้ใหญ่สะใภ้เล็กนั้นผมก็อยากจะค่อยๆทำให้มันชัดเจนขึ้น โดยอยากจะเริ่มกับตัวเองก่อน มีอยู่วันนึงผมเรียกชื่อน้องสะใภ้เฉยๆ โดยไม่เรียกเจ้นำหน้า เพื่อให้เค้ารู้ตัวว่าเค้าไม่ใช่พี่เรา เค้าอยู่ในฐานะภรรยาน้องชาย แต่ก็นั้นแหละ สีหน้าแกแบบว่า แสดงความไม่พอใจออกมาอีกแล้ว แต่ผมก็เชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นไม่ผิด และยังคงทำอย่างนั้นต่อไปทั้งๆ ที่เค้าก็ไม่พอใจนั้นแหละ
และก็นำมาสู่ความไม่เข้าใจกันระหว่างผมกับน้องชาย ซึ่งผมก็เชื่อว่าเค้าน่าจะถูกเป่าหูมาอะแหละ ปกติก็ไม่ค่อยมีเรื่องมาทะเลาะกับผม แต่คราวนี้มีซึ่งมันบอกได้ว่าไม่ปกติ แต่พอเป็นความขัดแย้งระหว่างผมกับน้องชาย พ่อแม่จึงเป็นคนไกล่เกลี่ย และพูดในลักษณะว่าทุกคนมี ศักดิ์ ภายในครอบครัว เราจะไม่เอาอายุมาเป็นประเด็น ให้เรียกกันด้วยศักดิ์ของแต่ละคน
ซึ่งการปรับความเข้าใจครั้งนั้นผ่านไปได้ด้วยดีก็จริงแต่สิ่งที่ผมไม่แน่ใจก็คือ น้องชาย ตัวเองที่มาออกเสียงแทนเมียตัวเอง
ซึ่งผ่านไปนานพอสมควร พ่อแม่ผมเห็นว่าหลานๆก็เริ่มโตแล้วและลูกๆก็คงอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง จึงมีแพลนที่จะสร้างบ้านในรั่วเดียวกัน โดยแบ่งที่ดินออกเป็น 3 ส่วน ให้ลูก 3 คนไปตกลงกันเอง ว่าใครจะอยู่ตรงไหน เนื่องจากน้องชายคนเล็กยังเรียนไม่จบ เราจึงมองว่าจะแบ่งที่ดินส่วนตรงกลางให้น้องส่วน ฝั่งซ้าย ฝั่งขวา ผมกับน้องชายเราตกลงกันว่าผมจะอยู่ฝั่งซ้าย น้องชายอยู่ฝั่งขวา
แต่หลังจากนั้น 1 อาทิตย์ ระหว่างที่กินข้าวเย็นกันในวันที่พ่อแม่ไม่อยู่ น้องสะใภ้ผมก็เป็นคนเอ่ยปากขอแลกที่ดินกับผม ณ ช่วงเวลานั้นผมคิดอะไรไม่ทัน ไม่ได้ปฏิเสธแต่บอกทิ้งท้ายไปว่ารอคกลงพร้อมๆกัยแม่ แต่สิ่งที่ทำให้ผมไม่พอใจก็คือทำไมคนที่พูดเรื่องนี้ต้องเป็นน้องสะใภ้ ทั้งที่เป็นเรื่องระหว่างพี่น้อง
ทั้งๆที่ยังไม่สรุป แต่เรียกสถาปนิกมาออกแบบบ้านแล้ว หมายความว่าไงวะ??
