เรื่อง ผมกับเขาเรากับนาย
บทโดย ฐิติพงศ์

มือสัมผัสนุ่มๆที่เขาจับ เขาสวมกอดเบาๆเป็นการอำลาที่แสนทรมาน ไม่อยากเลย ไม่อยากที่จะไปไกลแสนไกล เขากลัวเหลือเกินว่าการกอดครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตที่เขาจะเจอกับพีมอีกครั้ง พีมก็เช่นกันเขามีความรู้สึกประหลาดเมื่อเพื่อนชายสวมกอดเขา นัทไม่อยากออกจากอ้อมกอดพีมเลย มันเป็นอ้อมกอดที่นัทรอมานานแสนนาน แต่วันนี้นัทกับพีมต้องลาจากกัน นัทกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา แต่นัทก็ปล่อยให้มันไหลออกมาจนได้ พีมได้แต่ปลอบเขาเอามือลูบหลังเบาๆ เขาไม่เคยรู้เลยว่าคนที่เขาเป็นห่วงโดยไม่รู้ตัวคือใคร? นัท ใช่สิ พีมเป็นผู้ชายจริงๆเขาจะมาห่วงทำไม แต่เป็นไปแล้ว พีมเป็นห่วงนัท เขาปรารถนาที่จะปลอบให้เพื่อนหายจากการร้องไห้แต่ดูเหมือนว่ายิ่งปลอบนัทก็ยิ่งร้องไห้ออกมามากกว่าเดิม อาการเหมือนเด็กงอแงอยากได้ของเล่น
“จะร้องไห้อีกนานไหมไอ้นัท” พีมมองหน้าหลังจากออกจากอ้อมกอด เอามือเช็ดน้ำตาให้เพื่อนอย่างไม่อายคนรอบข้าง เขาเองมองหน้า ใบหน้าของนัดจะว่าไปก็คล้ายผู้หญิงอยู่เหมือนกัน หากนัทสวมวิกแล้วละก็เป๊ะมาก จมูกสันคม ดวงตากลม ใบหน้าขาวไร้ริ้วรอยที่เกาะบนหน้า ขนคิ้วดกเป็นคิ้วชิงจังจอมแก่น ผิวสะอาดสะอ้านหน้ามอง แลเห็นว่าเขาสวยมากกว่าหล่อ
“ก็จะไปแล้ว ไม่อยากจากเลย” นัทบอกน้ำเสียงที่พูดยังสะอื้นร่ำไห้ออกมา พีมแกล้งหัวเราะเบาๆเอามือตบบ่าแบบคนคุ้นเคย
“ตัวไปเรียน ไม่ได้ไปตายซะหน่อยพูดจาไม่ดีเลยนัท” พีมยิ้มเห็นฟันขาวสะอาด
“ก็ใครบอกว่าอยากไปเล่า”
“ดีแล้วเราจบเรายังอยากไปต่างประเทศเลย บ้านแม่นัทเขาพอมีทางส่งก็ดีอยู่แล้วนี่ตัวจะมากเรื่องทำไม”
“ไปแล้วไม่รู้จะเรียนไหวไหม แม่น่ะชอบบังคับเขาตลอด ไม่เห็นให้แนนไปบ้าง”
“คิดมากน่า”
“เขาอยากไปมากละซิ ไม่งั้นไม่ร้องไห้หรอก แม่นะบังคับตลอดจนชีวิตเขาจะเป็นหุ่นยนต์” นัทงอแงตาแดงดูหน้าตาน่ารักไปอีกแบบ
“มากเรื่อง ผู้ชายอะไรว่ะ ตัวร้องไห้แงอย่างกับผู้หญิง” พีมโวยใส่เมื่อเขาเห็นหน้าตาของนัทแปลเปลี่ยนเป็นคนงอแงเหมือนเด็ก นัทมองหน้าเพื่อนตีแขนเบาๆ
“พูดมาก อีกตั้งหลายปีกว่าเขาจะกลับมาเพื่อนๆคงลืมเขาหมดแล้ว” นัทบอกพีมเหมือนตนเองจะไม่กลับมา ทำแสร้งร้องไห้ดวงตาแดงทำให้ชายหนุ่มมองหน้า ใบหน้าของนัทหวานกว่าผู้หญิงเสียอีก แต่พีมก็ทำหน้าทะเล้นใส่เพื่อให้บรรยากาศเปลี่ยนไปเป็นคอมเมดี้มากกว่าที่จะต้องมานั่งดราม่าใส่กัน เขาเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ขนาดใบหน้าที่แกล้งทำทะเล้นทะลึ่งใส่ก็ยังน่ามอง นัทจึงรักเพื่อนคนนี้มากกว่าเพื่อนคนไหนในกลุ่มอีก
..........................................................................................................................................................
