“ผิดกระบวนการณ์ ที่จะเรียกอย่างฝรั่งเขา”

กระทู้คำถาม
ตอบอธิบาย

“ตอบว่า มันเป็นเรื่องของกระบวนการ ของการได้ หากมันไม่มีเรื่องกระบวนการของการได้มา ในซึ่งเรื่องอะไรก็ตาม สิ่งนั้นก็จะไม่ถูกเชื่อ และเป็นเสมือน ไม่มีจริง, เพราะมันขาดกระบวนการ อย่างเรื่องการเมืองในบ้านเรา เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องไม่มี”

“ซึ่งว่าพวกเรา ให้มองอย่างไรแล้ว ก็ไม่มีเรื่องการเมืองอะไร เพียงแต่สรุป เข้าเรื่องมีการศาสนานั้น คงมีจริง และเป็นแต่โดยมากอยู่ เพราะว่า ศาสนาแปลว่าคำสอน แล้วบทคำสอน บางประการนั้น อาจหมายถึง พระประชาธิปก อันหมายถึง บทขององค์พระมนูธรรมศาสตร์ก็ได้, เป็นตามแต่พวกเราจะเห็นว่า เป็นการเมือง เพื่อคนกี่คนเป็นต้นไปบ้าง ก็เป็นตามจำนวน, คือว่า หากมากกว่าปัจเจกแล้ว มากกว่าตนเองไปแล้ว เป็นการเมือง ทุก ๆ ชนิด, ชนิดใดที่คิดว่า จะให้มีขึ้น เป็นขึ้น เป็นนิยามแห่งรัฐาธิปัตย์ลงไปในแถบนี้ของพวกเรา, อันตามแต่ความเป็นจริง แท้จริง จริงแท้แล้ว การย์ของพวกเรา ผิดกระบวนการณ์ ที่จะเรียกอย่างฝรั่งเขา, ให้แลดูอย่างไรก็ผิดทางตำรา อันจะยกมาเทียบกันได้”

“พอดีแต่คนจะวิจัยการเมือง พอแต่คิดผ่านไปทีนั้น ควรพอแค่นั้น เราจึงไม่ต้องคุยกับเขา ซึ่งผิดกระบวนการกันมากอยู่แล้ว แล้วเราก็พบว่า เราไม่เคยได้มีกระบวนอันใด จะให้ได้มา ซึ่งที่จะเรียกว่า politics to discourse อันที่เขาจะพูดกันแบบนั้น คือเราไม่ได้มีการเมืองแบบนั้น นั่นแหละ เราจึงเรียกว่า อยู่กันมาเป็นปรกติ และเพราะกระบวนการที่จะได้มา พวกเราจะต้องสืบกันเอง หากันเอง จึงจะได้พบ วิธีของการปกบ้านคุ้มเมือง อันที่เราเรียกว่า ประชาธิปไตยส่วนรวม, และเพราะว่า คำว่า ประชาธิปไตยของเรา ก็ไม่ได้แปลว่าการเมืองอะไร ๆ เหมือนกันกับเขา”

“พวกเราเห็นแต่วิธีการจะได้เมือง คือได้รัฐทั้งปวงมาไว้ในความดูแล อันดูแลจากใจ อันใดก็มีแต่กระบวนการ อันให้ได้มาก็คือการบวช บวชจากใจ อันเป็นวิธีของอารยะ เป็นธรรม มาแต่โบราณ, คือเมื่อใครบวชแล้วทรงตปะได้ก็จึงจะได้ปกครองรัฐนั้น ๆ ไว้ในความดูแล (ไว้ในตปะ) ว่าตนเป็น ตาปสะ ทรงพรต ทรงความ เพื่อความเป็นไปแก่ชนบท และประเทศนั้น ทุกสิ่ง, แล้วผู้ใด?ทรงตปะครองโลกมาเป็นคนแรก ตอบว่า ตามแต่เรื่องของแถบนี้ ก็คือ พระมนู”

“แต่ว่าเมื่อ ไม่มีการ ลดราวาศอก ในที่นี่ ในปัจจุบัน อ้างว่ารูป ไม่ใช่รูป (อาตม) ว่ารูปเป็น “รูปะ เป็นตัวบท กหาปณะ” อยู่เช่นนั้น, เช่นนั้น เท่านั้น เราก็ย่อมต้องว่าเมือง ไปอย่างเขาบ้างอยู่เหมือนกัน เพราะเราจะเอาโลหะที่ตีขึ้น มาใช้เป็นอาณัติกสัญญาช่วยกันแล้ว ก็เลยต้องตี กระทำตราตอบตามใจเขาไว้ ก็เพื่อจะให้รู้ว่า หากใจเขาไม่ได้ช่วย เราก็จะได้รู้ ว่าเขาถืออวดใหญ่อวดโต ได้มากเพียงนั้นกระทำการมาแล้ว ที่แท้เป็นเพราะเขาไม่มีสัจจะ และหามีดีที่จะทำตามจริง จากใจจริงนั้น อยู่อย่างไร มากเพียงไหนเมื่อไหร่, เมื่อกระทำ แล้วจากนั้น เราก็รู้อยู่แล้วว่า การเมือง ก็การเมืองของเขา อาณัติกสัญญา ก็อาณัติสัญญาของเขา กระบวนการให้ได้มา ให้ได้ดีเด่นแบบนั้น ตามจริงของเราจะได้บ้าง ก็อาจผิดไปทั้งหมดกับเราแต่โบราณมากทุกแห่ง”