นั้นแหละครับ หลังจากนั้น 5 วันสถาปนิกเข้ามารับงานออกแบบบ้านตรงจุดที่น้องสะใภ้มาขอกับผม ซึ่งแฟนผมเห็นอย่างนั้นแล้วจึงรีบโทรถามผมว่า สรุปเรื่องนี้ไปแล้วหรอ?? เย็นวันนั้นผมก็รีบไปคุยกับแม่ เพราะถ้าทุกคนอยากมีสิทธิ์เลือกเหมือนกัน วิธีจับฉลากน่าจะดีที่สุด เราจึงตกลงสรุปจะใช้วิธีจับฉลาก โดยรอน้องคนเล็กกลับมาจับด้วยกัน
แต่นั้นแหละพอตอนที่แจ้ง ครอบครัวน้องชายเท่านั้น น้องสะใภ้มันก็ถามผมขึ้นมาว่า “จับฉลากกับตกลงกันมันต่างกันยังไง” ผมคิดในใจนะว่าคำถามแบบนี้ใครก็ตอบได้ป่าววะ จะมาถามเพื่อแสดงความไม่พอใจกูทำไม
ตอนนั้นในใจผมคือ รู้สึกแย่มากๆ และยิ่งไปกว่านั้นคือแฟนผมที่ไม่พอใจตั้งแต่น้องสะใภ้มาคุยกับผมเรื่องขอแลกที่ดินแล้ว และอีกอย่างแฟนผมไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลยด้วยซ้ำ พอเป็นเรื่องระหว่างครอบครัวเมื่อไหร่ แกจะรู้ตัวตลอดว่าให้พ่อแม่พี่น้อง เค้าคุยกันเอง
ผมไม่ได้ระแวงนะว่าน้องสะใภ้จะมาเอาอะไรไป แต่ผมอยากให้เข้าใจว่า พ่อแม่เตรียมไว้ให้ลูกชาย 3 คนเป็นเลือก ไม่ใช่ให้สะใภ้มามีส่วนเลือก สะใภ้เดินตามสิ่งที่สามีตัดสินใจกับครอบครัวใหญ่ก็พอ
หลังจากนั้น เค้าเริ่มแสดงความไม่พอใจบ้านผมมากขึ้นๆ ซึ่งผมออกไปทำงานใช่เวลาที่บ้านน้อยอาจจะไม่รำคาญใจเท่าแฟนผม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นที่มาทำให้สะใภ้ 2 คนไม่เข้าหน้ากันอีกครั้ง
และเมื่อพ่อแม่ผมเริ่มสังเกตุเหตุว่า สะใภ้ 2 คนไม่พูดคุยกันเป็นเวลานาน แกจึงเรียกผมกับน้องชายไปคุยให้จัดการเรื่องนี้ซะ ผมคุยกับน้องชายว่าเราจะคุยพร้อมกัน 4 คน เดี๋ยวนี้!! เป็นที่มาของการปรับความเข้าใจครั้งที่ 2 ที่มีสะใภ้อยู่ด้วย แต่คราวนี้ ทั้งแฟนผมและน้องสะใภ้เองก็แรงใส่กันทั้งคู่ ยังดีที่ผมกับน้องชายจะคอยเป็นล่าม ไทย ญี่ปุ่น ให้กันจึงทำให้การปะทะกันก็ยังต้องผ่านล่าม แต่ประเด็นที่แฟนผมชี้ก็คือการแสดงท่าทีที่น้องสะใภ้ไม่ควรทำกับพี่ใหญ่ ส่วนน้องสะใภ้ก็ชี้ประเด็นไปที่น้องชายผม มีสิทธิ์เลือกอะไรน้อยกว่าผมโดนมองเป็นตัวรองตลอดจึง ตัวเองจึงเป็นปากเสียงให้น้องชาย เราคุยกัน 4 ชม. จนรู้สึกว่าคุยกันไปก็ไม่จบ เราจึงตัดบทสนทนาโดยจากที่จะมา follow up สิ่งที่ได้พูดคุยให้ปรับเปลี่ยนในอีกสัปดาห์ถัดไป