รูปเก่าที่เขาเก็บมานานถูกรื้อค้นขึ้นมาจากลังเก่าๆมันมีฝุ่นหนาเตอะจับกันเป็นก้อนหนาราวกับก้อนทิชชู รูปต่างๆที่เขาสะสมมานานตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลายของโรงเรียนชายล้วน เขามองมันแล้วอมยิ้ม ภาพที่เมื่อหลายปีก่อนก่อนที่เขาจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ทุกคนในภาพจะมีชีวิตอย่างไรหนอ เขาอยากรู้เหลือเกินว่าแต่ละคนจะเป็นอย่างไร แล้วคนที่เขาปรารถนาที่จะพบจะยังจำเขาได้ไหม คนที่เขารักมาตลอดเวลากว่าสิบปี
รถหนาแน่นบนท้องถนน ผู้คนแออัดยัดเยียดกันไปมาบนทางเท้าแลเห็นภาพคนเดินไปมาชุลมุนวุ่นวายแม่ค้าหาบเร่หรือคนขายส้มตำรถเข็นยังคงมีให้เห็นบนท้องถนนและทางเดินเท้าของสังคม เมื่องไทยนี่อะไรๆก็ไม่เปลี่ยนเลยขนาดไม่มาตั้งนาน เขามองรอดผ่านกระจกติดฟิล์มหนาออกไป สวมแว่นดำขนาดพอใบหน้าที่ขาวสะอาดราวเม็ดนุ่น ดวงตาเรียวสวยงาม ปากนิดจมูกหน่อย มองดีดีเหมือนผู้หญิงออกทอมบอยแต่เปล่าเลย นัทคือผู้ชายที่มีใบหน้าสวย
แม่เขาสอนมาตลอดเรื่องการดูแลตัวเอง นัทมักจะมองตัวเองแล้วก็ส่องกระจกมองดูสภาพตัวเอง เขากลัวว่าการที่จะนอนดึก การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือแม้แต่การเที่ยวผู้หญิงการมีเพศสัมพันธ์เขากลัวว่าเขาจะแก่เหี่ยว หย่อน ยานแล้วก็ชราภาพ เขากลัวจนไม่กล้าที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าทำให้มันแก่เร็ว กาแฟก็เช่นกันเพราะมันทำให้หน้าใสๆอาจมีรอยตีนกาได้ ทำให้ตัวเขาเองดูดีตลอดแม้กระทั้งตอนนี้ที่อายุก็เกือบสามสิบแต่เขายังดูหนุ่มแล้วก็หล่อเหลาเอาการเลยทีเดียว
จุดหมายปลายทางที่เขาจะไปเป็นที่ไหนหนอเขาขับรถวนไปมาหลายรอบติดขัดๆก็ตรงซอยที่จะไป มันเหมือนกับคับคล้ายว่าจะใช่ก็ไม่เชิง เขาจึงวนไปมาอยู่สองสามรอบได้ จนนึกได้ว่าทางที่จะไปปากซอยมีร้านขายก๋วยเตี๋ยวเจ้าเก่าที่เขากับเพื่อนๆไปกินร่วมกันบ่อย แต่ขับไปไม่ยักกะเจอมันอยู่ตรงไหนหนอ หรือว่ามันจะย้ายไปแล้ว ก็คงใช่ เขาไม่ได้กลับมาเมืองไทยเป็นเกือบสิบปีแล้ว ภาพลางๆมันทำให้เขาคิดอะไรบางอย่างเมื่อรถมาจอดที่ลานดิน เขามองไปที่ตึกแถวเก่าๆนั้นอย่างเหม่อลอยออกไป ภาพครั้งเก่าหลุดเข้ามาในมโนภาพของนัท ตึกนั้นพวกเขาเคยแอบไปวิ่งเล่น เล่นซ่อนแอบกันในตึก มันยังไม่ถูกรื้อไปอีกหรือ ทั้งๆที่สภาพก็โกโรโกโสเต็มที เสียงไอโฟนดังขึ้นทำให้มโนภาพหลุดออกไป เขามองไปทีไอโฟนที่หน้าจอมีสายเรียกเข้า เสียงเจื้อยแจ้วผ่านมาตามสายเป็นเสียงของเต้ย สาวปากจัดเพื่อนสมัยเรียนที่ถึงแม้เต้ยจะเป็นเพื่อนต่างสถาบันแต่ก็สนิทแน่นแฟ้นกันมากทีเดียว
“ฮัลโหลว่าไงเต้ย” นัทกรอกสายตาไปมา
“ได้การ์ดเชิญหรือยังแก” ปลายสายพูดกรอกมา
“งานแต่งงานบวชใครอีกละ”
“ไอ้พีมไง พีมหน้าตี๋หล่อๆที่หล่อนเคยอยากแอ้วไงจ๊ะ” เหมือนคำพูดหลุดลอยไปกลางอากาศนัทเหมือนโดนสะกดจิต พีม พีมเพื่อนรักกำลังจะแต่งงานงั้นหรือ เหมือนโลกทั้งโลกกำลังจะดับวูบลงไป มือของนัทกำแน่น ความรู้สึกต่างๆพัวพันเข้ามาภายในจิตใจ ภาพเก่าๆเมื่อสิบปีก่อนแทรกเข้ามาในความรู้สึกของเขา
เขาขับรถช้าๆผ่านเข้ามายังบริเวณบ้าน จำไม่ได้ว่าขับกลับมาในบ้านได้อย่างไร มารดาของเขาคงขึ้นนอนไปแล้ว เหลือก็แต่คนงานที่ลงมาเปิดประตูให้กับเขา เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นไม่ขึ้นชื่อ เป็นเบอร์แปลกที่โทรเข้ามาหาเขา ปลายสายเป็นใครกัน?
