
นี่คงเป็นเรื่องเล่าขนาดยาวกับการไปเที่ยวแอฟริกาคนเดียว 5 ประเทศ
อยากแบ่งปันให้รู้ว่าแอฟริกาน่าสนใจแค่ไหน ไปแบบประหยัดก็สนุกได้ ไม่ได้น่ากลัว กันดารอย่างที่คิด
รีวิวนี้จะเกริ่นคร่าวๆ ก่อนเข้าประสบการณ์จริงที่ยาวเฟื้อยจนต้องแบ่งเป็นตอนๆ เรียงตามประเทศที่เดินทาง เผื่อตอนพาไปดูวิวสวยๆ อาจเล่าเรื่องเที่ยวเพลินจนตกหล่นเรื่องเล็กๆพวกนี้ไป ถ้าสนใจประเทศไหน รอติดตามได้เลยค่ะ
0. intro to africa
1. zimbabwe & zambia :
https://pantip.com/topic/38158156
2. botswana :
https://pantip.com/topic/38183649
3. namibia :
https://pantip.com/topic/38217855
4. cape town, south africa :
https://pantip.com/topic/38271153




ทั้งหมดมันเริ่มจากการเจอตั๋วถูกไปไนโรบี ราคาไปกลับไม่ถึงสองหมื่นทำท่าว่าจะฟื้นความฝันวัยเด็กเกี่ยวกับซาฟารีขึ้นมาอีกครั้ง เราชวนเพื่อนสมัยประถมให้ไปด้วยกันเพราะรู้ว่านี่ก็เป็นความฝันของเธอ หาข้อมูลด้วยกันมากมายจนความฝันเริ่มมีร่างมีรอยของความจริง แต่สุดท้ายกึ่งฝันกึ่งจริงนี้ก็สั่นคลอนเมื่อเอ๋ยหนีไปทำงานต่อที่ฟิลิปปินส์พร้อมกับชื่อใหม่ที่เราใช้เรียกเธอเวลาคุยกัน ‘เจ้าเพื่อนทรยศ’ ถึงการเที่ยวคนเดียวจะไม่ใช่ปัญหา แต่นี่คือแอฟริกา กาฬทวีปที่เราไม่รู้อะไรเลย การตัดสินใจลุยเดี่ยวครั้งนี้เลยกังวลๆ
หลังจากสำรวจความสวยของแอฟริกาผ่านกูเกิ้ลอยู่นาน ความคิดที่จะไปคนเดียวซัก 2 ประเทศเริ่มขยายเป็น 5 และจาก 10 วันเริ่มลากยาวเป็น 28 วัน โดยไนโรบีที่ตอนแรกกะจะไป ไม่ไปแล้ว ช่วยไม่ได้จริงๆเพราะประเทศต่างๆทางตอนใต้ของทวีปน่าสนใจเกินไป มีอะไรมากกว่าแค่ซาฟารี และเวลา 1 เดือนก็น่าจะยาวนานเพียงพอกับการไปเที่ยวคนเดียวโดยที่ยังไม่ทันเหงา ซิมบับเว แซมเบีย บอตสวาน่า นามิเบีย และเคปทาวน์แห่งแอฟริกาใต้ เราจึงได้เจอกันในช่วงปลายฤดูหนาวของที่นู่น ช่วงเวลาที่น่าเที่ยวที่สุดในความคิดของเรา
แต่เนื่องจากทริปยาวออกมา 3 เท่า เลยต้องพยายามประหยัดงบให้มากที่สุด หนทางประหยัดของเราคือการนอนเตนท์นั่นเอง โชคดีว่าที่พักส่วนใหญ่มักมีลานให้กางเตนท์อยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่จะไม่ขอตัดงบเด็ดขาดคือที่เที่ยวและกิจกรรม


เที่ยวไหนบ้าง
1. victoria falls : เที่ยวน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา แล้วขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปดูวิว
2. livingstone islands : เล่นน้ำบนยอดน้ำตกที่ยิ่งใหญ่ติด world top 3
3. zambezi : ควบม้าไปส่องสัตว์
4. chobe np : นั่งเรือไปส่องสัตว์ในอุทยานที่มีช้างมากสุดในแอฟริกา
5. walvis bay : โดนโคลนดูดริมอ่าวที่เต็มไปด้วยฟลามิงโกและเพลิแคน