Follow up ครั้งถัดมา เราก็ยังคุยกันเรื่องเดิมก็คือเรื่องที่น้องสะใภ้แสดงกิริยากับผม โดยครั้งนี้แฟนผมก็ได้พูดในลักษณะว่า กิริยาปัจจุบันนั้นมันเหมือนกับกิริยาที่พี่สาวแสดงกับน้องชาย และก็มีการพูดเรื่องการช่วยกันเตรียมกับข้าวตอนเช้า
เพราะถ้าไม่ช่วยกันและแม่ต้องมาคอยทำให้มันก็จะไม่ช่วยแบ่งเบาอะไร โดยเราก็ตกลงกันว่าจะมา Follow up ในอีกครั้งถัดไป
Follow up ครั้งสุดท้าย ครั้งนี้แฟนผมเริ่มสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของน้องสะใภ้ที่กลับมาอีกในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหนำซ้ำแย่ลงกว่าเดิมซะอีก ครั้งนี้ผมจึงเป็นคนพูดเองและพยายามพูดให้ตรงแต่ไม่ให้เกิดการปะทะกัน โดยผมพูดว่า น้องสะใภ้เองไม่มีสิทธิ์แสดงท่าทีไม่พอใจผมในบ้านนี้ เพราะมันคือบ้านผม!! แต่คำตอบของเค้าคือ มันคือบ้านเธอหรอ?? ครั้งนี้ผมเลือดขึ้นหน้าและพูดกับน้องชายว่าปล่อยให้แฟนพูดอย่างนี้กับกูได้ไงวะ ที่นี้คือบ้านพวกเรานะเว้ย คำตอบจากน้องชายผมคือบ้านหลังนี้เราไม่ได้ซื้อเอง เราอาศัยพ่อแม่อยู่ คราวนี้ผมช็อคหนักกว่าเดิมอีกว่าทำไมน้องชายผมถึงคิดแบบนี้ และปล่อยให้คนนอกเข้ามามีอิทธิพลในบ้านที่เราเคยอยู่กันมา 5 คน พ่อแม่ลูก
“บ้าน”ในความหมายของผมมันไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็ยสิ่งที่เราซื้อเอง แต่เป็นสถานที่ที่เป็น ที่ของเรา ที่ของเราจริงๆ โดยตามโครงสร้าง พ่อ แม่ พี่โต น้องกลาง น้องเล็ก ที่ควรจะเป็น ตอนนี้มันเหมือนให้คนอื่นเข้ามาสร้างความทุกข์ภายในครอบครัว ต่อให้เราจะแต่งงานกันแล้วเราก็ยังเป็นลูกพ่อแม่ ถ้าลูกไม่คิดว่าที่นี่คือบ้าน พ่อแม่จะเสียใจแค่ไหน ผมไม่ได้จะอยู่บ้านหลังนี้ไปตลอดต่อให้ผมมีบ้านเป็นของตัวเองแล้วก็เหอะ บ้านพีอแม่มันก็เป็นบ้านที่ผมกับน้องเคยอาศัยและโตมาด้วยกันอยู่ดี ผมไม่รู้จริงๆว่าน้องผมที่คิดอย่างนี้เพราะอิทธิพลจากน้องสะใภ้หรือเปล่า
แต่ที่แน่ๆ คือ ผมกับแฟนเรายอมแพ้และคิดว่าคงไม่สามารถแก้ความสัมพันธ์แบบนี้ได้ ถึงผมกับน้องชายจะไม่ได้ทะเลาะกันก็เหอะ แต่บ้านไหนสะใภ้รักกันดียิ่งกว่าถูกหวยซะอีก
ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าปัญหานี้มันเกิดจากตัวเองหรือเปล่า แต่ถ้าจะให็ผมที่เกิดและโตที่บ้านหลังนี้ ครอบครัวนี้ต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อน้องสะใภ้ผมทำไม่ได้จริงๆ แต่ถ้าผมต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้น่าเคารพผมก็จะทำนะ แต่ตอนนี้ดูยังไงก็ไม่น่าจะช่วยอะไรได้แล้ว