“นัท” เสียงคุ้นหูดังแว่วขึ้นจากปลายสาย นัทขนลุกซู่ตัวไปทั้งตัว เขาจำเสียงของฝ่ายตรงข้ามได้ดี คุ้นหู แม้จะห่างหายล้างลากันไปสิบปีที่ผ่านมา
“เรามาช้าเลยไม่ได้เจอนัทเลย” ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยขึ้น แม้ความรู้สึกที่ห่างเหินกำลังจะกลับมาอีกครั้งก็ตาม นัทเหมือนโดนสาปเขาแน่นิ่งจำคำพูดไม่ได้หรอกเพราะมัวแต่ครุ่นคิด
“ไม่เป็นไรหรอก เรากลับมาไทยแล้วก็คงได้เจอเรื่อยๆ” นัทมิได้ยินดียินร้ายอะไรกับเขาเสียเท่าใดนัก ก็ที่ไม่ได้เจอเพราะเขามาช้าทำให้อดเจอ แม้จะน้อยใจบ้างก็ตามน้ำเสียงขุ่นมัวนั้นปลายสายรู้ดี คนเคยสนิทกันยังไงก็ย่อมรู้ดีว่าเป็นอะไร
“แอบน้อยใจอีกแล้วตัวก็เป็นเสียอย่างนี้” พีมบอก รู้ว่าคนปลายสายที่เขาโทรหาแอบน้อยใจ
“เปล่าซะหน่อย เราจะน้อยใจพีมทำไม”
“ตัวก็รู้ว่าเรารู้นิสัยตัวดี” พีมไม่อยากให้ความรู้สึกของชายหนุ่มห่างเหินเลย พีมพยายามเรียกคนสนิทเหมือนเดิม แทนตัวเขาว่าเรา แทนตัวผู้ฟังว่าตัว หลายคนเคยแอบแซวว่า นี้หากไม่ได้เป็นผู้ชายก็คงนึกว่านัทเป็นผู้หญิงเสียแล้ว นัทยืนนิ่งพูดคุยกับปลายสายคนเคยสนิทอยู่นานเท่าใดก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าหลังจากวางสายลงไปจิตใจจากห่อเหี่ยวก็กระชุ่มกระชวยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
แสงจันทร์ลอยอยู่บนนภา วันนี้ท้องฟ้าแจ่มชัดแสงจันทร์กลบดวงดาวไปหมดสิ้น นัทเหม่อมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ตัวของเขาเองแลเห็นเงาของใครคนหนึ่งอยู่บนดวงจันทร์ ใบหน้ายิ้มละไมของเขา แม้กาลเวลาจะพัดผ่านไปนานเท่าใดแต่ในความรู้สึกของเขาก็ไม่เคยแปลเปลี่ยนไปตามกาลเวลา นัทสวมกอดพีมเมื่อครั้งก่อนลาจากกันนั้นเป็นวันที่เหมือนโลกของวัยรุ่นตอนนั้นดับวูบลงไป เขาไม่เคยได้บอกความรู้สึกต่างๆที่มีให้กับพีมเลยและตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าพีมมีความรู้สึกเช่นใดกับเขาเช่นกัน ตลอดระยะเวลาในโรงเรียนและการพลัดพรากจากกันสิบปี หัวใจของเขามิได้แปลผันไปจากหัวใจดวงเดิมเลยแม้แต่น้อย
“ดูอีนัทมันดูเหงาๆยังไงไม่รู้นะ” เต้ยพูดขึ้นเมื่อนัดกันมาร่วมรุ่นกันแบบเฉพาะกิจ
“ก็ตั้งแต่ไปบอกว่าไอ้คุณพีมจะแต่งเมีย” ทิมชายหนุ่มที่ท่าทางกระเดียดไปทางผู้หญิงเอ่ยขึ้น เมื่อหันมองมาทางนัท
“ก็พูดไป เบาๆซี่เดี๋ยวใครมาได้ยิน” เต้ยตีแขนทิมเบาๆ
“อีนัทไม่สนุกสนานเฮฮาก็ทำตัวให้มีความสุขซักนิดเถอะนะ” ทิมพูดข้างหูนัทเบาๆ
“เปล่า...กูไม่ได้เป็นอะไร”
“อย่า

ไปหน่อยเล้ย” ทิมเสียงสูง ยกแก้วเหล้าในมือกระดก
“กับกูรู้จักกันมารวมยี่สิบปีตั้งแต่เรียนประถมทำไมกูจะไม่รู้จักนิสัยใจคอเล่าอีนัท จะอกหัก ฟันหลุด กูก็รู้หมดนั่นแหละ” ทิมนั่งลงข้างๆ เต้ยหายไปเต้นระบำกลางฟอร์แล้ว สองคนหันมามองหน้ากัน