6. spitzkoppe : ภูเขาหิน 700 ล้านปีที่ได้ชื่อว่า matterhorn of namibia
7. etosha : นั่งรถไปส่องสัตว์
8. namib naukluft desert : เจอพายุทรายในทะเลทราย และต้นไม้ที่ยืนต้นตายมาเกือบพันปี
9. okavango delta : นั่งเครื่องบินเพื่อส่องสัตว์ เดินเที่ยวทุ่งสะวันน่า วิ่งหนีช้างป่า นั่งแคนูไปดูฮิปโป และตั้งแคมป์กลางป่ากับชาวบ้าน
10. himba tribe : ไปดูชนเผ่าที่ผู้หญิงไม่เคยอาบน้ำเลยทั้งชีวิต
11. swakopmund : ขี่ quadbike ไต่ขึ้นเนินทรายที่สูงที่สุดในโลก
12. orange river kayak : คายัค 10 กิโล
13. fish river canyon : หุบเขาที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากแกรนด์แคนยอน
14. shark cage diving : ดำน้ำกับฉลามขาว
15. whale watching : ล่องเรือไปดูวาฬ
16. seal island : เกาะที่มีแต่แมวน้ำ
17. cape of good hope : สำรวจแหลมกู้ดโฮปที่เคยเรียนตอนเด็กๆ
18. table mountain : 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกยุคใหม่
19. bokaap : ชุมชนหลากสีหลากชาติ
20. boulders penguin colony : หาดทรายที่ถูกเพนกวินยึดครอง
การเดินทาง
1. zimbabwe - บิน 17 ชม จากกรุงเทพไปซิมบับเว ทรานสิทที่เอธิโอเปีย 3 ชม
2. zambia - เดินเท้าข้ามชายแดนแซมเบียไปกลับ 3 ชม
3. botswana - นั่งรถบรรทุกกับทัวร์ท้องถิ่นเที่ยวบอตสวาน่า 7 วัน
4. namibia - นั่งรถบรรทุกเที่ยวนามิเบีย 10 วันผ่านเส้น tropic of capricon
5. south africa - นั่งรถบัส รถตู้ และ uber
นอนยังไง
มีบ้างที่นอนโฮสเทล แต่ส่วนใหญ่จะนอนเตนท์ กางๆเก็บๆทุกวันเพราะย้ายที่นอนทุกคืน ทริปนี้เลยต้องแบกหมอนและ sleeping bag ไปเอง หนาว 0-10 องศา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นอนดูดาวและทางช้างเผือกจนหลับแต่กลับตื่นกลางดึกเพราะพระจันทร์สว่างไป คืนไหนโชคดีได้กางเตนท์บนสนามหญ้าจะรู้สึกเลยว่าผืนดินมันช่างนุ่ม แน่น นอนสบาย คืนไหนนอนบนทรายก็ยวบๆ แต่ไม่ชอบนอนบนพื้นหิน หินก้อนใหญ่ที่ปูดขึ้นมากลางเตนท์ทำให้รู้สึกโดนแทงหลังทั้งคืนเลย เราชอบให้ที่นอนสะอาดๆ เลยราดแอลกอฮอล์ขัดถูเช้าเย็นจนมือจะเปื่อย แต่สุดท้ายก็พ่ายให้ความขี้เกียจ ไปซื้อผ้าปูโต๊ะพลาสติกมาปูเตนท์นอนซะเลย
ห้องน้ำ
สะดวกสบาย ไม่เหม็น แถมวิวดี แรกๆก็เกร็งที่รถบรรทุกจอดให้ลงกลางทางที่ว่างเปล่า เราอยากได้ที่ที่ลับตาคนเลยต้องเดินผ่านพุ่มหนามเข้าไปลึกหน่อย แต่ยิ่งเดินยิ่งโดนหนามที่ยาวเท่าไม้จิ้มฟันเกี่ยว เสื้อผ้าขาด เลือดซิบ ผมที่มัดไว้โดนเกี่ยวกระจุย หลังๆไม่เอาลึกๆลับๆแล้ว ขอพงหญ้าโล่งดีกว่า ที่เล่ามาเป็นแค่ชีวิตประจำวันธรรมดา ตอนไปตั้งแคมป์ในป่า botswana โหดกว่านี้เยอะ