แฟนผมเองก็อยากจะดีกับน้องสะใภ้แต่ผมเองก็ไม่เข้าใจความจุกจิก คิดเล็กคิดน้อยของแฟนผมหรอก น้องสะใภ้เป็นคนพูดเองด้วยซ้ำว่าแฟนผมเป็นแบบนี้ แต่การจุดจิกของแฟนผม ผมมองไม่เห็นข้อเสียเลยสักเรื่อง
สุดท้ายอยากจะฝากไว้คือ ผมเคยคุยกับน้องชายก่อนแต่งงานว่า เราจะแต่งงานกับคู่ครองที่จะไม่ทำให้ความรักระหว่างพี่น้องเปลี่ยนแปลง โอเคตอนนี้ผมกับน้องชายไม่ได้มีปัญหากันก็จริงแต่ ผมไม่แน่ใจจริงๆ ว่าหลังจากนี้มันจะเป็นยังไง
“เลือกคู่ครองที่รักเราและครอบครัวเราด้วย”
สะใภ้กับสะใภ้ ไม่มีทางรักกันได้เลยหรอ??
คำถามก็ตามหัวข้อเลยครับ
แต่ที่จะเล่าจะเป็นเรื่องท้าวความ
ผมเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ครอบครัวผมเป็นเหมือน บ้านหลังนึงในละครเลือดข้นฯนี่แหละ คืออยู่ระแวกเดียวกับญาติๆ แต่เรื่องญาติๆ ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ผมประสบอยู่ตอนนี้
เดิมทีครอบครัวผม มีสมาชิก 5 คน ประกอบไปด้วย
พ่อ แม่(แม่เป็นคนไทยไม่ได้มีเชื้อสายจีน)
ผม น้องชายคนกลาง น้องชายคนเล็ก(ยังเรียนอยู่เมืองนอก)
ความสัมพันธ์ของผมกับน้องชาย ก่อนแต่งงานถือว่าดีมาก ผมกับน้องก็อายุห่างกันไม่มาก ช่วงที่เรียนอยู่เมืองนอกเราก็เคยใช้ชีวิตด้วยกัน 2 พี่น้องมาแล้วประมาณ 2 ปี มีทะเลาะกันบ้างแต่ทุกครั้งที่ปรับความเข้าใจกันก็จะกลับมามองหน้ากันได้เหมือนเดิมทุกครั้ง
ซึ่ง ผมกับน้องชาย แต่งงานและมีลูกในช่วงเวลาใกล้ๆกัน เพราะฉะนั้นการพาสะใภ้เข้ามาอยู่ภายในบ้าน ก็เริ่มในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน
แต่ปัญหาคือ น้องสะใภ้ผมอายุเยอะกว่าผมซะอีก และหนำซ้ำ ยังเป็นคนที่ผมเคยเรียกว่าเจ้ มาก่อนด้วย ซึ่งในช่วงแรกๆผมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเริ่มอาศัยในบ้านหลังเดียวกันแล้วเราที่เคยเป็นพี่ชายคนโตก็เริ่มมีความรู้สึกแปลกๆที่จะต้องมาเรียกน้องสะใภ้ว่าเจ้ เพราะเราเป็นพี่ใหญ่มาตลอด ซึ่งเราก็ไม่ได้รับความชัดเจนเรื่องนี้ว่า ภรรยาผม หรือภรรยาน้อง ใครเป็นสะใภ้ใหญ่สะใภ้เล็ก เหมือนกับว่าทุกคนหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกันจึงไม่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