ทิมเป็นเพื่อนที่รู้ใจของนัท ตลอดระยะเวลาที่นัทไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศและทำงานในช่วงระยะเวลานั้น ชายหนุ่มก็ยังติดต่อสื่อสารกันเรื่อยมา ทำให้ทิมพอจะเข้าในความรู้สึกของนัท ทิมก็ไม่แตกต่างอะไรกับนัทเท่าใดนัก จะดีก็ตรงที่สามารถเปิดเผยตัวตนแม้บิดามารดาจะคอยห้ามปรามบ้างไม่ให้ประเจิดประเจ้อเกินงาม ใบหน้าคมคายของทิมมักถูกอกถูกใจหญิงสาวหลายๆคน หนวดเคราที่มีปกคลุมทำให้เขาดูมาดแมน ทิมทั้งสูง ขาว แม้จะออกไปทางคมเข้มแต่ก็จัดว่าหล่อเหลาเอาการที่เดียว
ดึกเท่าไหร่แล้วที่ตัวเขารู้สึกหมอบลงไปที่โต๊ะนั่ง อาการเหม่อลอยสะลึมสะลือเหมือนจะไม่ได้สติเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป แม้จะพยายามยับยั้งชั่งใจให้ถึงที่สุดแล้วก็ตามที ปกติเขาจะเป็นคนไม่ยอมดื่มแต่มาคราวนี้ผีห่าซาตานตรงใดดลจิตดลใจให้ขาหยิบมันขึ้นมาดื่มก็ไม่รู้ เขารู้สึกตัวอีกหนก็คราวมีมือใครมาสัมผัสมันบางเบา เนื้อตัวขาวสะอาดของเขากลับแดงกล่ำคล้ายตำลึงสุก ดื่มไปตั้งมากเขารู้ตัวดีว่าวันนี้ดื่มไปมากเหลือเกิน ฤทธิ์สุราออกอาการเขาก็ฟุบหลังลงไปเป็นนานสองนาน
“ตัวดื่มไปตั้งมากรู้มั้ย” เสียงคุ้นหูดังแว่ว
“ใครน่ะ” นัทพยายามมองว่าใคร
เขาจับแขน แต่คนเมาพยายามสะบัดเมื่อเห็นลางๆว่าเป็นใคร
“สนใจเขาด้วยหรือไง” เสียงนั้นดูสะบัดใส่แบบไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก
“ไม่สนจะมารับหรือไง กลับบ้านได้แล้ว” เขาแกมบังคับ
“ไม่ใช่เด็กจะมาสั่งได้ยังไงกันฮะ” นัทงอแงอาการแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยนนิสัยอย่างไงก็อย่างนั้น เมื่อเขาจับแขนนัทก็ทำทีปัดป้อง พีมรู้ดีว่านัทงอแงเหมือนเด็กไม่ได้ของเล่น “เรากลับเองได้น่า” นัทพยายามลุกออกจากที่นั่ง แม้จะเดินสะเปะสะปะก็ตาม แต่ผู้ชายตรงหน้าไม่ได้ให้คนเมาตามใจตนเอง เขาจับแขนของนัทเอาไว้แม้จะรู้ว่านัทงอแง ฤทธิ์สุราทำให้คนเปลี่ยนไปจริงๆ
เขาแบกร่างนัทออกมาจากร้านอาการกึ่งผับแห่งนั้นในเวลาตีหนึ่งกว่า นัทไม่ได้สติอะไรเลยตอนแรกก็ไม่ยอมออกมาทำท่าจะลุกเองกลับเองท่าเดียว ร่างของนัทถูกแบกขึ้นเอาไว้บนหลังของเขา นัทรูปร่างบอบบางใบหน้าองเขาหวานละมุน เมื่อหลับพีมแอบมองใบหน้าของนัท ตอนเด็กๆเขาจำได้วาตอนเข้าค่ายพักแรมเขาต้องนอนคู่กับนัท เจ้านัทเวลาปวดท้องกลางดึกจะต้องปลุกเขาไปเป็นเพื่อนเพราะไม่มีคนไปด้วย วันนั้นเขาจำได้ดีว่าหลังจากเข้าห้องน้ำนัทเกิดเดินไปโดนกับดักสัตว์เท้าเข้าไปติดกว่าจะช่วยกันเอาออกมาได้ใช้เวลาอยู่ตั้งนานสองนานและเขาก็ต้องแบกนัทขึ้นหลังพากับที่พัก คงไม่ต้องบอกว่าเรื่องร่าวจะเป็นอะไรหลังจากนั้นเพราะบรรดาครูอาจารย์ต่างก็วุ่นวายกันยกใหญ่
เขาขับรถยนต์มาด้วยความเร็วปกติ นัทหลับไม่ได้สติอยู่เบาะข้างคนขับ เขาเอนเบาะลงด้านหลังเพื่อปรับให้เหมาะกับท่านอน นาฬิกาบอกเวลาดึกเท่าใดแล้ว เขาไม่ได้ไปส่งนัทกลับบ้านเกรงจะเกิดปัญหานัทไม่เคยดื่มจนเมามายขนาดนี้