กินอะไร
อาหารอร่อยจนต้องกินมื้อละ 2 จาน ส่วนใหญ่เป็นข้าว พาสต้า ไม่ก็มันฝรั่ง กินกับเนื้อสัตว์อย่างสตูว์เนื้อวัว แกงกะหรี่แกะ ไก่ย่าง ซี่โครงหมูบาบีคิว แล้วคนที่นู่นบ้าน้ำจิ้มไก่ไทยประมาณนึง จิ้มนู่นจิ้มนี่ บางทีก็ใส่แฮมเบอเกอร์แทนซอสมะเขือเทศเลย ถึงขนาดมีเลย์รส thai sweet chilli แต่ของแปลกๆพวกเนื้อม้าลาย เนื้อสัตว์ที่เห็นตอนไปซาฟารีก็ได้กิน ตอนไปสำรวจทะเลทรายได้ลองกินเมล็ดพืชที่ปนมากับอึของจิ้งจอกด้วย ไม่อยากบอกเลยว่าหอมมันเหมือนคั่วมาอย่างดี บางมื้อหน้าตาอาจดูไม่สะอาด มีทรายปนบ้าง กินน้ำเหลืองๆจากแม่น้ำบ้าง แต่ไม่เคยท้องเสีย ทั้งที่ปกติเป็นคนท้องเสียบ่อย
น่ากลัวมั้ย
ตลอด 1 เดือนที่ไปเที่ยว เราไม่เจอเหตุการณ์ร้ายๆเลย ไม่มีสถานการณ์ไหนที่ทำให้กลัวหรือรู้สึกไม่ปลอดภัยด้วยซ้ำ แค่เที่ยวในที่เที่ยว ไม่ออกไปเดินมืดๆคนเดียว โรคติดต่อที่ตอนแรกกลัวถึงกับใส่มาสก์เดินในสนามบิน จริงๆไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ใช้ชีวิตปกติเถอะ บอกตัวเอง
แอฟริกาสำหรับเราเคยน่ากลัว ยิ่งมีคนยกเรื่องนู้นนี้มาขู่ใจยิ่งแป้ว ถึงแม้จะไม่ใช่การเที่ยวคนเดียวครั้งแรก แต่ก็เป็นครั้งแรกที่รู้สึกกลัวจนอยากถอยตั้งแต่อยู่แค่สนามบิน น้ำตาไหลไม่อายใครเลย โชคดีว่าพ่อแม่คอยให้กำลังใจ คอยบอกว่าพริมเก่งอยู่แล้ว ทำได้แน่ๆ แค่ขอให้มีสติ เราชอบเวลาที่มีคนถามแม่ว่าทำไมถึงกล้าปล่อยลูกไปเที่ยวคนเดียว แม่จะตอบเสมอว่าเชื่อในตัวเรา ได้ยินทีไรภูมิใจทุกที
เงิน
มีคนเตือนบ่อยๆว่าควรใช้ moneybelt ซ่อนเงิน แต่เป็นคนไม่ชอบให้อะไรมารัดตัวเลยขอบาย ใช้วิธีพกเงินสดไปน้อยๆแต่พอดีแทน ส่วนใหญ่เอาไว้จ่ายค่าอาหาร เราคำนวณอย่างจริงจังว่าวันนึงจะกินเท่าไหร่ วันไหนกินได้ถูกก็มีเงินเหลือไปซื้อขนม ผลไม้ โปสการ์ดเพิ่ม ถ้าอยากช้อปปิ้งหรือซื้ออะไรสนองกิเลสก็รูดบัตรเอา ส่วนค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ๆประเภทค่ากิจกรรม ค่าเดินทาง ที่พัก ก็จัดการจ่ายล่วงหน้าตั้งแต่ที่ไทย เผื่อเกิดเงินหายบัตรหายยังไงก็ต้องได้เที่ยว! รวมทั้งทริปจ่ายไปประมาณ 125k เกินคุ้มสำหรับประสบการณ์ 1 เดือนที่จะมีค่าไปทั้งชีวิต
ผู้คนและภาษา
โดยรวมคือใจดี เป็นมิตร ทักทายกันตลอด ไม่มีกลิ่นด้วย ตอนไปถึงใหม่ๆก็กลัว ทำไมแค่เดินสวนกันตามท้องถนนต้องฮัลโหลคนแปลกหน้าอย่างเราด้วย แต่หลังๆก็ฮัลโหลกลับ ผู้คนแต่ละประเทศอาจคล้ายกัน แต่เคปทาวน์ แอฟริกาใต้ไม่เหมือนที่ไหน ที่นี่มีคนขาวอยู่เยอะจนรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในออสเตรเลีย คิดไว้อยู่แล้วว่าเมืองนี้คงเจริญแต่พอไปเห็นจริงๆก็ยังประหลาดใจ เพราะมันไม่ใช่แค่เจริญในแง่ตึกสูงเมืองใหญ่ แต่ระบบขนส่งมวลชนดี ผู้คนจริงจังกับการประหยัดน้ำ ลดการใช้พลาสติก