นานวันเข้า คนที่เริ่มรู้สึกเสียเปรียบก็คือภรรยาผม เหตุผลอาจจะมีหลายอย่าง เช่น
1.ภรรยาผมเป็นคนญี่ปุ่นและเพิ่งหัดเรียนภาษาไทยช่วงที่ย้ายจากญี่ปุ่นมาอยู่ในครอบครัวผม จึงทำให้การสื่อสารกับพ่อแม่ ค่อนข้างลำบาก
2.ภรรยาผมอายุน้อยกว่าน้องสะใภ้ 7-8 ปี เท่ากับน้องชายคนเล็ก
3.อย่างที่บอกน้องสะใภ้เป็นคนที่ผมเคยเรียกว่า เจ้ มาก่อนก็คือเราเป็นเหลน เหล่ากง เดียวกัน ซึ่งเคยเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะฉะนั้น ภาพจำก็คือ พี่สาว แต่ภาพจำของคนรอบๆยังเรียกแทนน้องสะใภ้ผมว่าเจ้ จนเหมือนกับเค้าเป็นสะใภ้ใหญ่ซะอย่างงั้น
และพื้นฐานครอบครัวของน้องสะใภ้นั้นไม่ได้ดีลักษณะเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนใน กทม.ช่วง ม.ปลาย และเช่า หอพัก ใช้ชีวิตคนเดียวมาตลอด เพราะฉะนั้นพอต้องเข้ามาอยู่ในครอบครัวใหญ่ที่มีวัฒนธรรมครอบครัว ลักษณะว่าต้องรอสมาชิกทุกคนกลับมากินข้าวเย็น สะใภ้ทำกับข้าวทั้งเช้าและเย็น ผมรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจในหลายๆ ครั้งแต่ทุกครั้งเราก็จะพยายามมองข้ามมันไป แต่สุดท้ายคนที่ลำบากก็คือแฟนผมที่ต้องเป็นคนตระเตรียมซะส่วนใหญ่ และพอทุกคนเริ่มชินตากับภาพนี้แล้ว กลายเป็นว่าน้องสะใภ้ก็เป็นเหมือนสะใภ้ใหญ่ไปซะอย่างนั้น
ซึ่งมีครั้งนึงผมเคยถามแม่ว่า ใครสะใภ้ใหญ่ สะใภ้เล็ก แต่แม่ผมไม่สามารถตอบได้ ณ ตรงนั้น ซึ่งมันทำให้ผมรู้ว่าเราปล่อยให้มันเลยเถิดไปแล้ว
และเป็นที่มาของการไม่คุยกันระหว่างสะใภ้ครั้งแรก
แต่โอเค ครั้งนี้เป็นครั้งที่เราปรับความเข้าใจกันได้และก็แอบหวังไว้ในใจลึกๆว่า น่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว ทุกอย่างน่าจะดีขึ้นตามลำดับของมัน
หลังจากนั้นสาวๆก็ไปเที่ยวกันมากขึ้น ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้นแต่เรื่องสะใภ้ใหญ่สะใภ้เล็กนั้นผมก็อยากจะค่อยๆทำให้มันชัดเจนขึ้น โดยอยากจะเริ่มกับตัวเองก่อน มีอยู่วันนึงผมเรียกชื่อน้องสะใภ้เฉยๆ โดยไม่เรียกเจ้นำหน้า เพื่อให้เค้ารู้ตัวว่าเค้าไม่ใช่พี่เรา เค้าอยู่ในฐานะภรรยาน้องชาย แต่ก็นั้นแหละ สีหน้าแกแบบว่า แสดงความไม่พอใจออกมาอีกแล้ว แต่ผมก็เชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นไม่ผิด และยังคงทำอย่างนั้นต่อไปทั้งๆ ที่เค้าก็ไม่พอใจนั้นแหละ