เรื่องสั้น 3 ตอนจบ(ชายกับชาย) เรื่อง "ผมกับเขา เรากับนาย"
บทโดย ฐิติพงศ์
มือสัมผัสนุ่มๆที่เขาจับ เขาสวมกอดเบาๆเป็นการอำลาที่แสนทรมาน ไม่อยากเลย ไม่อยากที่จะไปไกลแสนไกล เขากลัวเหลือเกินว่าการกอดครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตที่เขาจะเจอกับพีมอีกครั้ง พีมก็เช่นกันเขามีความรู้สึกประหลาดเมื่อเพื่อนชายสวมกอดเขา นัทไม่อยากออกจากอ้อมกอดพีมเลย มันเป็นอ้อมกอดที่นัทรอมานานแสนนาน แต่วันนี้นัทกับพีมต้องลาจากกัน นัทกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา แต่นัทก็ปล่อยให้มันไหลออกมาจนได้ พีมได้แต่ปลอบเขาเอามือลูบหลังเบาๆ เขาไม่เคยรู้เลยว่าคนที่เขาเป็นห่วงโดยไม่รู้ตัวคือใคร? นัท ใช่สิ พีมเป็นผู้ชายจริงๆเขาจะมาห่วงทำไม แต่เป็นไปแล้ว พีมเป็นห่วงนัท เขาปรารถนาที่จะปลอบให้เพื่อนหายจากการร้องไห้แต่ดูเหมือนว่ายิ่งปลอบนัทก็ยิ่งร้องไห้ออกมามากกว่าเดิม อาการเหมือนเด็กงอแงอยากได้ของเล่น
“จะร้องไห้อีกนานไหมไอ้นัท” พีมมองหน้าหลังจากออกจากอ้อมกอด เอามือเช็ดน้ำตาให้เพื่อนอย่างไม่อายคนรอบข้าง เขาเองมองหน้า ใบหน้าของนัดจะว่าไปก็คล้ายผู้หญิงอยู่เหมือนกัน หากนัทสวมวิกแล้วละก็เป๊ะมาก จมูกสันคม ดวงตากลม ใบหน้าขาวไร้ริ้วรอยที่เกาะบนหน้า ขนคิ้วดกเป็นคิ้วชิงจังจอมแก่น ผิวสะอาดสะอ้านหน้ามอง แลเห็นว่าเขาสวยมากกว่าหล่อ
“ก็จะไปแล้ว ไม่อยากจากเลย” นัทบอกน้ำเสียงที่พูดยังสะอื้นร่ำไห้ออกมา พีมแกล้งหัวเราะเบาๆเอามือตบบ่าแบบคนคุ้นเคย
“ตัวไปเรียน ไม่ได้ไปตายซะหน่อยพูดจาไม่ดีเลยนัท” พีมยิ้มเห็นฟันขาวสะอาด
“ก็ใครบอกว่าอยากไปเล่า”
“ดีแล้วเราจบเรายังอยากไปต่างประเทศเลย บ้านแม่นัทเขาพอมีทางส่งก็ดีอยู่แล้วนี่ตัวจะมากเรื่องทำไม”
“ไปแล้วไม่รู้จะเรียนไหวไหม แม่น่ะชอบบังคับเขาตลอด ไม่เห็นให้แนนไปบ้าง”
“คิดมากน่า”
“เขาอยากไปมากละซิ ไม่งั้นไม่ร้องไห้หรอก แม่นะบังคับตลอดจนชีวิตเขาจะเป็นหุ่นยนต์” นัทงอแงตาแดงดูหน้าตาน่ารักไปอีกแบบ
“มากเรื่อง ผู้ชายอะไรว่ะ ตัวร้องไห้แงอย่างกับผู้หญิง” พีมโวยใส่เมื่อเขาเห็นหน้าตาของนัทแปลเปลี่ยนเป็นคนงอแงเหมือนเด็ก นัทมองหน้าเพื่อนตีแขนเบาๆ
“พูดมาก อีกตั้งหลายปีกว่าเขาจะกลับมาเพื่อนๆคงลืมเขาหมดแล้ว” นัทบอกพีมเหมือนตนเองจะไม่กลับมา ทำแสร้งร้องไห้ดวงตาแดงทำให้ชายหนุ่มมองหน้า ใบหน้าของนัทหวานกว่าผู้หญิงเสียอีก แต่พีมก็ทำหน้าทะเล้นใส่เพื่อให้บรรยากาศเปลี่ยนไปเป็นคอมเมดี้มากกว่าที่จะต้องมานั่งดราม่าใส่กัน เขาเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ขนาดใบหน้าที่แกล้งทำทะเล้นทะลึ่งใส่ก็ยังน่ามอง นัทจึงรักเพื่อนคนนี้มากกว่าเพื่อนคนไหนในกลุ่มอีก
..........................................................................................................................................................