“เพราะว่า โบราณเรา นับถือ ถือตนเข้าการให้มี ตปะ นับเป็นกระบวนให้ได้มา ในการที่จะปกบ้านคุ้มเมือง ตามเรื่องตปะ ตามอารยวิธีทางที่ประเสริฐ ตามตปะธรรม นั้นก็คือ พระพุทธเจ้า ตามที่พวกเราทุกสมัย นับถือว่าพระองค์มีตปะดีที่สุด และธรรมะตปะนั้นชนทั้งปวงก็ได้อาราธนาแล้ว นำมาสู่การปกบ้านคุ้มเมือง ต่อเป็นหลักสำคัญอย่างยิ่ง ตั้งแต่ครั้งสมัยสมเด็จพระเจ้าอชาตศัตรู คนเรียกกันว่า “การบ้านการเมือง” ซึ่งการเมืองจะให้ได้มา ก็คือ การที่คนจะต้องบวชเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าพระพุทธะคนใดไม่บวช ก็ไม่ให้เรียกว่า เป็นคนดำเนินเข้าสู่วิถีของการปกครอง, และเพราะว่าการราษฎรแผ่นดินทั้งนั้น แรกเริ่มเดิมที เรายอมรับการเริ่มต้นมาจาก กระบวนการของ กบิลพัสดุ์นคร ซึ่งเป็นเจ้าวิธีของกระบวนการ อันมีค่า จวบเวลานั้นมาจวบจนถึงเวลาปัจจุบันนี้”

“ที่พวกเราควรนับถือว่า เป็นหลักแท้จริง ปัจจุบันปรกติ เขาเรียกกันว่า การจัดการความเสี่ยง ซึ่งความเสี่ยงนั้น ก็ต้องเอาความจริงเริ่มต้น ตั้งแต่ต้น หรือไม่ก็ต้องเสี่ยง เอามาแต่ข้างปลายโน้น อันใดอันหนึ่ง คิดว่า เสี่ยงกัน! ว่าจะดีอย่างไร?, พวกหนึ่ง เขาก็ไปเอากฏพันธุ์ศาสตร์นั้นมา คือเอาข้างปลายนั้นมาเสี่ยง แล้วก็สรุปซะแน่ใจมาก ว่า ซะเลยทีเดียวว่า หลากหลาย ต่างกัน คละเคล้าวุ่นวายมาก ๆ จะผลิประโยชน์อัศจรรย์มาให้เห็น ก็ได้, ก็ไม่ได้คิดว่า จะต้องทรงตปะอะไรเพื่อการปกครอง อันจะมากไปกว่าการบริหาร ซึ่งทางเดิมดีมีมากแต่ทีแรก กวนกันเกณฑ์เข้าให้วุ่นไว้ก่อน แล้วก็ว่า คงจะได้เห็นประโยชน์เอง”

“ตามเมื่อแรก การปกครอง โบราณของเราไม่คว้าไปไกล ไม่กวน ไม่ข้ามขุ่นกัน ไม่วกข้ามชาติ อะไรไม่นับเอาข้างปลายโน้น ซึ่งไม่ใช่กิจธุระของประเทศ เมื่อดีแล้ว แล้วย่อมจะเห็นความย่อยยับอยู่เสมอ แลเห็นความประมาทอยู่ใกล้ ๆ, ดีอย่างนั้นนั่นเอง ทีนั้น คนโบราณตรงนั้น ย่อมมุ่งตรง ทรงบทตปะอย่างแรงกล้า (พระโคตมะ ก็พระองค์หนึ่ง) ปกครองบ้านเมืองเอาไว้อยู่ เครื่องหมายตัวเองว่าจะเสี่ยงเอาผู้สืบทอด ให้ไว้อย่างไรดีนั้น ก็ถึงเสี่ยงเอา เอามาจากเลือดเนื้อ หรือสายทางของตนนั่นเอง หาจัดการไว้ให้ดีพอสมควรแล้ว จากนั้น ก็มุ่งตรงทรงตปะอย่างชนิดดีเลิศ อันที่ประเสริฐสุด ปกครองคุ้มเกล้า ไร้รากจะหา คุ้มเรื่องตลอดระยะเวลาของโลกชนิดอย่างสูงเยี่ยม ยกสืบชาติ สืบพันธุ์กันมาก ๆ ต่อไป”

“เดี๋ยวนี้ว่า คงเป็นวิธี ที่จะเอาของเลว ออกมาก่อน เหลือต่อไปแต่ของดีไว้ ลึกลงในรอยอนาคต ตามสายทางของอารยธรรมมนุษย์, เรื่อง ประเทศของเรา หลักบ้านหลักเมืองของเรา เจ้าเรา เจ้าท่าน ทุกองค์เข้าเข็น, ตรงหลักเป็นตามบทโบราณยังอยู่, คืออย่างว่านี้นี่แหละ คือสืบกันเอง หากันเอง เลือกเอาบทลึก เลือกของเลว ให้ปะทุออกมาก่อน กว่านั้นแล้วจะคงเหลือไว้แต่สรรพสิ่งดี ๆ เก็บงำไว้ให้แก่ลูกหลาน ส่วนสรรพชีวิตของตัวเองแล้ว เสี่ยงเอาตั้งแต่เริ่มต้น ตั่งแต่เมื่อนี้เลย ไม่ช้า”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่