และก็นำมาสู่ความไม่เข้าใจกันระหว่างผมกับน้องชาย ซึ่งผมก็เชื่อว่าเค้าน่าจะถูกเป่าหูมาอะแหละ ปกติก็ไม่ค่อยมีเรื่องมาทะเลาะกับผม แต่คราวนี้มีซึ่งมันบอกได้ว่าไม่ปกติ แต่พอเป็นความขัดแย้งระหว่างผมกับน้องชาย พ่อแม่จึงเป็นคนไกล่เกลี่ย และพูดในลักษณะว่าทุกคนมี ศักดิ์ ภายในครอบครัว เราจะไม่เอาอายุมาเป็นประเด็น ให้เรียกกันด้วยศักดิ์ของแต่ละคน
ซึ่งการปรับความเข้าใจครั้งนั้นผ่านไปได้ด้วยดีก็จริงแต่สิ่งที่ผมไม่แน่ใจก็คือ น้องชาย ตัวเองที่มาออกเสียงแทนเมียตัวเอง
ซึ่งผ่านไปนานพอสมควร พ่อแม่ผมเห็นว่าหลานๆก็เริ่มโตแล้วและลูกๆก็คงอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง จึงมีแพลนที่จะสร้างบ้านในรั่วเดียวกัน โดยแบ่งที่ดินออกเป็น 3 ส่วน ให้ลูก 3 คนไปตกลงกันเอง ว่าใครจะอยู่ตรงไหน เนื่องจากน้องชายคนเล็กยังเรียนไม่จบ เราจึงมองว่าจะแบ่งที่ดินส่วนตรงกลางให้น้องส่วน ฝั่งซ้าย ฝั่งขวา ผมกับน้องชายเราตกลงกันว่าผมจะอยู่ฝั่งซ้าย น้องชายอยู่ฝั่งขวา
แต่หลังจากนั้น 1 อาทิตย์ ระหว่างที่กินข้าวเย็นกันในวันที่พ่อแม่ไม่อยู่ น้องสะใภ้ผมก็เป็นคนเอ่ยปากขอแลกที่ดินกับผม ณ ช่วงเวลานั้นผมคิดอะไรไม่ทัน ไม่ได้ปฏิเสธแต่บอกทิ้งท้ายไปว่ารอคกลงพร้อมๆกัยแม่ แต่สิ่งที่ทำให้ผมไม่พอใจก็คือทำไมคนที่พูดเรื่องนี้ต้องเป็นน้องสะใภ้ ทั้งที่เป็นเรื่องระหว่างพี่น้อง
ทั้งๆที่ยังไม่สรุป แต่เรียกสถาปนิกมาออกแบบบ้านแล้ว หมายความว่าไงวะ??
นั้นแหละครับ หลังจากนั้น 5 วันสถาปนิกเข้ามารับงานออกแบบบ้านตรงจุดที่น้องสะใภ้มาขอกับผม ซึ่งแฟนผมเห็นอย่างนั้นแล้วจึงรีบโทรถามผมว่า สรุปเรื่องนี้ไปแล้วหรอ?? เย็นวันนั้นผมก็รีบไปคุยกับแม่ เพราะถ้าทุกคนอยากมีสิทธิ์เลือกเหมือนกัน วิธีจับฉลากน่าจะดีที่สุด เราจึงตกลงสรุปจะใช้วิธีจับฉลาก โดยรอน้องคนเล็กกลับมาจับด้วยกัน
แต่นั้นแหละพอตอนที่แจ้ง ครอบครัวน้องชายเท่านั้น น้องสะใภ้มันก็ถามผมขึ้นมาว่า “จับฉลากกับตกลงกันมันต่างกันยังไง” ผมคิดในใจนะว่าคำถามแบบนี้ใครก็ตอบได้ป่าววะ จะมาถามเพื่อแสดงความไม่พอใจกูทำไม