รูปเก่าที่เขาเก็บมานานถูกรื้อค้นขึ้นมาจากลังเก่าๆมันมีฝุ่นหนาเตอะจับกันเป็นก้อนหนาราวกับก้อนทิชชู รูปต่างๆที่เขาสะสมมานานตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลายของโรงเรียนชายล้วน เขามองมันแล้วอมยิ้ม ภาพที่เมื่อหลายปีก่อนก่อนที่เขาจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ทุกคนในภาพจะมีชีวิตอย่างไรหนอ เขาอยากรู้เหลือเกินว่าแต่ละคนจะเป็นอย่างไร แล้วคนที่เขาปรารถนาที่จะพบจะยังจำเขาได้ไหม คนที่เขารักมาตลอดเวลากว่าสิบปี
รถหนาแน่นบนท้องถนน ผู้คนแออัดยัดเยียดกันไปมาบนทางเท้าแลเห็นภาพคนเดินไปมาชุลมุนวุ่นวายแม่ค้าหาบเร่หรือคนขายส้มตำรถเข็นยังคงมีให้เห็นบนท้องถนนและทางเดินเท้าของสังคม เมื่องไทยนี่อะไรๆก็ไม่เปลี่ยนเลยขนาดไม่มาตั้งนาน เขามองรอดผ่านกระจกติดฟิล์มหนาออกไป สวมแว่นดำขนาดพอใบหน้าที่ขาวสะอาดราวเม็ดนุ่น ดวงตาเรียวสวยงาม ปากนิดจมูกหน่อย มองดีดีเหมือนผู้หญิงออกทอมบอยแต่เปล่าเลย นัทคือผู้ชายที่มีใบหน้าสวย
แม่เขาสอนมาตลอดเรื่องการดูแลตัวเอง นัทมักจะมองตัวเองแล้วก็ส่องกระจกมองดูสภาพตัวเอง เขากลัวว่าการที่จะนอนดึก การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือแม้แต่การเที่ยวผู้หญิงการมีเพศสัมพันธ์เขากลัวว่าเขาจะแก่เหี่ยว หย่อน ยานแล้วก็ชราภาพ เขากลัวจนไม่กล้าที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าทำให้มันแก่เร็ว กาแฟก็เช่นกันเพราะมันทำให้หน้าใสๆอาจมีรอยตีนกาได้ ทำให้ตัวเขาเองดูดีตลอดแม้กระทั้งตอนนี้ที่อายุก็เกือบสามสิบแต่เขายังดูหนุ่มแล้วก็หล่อเหลาเอาการเลยทีเดียว
จุดหมายปลายทางที่เขาจะไปเป็นที่ไหนหนอเขาขับรถวนไปมาหลายรอบติดขัดๆก็ตรงซอยที่จะไป มันเหมือนกับคับคล้ายว่าจะใช่ก็ไม่เชิง เขาจึงวนไปมาอยู่สองสามรอบได้ จนนึกได้ว่าทางที่จะไปปากซอยมีร้านขายก๋วยเตี๋ยวเจ้าเก่าที่เขากับเพื่อนๆไปกินร่วมกันบ่อย แต่ขับไปไม่ยักกะเจอมันอยู่ตรงไหนหนอ หรือว่ามันจะย้ายไปแล้ว ก็คงใช่ เขาไม่ได้กลับมาเมืองไทยเป็นเกือบสิบปีแล้ว ภาพลางๆมันทำให้เขาคิดอะไรบางอย่างเมื่อรถมาจอดที่ลานดิน เขามองไปที่ตึกแถวเก่าๆนั้นอย่างเหม่อลอยออกไป ภาพครั้งเก่าหลุดเข้ามาในมโนภาพของนัท ตึกนั้นพวกเขาเคยแอบไปวิ่งเล่น เล่นซ่อนแอบกันในตึก มันยังไม่ถูกรื้อไปอีกหรือ ทั้งๆที่สภาพก็โกโรโกโสเต็มที เสียงไอโฟนดังขึ้นทำให้มโนภาพหลุดออกไป เขามองไปทีไอโฟนที่หน้าจอมีสายเรียกเข้า เสียงเจื้อยแจ้วผ่านมาตามสายเป็นเสียงของเต้ย สาวปากจัดเพื่อนสมัยเรียนที่ถึงแม้เต้ยจะเป็นเพื่อนต่างสถาบันแต่ก็สนิทแน่นแฟ้นกันมากทีเดียว
“ฮัลโหลว่าไงเต้ย” นัทกรอกสายตาไปมา
“ได้การ์ดเชิญหรือยังแก” ปลายสายพูดกรอกมา
“งานแต่งงานบวชใครอีกละ”
“ไอ้พีมไง พีมหน้าตี๋หล่อๆที่หล่อนเคยอยากแอ้วไงจ๊ะ” เหมือนคำพูดหลุดลอยไปกลางอากาศนัทเหมือนโดนสะกดจิต พีม พีมเพื่อนรักกำลังจะแต่งงานงั้นหรือ เหมือนโลกทั้งโลกกำลังจะดับวูบลงไป มือของนัทกำแน่น ความรู้สึกต่างๆพัวพันเข้ามาภายในจิตใจ ภาพเก่าๆเมื่อสิบปีก่อนแทรกเข้ามาในความรู้สึกของเขา
เขาขับรถช้าๆผ่านเข้ามายังบริเวณบ้าน จำไม่ได้ว่าขับกลับมาในบ้านได้อย่างไร มารดาของเขาคงขึ้นนอนไปแล้ว เหลือก็แต่คนงานที่ลงมาเปิดประตูให้กับเขา เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นไม่ขึ้นชื่อ เป็นเบอร์แปลกที่โทรเข้ามาหาเขา ปลายสายเป็นใครกัน?