ทั้ง 5 ประเทศที่ไปพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง บางประเทศใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ภาษาราชการ บางครั้งคนที่นู่นยังคุยกันเองด้วยภาษาท้องถิ่นปนอังกฤษ อันนี้พูดถึงคนทั่วไป ไม่ใช่ชาวเผ่า
อากาศ
หากยังคิดว่าแอฟริกามีแต่ร้อนตับแล่บ เปลี่ยนความคิดด่วน หน้าหนาวนี่หนาวถึงใจ ช่วงที่ไปถึงใหม่ๆตรงกับปลายฤดูหนาวพอดี กลางวันอาจร้อน 20-35 องศา แต่ลมพัดมาเรื่อยๆก็ทำให้รู้สึกสบาย ตอนกลางคืนอาจหนาวถึง 0 องศา บางวันเจอพายุทราย ลมแรงจนผ้าใบคลุมเตนท์ปลิวตกเนินไปอย่างไร้ร่องรอย
ปัญหาใหญ่คืออากาศที่แห้งมาก ตอนกลางคืนจะเห็นแสงฟ้าๆแล่บออกมาจากมือตลอดเวลาเหมือนเป็นยอดมนุษย์นอนปล่อยพลัง มันคือไฟฟ้าสถิตย์นั่นเอง แค่วันแรกทั้งมือและหน้าก็แตกเป็นขุยๆ ซื้อวาสลีนปิโตเลียมเจลมาพอกก็ไม่ช่วย โปะปุ๊บแห้งปั๊บ คนที่นี่ใช้ทาผิวกันเป็นเรื่องปกติ โลชั่นธรรมดาแทบไม่มี ถึงมีคงไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่เขตทะเลทราย กินน้ำไปเท่าไหร่ก็แทบไม่ต้องเข้าห้องน้ำเลย แห้งจนไม่เคยมีเหงื่อ ถึงหน้าจะคลุกฝุ่นสกปรกแค่ไหน แต่เวลาล้างก็ใช้ได้แค่น้ำเปล่าเพราะกลัวหน้าจะหลุดเป็นแผ่นๆ ไม่น่าเชื่อ กลับไทยมีคนทักว่าหน้าใสขึ้น
วีซ่า
1. ซิมบับเว - ขอออนไลน์ล่วงหน้า
2. แซมเบีย - ขอที่นู่นแบบ day tripper
3. บอตสวาน่า - ส่งเอกสารไปขอที่โตเกียว
4. นามิเบีย - ส่งพาสปอร์ตไปขอที่เคแอล
5. แอฟริกาใต้ - คนไทยเที่ยวฟรีไม่เกิน 30 วัน
วัคซีน
การฉีดวัคซีน 3 เข็ม ไข้เหลือง ไทฟรอยด์ และไข้หวัดใหญ่ ทำให้วันต่อมาเราป่วย หายไม่ทันวันเดินทาง จริงๆไข้เหลืองไม่จำเป็นต้องฉีดสำหรับที่ที่จะไป ถึงจะทรานสิทเอธิโอเปียซึ่งเป็นประเทศเสี่ยงแต่ก็ไม่เกิน 12 ชม ประเทศปลายทางเลยไม่ขอดูเล่มเหลือง ไม่มีใครตรวจอะไร แต่เพื่อความสบายใจก็ฉีดได้
สำหรับมาลาเรีย คนส่วนใหญ่มักจะกินยาดักไว้ก่อน แต่หมอที่ปรึกษาบอกไม่แนะนำให้กินถ้าสามารถถึงมือหมอได้ภายใน 24 ชม เพราะยาก็ป้องกันแค่ 50% ประมาณว่านักท่องเที่ยวแห่กินจนเชื้อมันพัฒนาหนียาไปหมดแล้ว แทนที่จะป้องกันโรค ก็ป้องกันไม่ให้ยุงกัดเลยดีกว่า แต่ยากันยุงที่ขายในบ้านเรากันยุงไทยยังไม่ค่อยได้เลย ไม่เอาไปใช้ที่แอฟริกาแน่นอน อาจเพราะ deet ค่อนข้างต่ำไม่ก็ใส่ระยะเวลาป้องกันบนฉลากได้โม้ไปหน่อย เลยไปซื้อยากันยุงแบบเข้มข้นของต่างประเทศมาใช้แทน ทาบางๆครั้งเดียวแล้วแต่งตัวมิดชิด แค่นี้ก็ไม่โดนยุงกัดซักตุ่ม

ตอนต่อไป :
https://pantip.com/topic/38158156
ดูรูปไปพลางๆ :