ตอนนั้นในใจผมคือ รู้สึกแย่มากๆ และยิ่งไปกว่านั้นคือแฟนผมที่ไม่พอใจตั้งแต่น้องสะใภ้มาคุยกับผมเรื่องขอแลกที่ดินแล้ว และอีกอย่างแฟนผมไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลยด้วยซ้ำ พอเป็นเรื่องระหว่างครอบครัวเมื่อไหร่ แกจะรู้ตัวตลอดว่าให้พ่อแม่พี่น้อง เค้าคุยกันเอง
ผมไม่ได้ระแวงนะว่าน้องสะใภ้จะมาเอาอะไรไป แต่ผมอยากให้เข้าใจว่า พ่อแม่เตรียมไว้ให้ลูกชาย 3 คนเป็นเลือก ไม่ใช่ให้สะใภ้มามีส่วนเลือก สะใภ้เดินตามสิ่งที่สามีตัดสินใจกับครอบครัวใหญ่ก็พอ
หลังจากนั้น เค้าเริ่มแสดงความไม่พอใจบ้านผมมากขึ้นๆ ซึ่งผมออกไปทำงานใช่เวลาที่บ้านน้อยอาจจะไม่รำคาญใจเท่าแฟนผม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นที่มาทำให้สะใภ้ 2 คนไม่เข้าหน้ากันอีกครั้ง
และเมื่อพ่อแม่ผมเริ่มสังเกตุเหตุว่า สะใภ้ 2 คนไม่พูดคุยกันเป็นเวลานาน แกจึงเรียกผมกับน้องชายไปคุยให้จัดการเรื่องนี้ซะ ผมคุยกับน้องชายว่าเราจะคุยพร้อมกัน 4 คน เดี๋ยวนี้!! เป็นที่มาของการปรับความเข้าใจครั้งที่ 2 ที่มีสะใภ้อยู่ด้วย แต่คราวนี้ ทั้งแฟนผมและน้องสะใภ้เองก็แรงใส่กันทั้งคู่ ยังดีที่ผมกับน้องชายจะคอยเป็นล่าม ไทย ญี่ปุ่น ให้กันจึงทำให้การปะทะกันก็ยังต้องผ่านล่าม แต่ประเด็นที่แฟนผมชี้ก็คือการแสดงท่าทีที่น้องสะใภ้ไม่ควรทำกับพี่ใหญ่ ส่วนน้องสะใภ้ก็ชี้ประเด็นไปที่น้องชายผม มีสิทธิ์เลือกอะไรน้อยกว่าผมโดนมองเป็นตัวรองตลอดจึง ตัวเองจึงเป็นปากเสียงให้น้องชาย เราคุยกัน 4 ชม. จนรู้สึกว่าคุยกันไปก็ไม่จบ เราจึงตัดบทสนทนาโดยจากที่จะมา follow up สิ่งที่ได้พูดคุยให้ปรับเปลี่ยนในอีกสัปดาห์ถัดไป
Follow up ครั้งถัดมา เราก็ยังคุยกันเรื่องเดิมก็คือเรื่องที่น้องสะใภ้แสดงกิริยากับผม โดยครั้งนี้แฟนผมก็ได้พูดในลักษณะว่า กิริยาปัจจุบันนั้นมันเหมือนกับกิริยาที่พี่สาวแสดงกับน้องชาย และก็มีการพูดเรื่องการช่วยกันเตรียมกับข้าวตอนเช้า
เพราะถ้าไม่ช่วยกันและแม่ต้องมาคอยทำให้มันก็จะไม่ช่วยแบ่งเบาอะไร โดยเราก็ตกลงกันว่าจะมา Follow up ในอีกครั้งถัดไป
Follow up ครั้งสุดท้าย ครั้งนี้แฟนผมเริ่มสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของน้องสะใภ้ที่กลับมาอีกในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหนำซ้ำแย่ลงกว่าเดิมซะอีก ครั้งนี้ผมจึงเป็นคนพูดเองและพยายามพูดให้ตรงแต่ไม่ให้เกิดการปะทะกัน โดยผมพูดว่า