“นัท” เสียงคุ้นหูดังแว่วขึ้นจากปลายสาย นัทขนลุกซู่ตัวไปทั้งตัว เขาจำเสียงของฝ่ายตรงข้ามได้ดี คุ้นหู แม้จะห่างหายล้างลากันไปสิบปีที่ผ่านมา
“เรามาช้าเลยไม่ได้เจอนัทเลย” ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยขึ้น แม้ความรู้สึกที่ห่างเหินกำลังจะกลับมาอีกครั้งก็ตาม นัทเหมือนโดนสาปเขาแน่นิ่งจำคำพูดไม่ได้หรอกเพราะมัวแต่ครุ่นคิด
“ไม่เป็นไรหรอก เรากลับมาไทยแล้วก็คงได้เจอเรื่อยๆ” นัทมิได้ยินดียินร้ายอะไรกับเขาเสียเท่าใดนัก ก็ที่ไม่ได้เจอเพราะเขามาช้าทำให้อดเจอ แม้จะน้อยใจบ้างก็ตามน้ำเสียงขุ่นมัวนั้นปลายสายรู้ดี คนเคยสนิทกันยังไงก็ย่อมรู้ดีว่าเป็นอะไร
“แอบน้อยใจอีกแล้วตัวก็เป็นเสียอย่างนี้” พีมบอก รู้ว่าคนปลายสายที่เขาโทรหาแอบน้อยใจ
“เปล่าซะหน่อย เราจะน้อยใจพีมทำไม”
“ตัวก็รู้ว่าเรารู้นิสัยตัวดี” พีมไม่อยากให้ความรู้สึกของชายหนุ่มห่างเหินเลย พีมพยายามเรียกคนสนิทเหมือนเดิม แทนตัวเขาว่าเรา แทนตัวผู้ฟังว่าตัว หลายคนเคยแอบแซวว่า นี้หากไม่ได้เป็นผู้ชายก็คงนึกว่านัทเป็นผู้หญิงเสียแล้ว นัทยืนนิ่งพูดคุยกับปลายสายคนเคยสนิทอยู่นานเท่าใดก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าหลังจากวางสายลงไปจิตใจจากห่อเหี่ยวก็กระชุ่มกระชวยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
แสงจันทร์ลอยอยู่บนนภา วันนี้ท้องฟ้าแจ่มชัดแสงจันทร์กลบดวงดาวไปหมดสิ้น นัทเหม่อมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ตัวของเขาเองแลเห็นเงาของใครคนหนึ่งอยู่บนดวงจันทร์ ใบหน้ายิ้มละไมของเขา แม้กาลเวลาจะพัดผ่านไปนานเท่าใดแต่ในความรู้สึกของเขาก็ไม่เคยแปลเปลี่ยนไปตามกาลเวลา นัทสวมกอดพีมเมื่อครั้งก่อนลาจากกันนั้นเป็นวันที่เหมือนโลกของวัยรุ่นตอนนั้นดับวูบลงไป เขาไม่เคยได้บอกความรู้สึกต่างๆที่มีให้กับพีมเลยและตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าพีมมีความรู้สึกเช่นใดกับเขาเช่นกัน ตลอดระยะเวลาในโรงเรียนและการพลัดพรากจากกันสิบปี หัวใจของเขามิได้แปลผันไปจากหัวใจดวงเดิมเลยแม้แต่น้อย
“ดูอีนัทมันดูเหงาๆยังไงไม่รู้นะ” เต้ยพูดขึ้นเมื่อนัดกันมาร่วมรุ่นกันแบบเฉพาะกิจ
“ก็ตั้งแต่ไปบอกว่าไอ้คุณพีมจะแต่งเมีย” ทิมชายหนุ่มที่ท่าทางกระเดียดไปทางผู้หญิงเอ่ยขึ้น เมื่อหันมองมาทางนัท
“ก็พูดไป เบาๆซี่เดี๋ยวใครมาได้ยิน” เต้ยตีแขนทิมเบาๆ
“อีนัทไม่สนุกสนานเฮฮาก็ทำตัวให้มีความสุขซักนิดเถอะนะ” ทิมพูดข้างหูนัทเบาๆ
“เปล่า...กูไม่ได้เป็นอะไร”
“อย่า
“กับกูรู้จักกันมารวมยี่สิบปีตั้งแต่เรียนประถมทำไมกูจะไม่รู้จักนิสัยใจคอเล่าอีนัท จะอกหัก ฟันหลุด กูก็รู้หมดนั่นแหละ” ทิมนั่งลงข้างๆ เต้ยหายไปเต้นระบำกลางฟอร์แล้ว สองคนหันมามองหน้ากัน
ทิมเป็นเพื่อนที่รู้ใจของนัท ตลอดระยะเวลาที่นัทไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศและทำงานในช่วงระยะเวลานั้น ชายหนุ่มก็ยังติดต่อสื่อสารกันเรื่อยมา ทำให้ทิมพอจะเข้าในความรู้สึกของนัท ทิมก็ไม่แตกต่างอะไรกับนัทเท่าใดนัก จะดีก็ตรงที่สามารถเปิดเผยตัวตนแม้บิดามารดาจะคอยห้ามปรามบ้างไม่ให้ประเจิดประเจ้อเกินงาม ใบหน้าคมคายของทิมมักถูกอกถูกใจหญิงสาวหลายๆคน หนวดเคราที่มีปกคลุมทำให้เขาดูมาดแมน ทิมทั้งสูง ขาว แม้จะออกไปทางคมเข้มแต่ก็จัดว่าหล่อเหลาเอาการที่เดียว
ดึกเท่าไหร่แล้วที่ตัวเขารู้สึกหมอบลงไปที่โต๊ะนั่ง อาการเหม่อลอยสะลึมสะลือเหมือนจะไม่ได้สติเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป แม้จะพยายามยับยั้งชั่งใจให้ถึงที่สุดแล้วก็ตามที ปกติเขาจะเป็นคนไม่ยอมดื่มแต่มาคราวนี้ผีห่าซาตานตรงใดดลจิตดลใจให้ขาหยิบมันขึ้นมาดื่มก็ไม่รู้ เขารู้สึกตัวอีกหนก็คราวมีมือใครมาสัมผัสมันบางเบา เนื้อตัวขาวสะอาดของเขากลับแดงกล่ำคล้ายตำลึงสุก ดื่มไปตั้งมากเขารู้ตัวดีว่าวันนี้ดื่มไปมากเหลือเกิน ฤทธิ์สุราออกอาการเขาก็ฟุบหลังลงไปเป็นนานสองนาน
“ตัวดื่มไปตั้งมากรู้มั้ย” เสียงคุ้นหูดังแว่ว
“ใครน่ะ” นัทพยายามมองว่าใคร
เขาจับแขน แต่คนเมาพยายามสะบัดเมื่อเห็นลางๆว่าเป็นใคร
“สนใจเขาด้วยหรือไง” เสียงนั้นดูสะบัดใส่แบบไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก
“ไม่สนจะมารับหรือไง กลับบ้านได้แล้ว” เขาแกมบังคับ
“ไม่ใช่เด็กจะมาสั่งได้ยังไงกันฮะ” นัทงอแงอาการแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยนนิสัยอย่างไงก็อย่างนั้น เมื่อเขาจับแขนนัทก็ทำทีปัดป้อง พีมรู้ดีว่านัทงอแงเหมือนเด็กไม่ได้ของเล่น “เรากลับเองได้น่า” นัทพยายามลุกออกจากที่นั่ง แม้จะเดินสะเปะสะปะก็ตาม แต่ผู้ชายตรงหน้าไม่ได้ให้คนเมาตามใจตนเอง เขาจับแขนของนัทเอาไว้แม้จะรู้ว่านัทงอแง ฤทธิ์สุราทำให้คนเปลี่ยนไปจริงๆ
เขาแบกร่างนัทออกมาจากร้านอาการกึ่งผับแห่งนั้นในเวลาตีหนึ่งกว่า นัทไม่ได้สติอะไรเลยตอนแรกก็ไม่ยอมออกมาทำท่าจะลุกเองกลับเองท่าเดียว ร่างของนัทถูกแบกขึ้นเอาไว้บนหลังของเขา นัทรูปร่างบอบบางใบหน้าองเขาหวานละมุน เมื่อหลับพีมแอบมองใบหน้าของนัท ตอนเด็กๆเขาจำได้วาตอนเข้าค่ายพักแรมเขาต้องนอนคู่กับนัท เจ้านัทเวลาปวดท้องกลางดึกจะต้องปลุกเขาไปเป็นเพื่อนเพราะไม่มีคนไปด้วย วันนั้นเขาจำได้ดีว่าหลังจากเข้าห้องน้ำนัทเกิดเดินไปโดนกับดักสัตว์เท้าเข้าไปติดกว่าจะช่วยกันเอาออกมาได้ใช้เวลาอยู่ตั้งนานสองนานและเขาก็ต้องแบกนัทขึ้นหลังพากับที่พัก คงไม่ต้องบอกว่าเรื่องร่าวจะเป็นอะไรหลังจากนั้นเพราะบรรดาครูอาจารย์ต่างก็วุ่นวายกันยกใหญ่
เขาขับรถยนต์มาด้วยความเร็วปกติ นัทหลับไม่ได้สติอยู่เบาะข้างคนขับ เขาเอนเบาะลงด้านหลังเพื่อปรับให้เหมาะกับท่านอน นาฬิกาบอกเวลาดึกเท่าใดแล้ว เขาไม่ได้ไปส่งนัทกลับบ้านเกรงจะเกิดปัญหานัทไม่เคยดื่มจนเมามายขนาดนี้