น้องสะใภ้เองไม่มีสิทธิ์แสดงท่าทีไม่พอใจผมในบ้านนี้ เพราะมันคือบ้านผม!! แต่คำตอบของเค้าคือ มันคือบ้านเธอหรอ?? ครั้งนี้ผมเลือดขึ้นหน้าและพูดกับน้องชายว่าปล่อยให้แฟนพูดอย่างนี้กับกูได้ไงวะ ที่นี้คือบ้านพวกเรานะเว้ย คำตอบจากน้องชายผมคือบ้านหลังนี้เราไม่ได้ซื้อเอง เราอาศัยพ่อแม่อยู่ คราวนี้ผมช็อคหนักกว่าเดิมอีกว่าทำไมน้องชายผมถึงคิดแบบนี้ และปล่อยให้คนนอกเข้ามามีอิทธิพลในบ้านที่เราเคยอยู่กันมา 5 คน พ่อแม่ลูก
“บ้าน”ในความหมายของผมมันไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็ยสิ่งที่เราซื้อเอง แต่เป็นสถานที่ที่เป็น ที่ของเรา ที่ของเราจริงๆ โดยตามโครงสร้าง พ่อ แม่ พี่โต น้องกลาง น้องเล็ก ที่ควรจะเป็น ตอนนี้มันเหมือนให้คนอื่นเข้ามาสร้างความทุกข์ภายในครอบครัว ต่อให้เราจะแต่งงานกันแล้วเราก็ยังเป็นลูกพ่อแม่ ถ้าลูกไม่คิดว่าที่นี่คือบ้าน พ่อแม่จะเสียใจแค่ไหน ผมไม่ได้จะอยู่บ้านหลังนี้ไปตลอดต่อให้ผมมีบ้านเป็นของตัวเองแล้วก็เหอะ บ้านพีอแม่มันก็เป็นบ้านที่ผมกับน้องเคยอาศัยและโตมาด้วยกันอยู่ดี ผมไม่รู้จริงๆว่าน้องผมที่คิดอย่างนี้เพราะอิทธิพลจากน้องสะใภ้หรือเปล่า
แต่ที่แน่ๆ คือ ผมกับแฟนเรายอมแพ้และคิดว่าคงไม่สามารถแก้ความสัมพันธ์แบบนี้ได้ ถึงผมกับน้องชายจะไม่ได้ทะเลาะกันก็เหอะ แต่บ้านไหนสะใภ้รักกันดียิ่งกว่าถูกหวยซะอีก
ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าปัญหานี้มันเกิดจากตัวเองหรือเปล่า แต่ถ้าจะให็ผมที่เกิดและโตที่บ้านหลังนี้ ครอบครัวนี้ต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อน้องสะใภ้ผมทำไม่ได้จริงๆ แต่ถ้าผมต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้น่าเคารพผมก็จะทำนะ แต่ตอนนี้ดูยังไงก็ไม่น่าจะช่วยอะไรได้แล้ว
แฟนผมเองก็อยากจะดีกับน้องสะใภ้แต่ผมเองก็ไม่เข้าใจความจุกจิก คิดเล็กคิดน้อยของแฟนผมหรอก น้องสะใภ้เป็นคนพูดเองด้วยซ้ำว่าแฟนผมเป็นแบบนี้ แต่การจุดจิกของแฟนผม ผมมองไม่เห็นข้อเสียเลยสักเรื่อง
สุดท้ายอยากจะฝากไว้คือ ผมเคยคุยกับน้องชายก่อนแต่งงานว่า เราจะแต่งงานกับคู่ครองที่จะไม่ทำให้ความรักระหว่างพี่น้องเปลี่ยนแปลง โอเคตอนนี้ผมกับน้องชายไม่ได้มีปัญหากันก็จริงแต่ ผมไม่แน่ใจจริงๆ ว่าหลังจากนี้มันจะเป็นยังไง
“เลือกคู่ครองที่รักเราและครอบครัวเราด้วย”