www.facebook.com/primintheair และ
www.instagram.com/primintheair
[CR] ☁︎ AFRICA : เที่ยวแอฟริกาฉบับนอนเตนท์ 1 คน 1 เดือน 1 แสนนิดๆ
อยากแบ่งปันให้รู้ว่าแอฟริกาน่าสนใจแค่ไหน ไปแบบประหยัดก็สนุกได้ ไม่ได้น่ากลัว กันดารอย่างที่คิด
รีวิวนี้จะเกริ่นคร่าวๆ ก่อนเข้าประสบการณ์จริงที่ยาวเฟื้อยจนต้องแบ่งเป็นตอนๆ เรียงตามประเทศที่เดินทาง เผื่อตอนพาไปดูวิวสวยๆ อาจเล่าเรื่องเที่ยวเพลินจนตกหล่นเรื่องเล็กๆพวกนี้ไป ถ้าสนใจประเทศไหน รอติดตามได้เลยค่ะ
0. intro to africa1. zimbabwe & zambia : https://pantip.com/topic/38158156
2. botswana : https://pantip.com/topic/38183649
3. namibia : https://pantip.com/topic/38217855
4. cape town, south africa : https://pantip.com/topic/38271153
หลังจากสำรวจความสวยของแอฟริกาผ่านกูเกิ้ลอยู่นาน ความคิดที่จะไปคนเดียวซัก 2 ประเทศเริ่มขยายเป็น 5 และจาก 10 วันเริ่มลากยาวเป็น 28 วัน โดยไนโรบีที่ตอนแรกกะจะไป ไม่ไปแล้ว ช่วยไม่ได้จริงๆเพราะประเทศต่างๆทางตอนใต้ของทวีปน่าสนใจเกินไป มีอะไรมากกว่าแค่ซาฟารี และเวลา 1 เดือนก็น่าจะยาวนานเพียงพอกับการไปเที่ยวคนเดียวโดยที่ยังไม่ทันเหงา ซิมบับเว แซมเบีย บอตสวาน่า นามิเบีย และเคปทาวน์แห่งแอฟริกาใต้ เราจึงได้เจอกันในช่วงปลายฤดูหนาวของที่นู่น ช่วงเวลาที่น่าเที่ยวที่สุดในความคิดของเรา
แต่เนื่องจากทริปยาวออกมา 3 เท่า เลยต้องพยายามประหยัดงบให้มากที่สุด หนทางประหยัดของเราคือการนอนเตนท์นั่นเอง โชคดีว่าที่พักส่วนใหญ่มักมีลานให้กางเตนท์อยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่จะไม่ขอตัดงบเด็ดขาดคือที่เที่ยวและกิจกรรม
1. victoria falls : เที่ยวน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา แล้วขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปดูวิว
2. livingstone islands : เล่นน้ำบนยอดน้ำตกที่ยิ่งใหญ่ติด world top 3
3. zambezi : ควบม้าไปส่องสัตว์
4. chobe np : นั่งเรือไปส่องสัตว์ในอุทยานที่มีช้างมากสุดในแอฟริกา
5. walvis bay : โดนโคลนดูดริมอ่าวที่เต็มไปด้วยฟลามิงโกและเพลิแคน
6. spitzkoppe : ภูเขาหิน 700 ล้านปีที่ได้ชื่อว่า matterhorn of namibia
7. etosha : นั่งรถไปส่องสัตว์
8. namib naukluft desert : เจอพายุทรายในทะเลทราย และต้นไม้ที่ยืนต้นตายมาเกือบพันปี
9. okavango delta : นั่งเครื่องบินเพื่อส่องสัตว์ เดินเที่ยวทุ่งสะวันน่า วิ่งหนีช้างป่า นั่งแคนูไปดูฮิปโป และตั้งแคมป์กลางป่ากับชาวบ้าน
10. himba tribe : ไปดูชนเผ่าที่ผู้หญิงไม่เคยอาบน้ำเลยทั้งชีวิต
11. swakopmund : ขี่ quadbike ไต่ขึ้นเนินทรายที่สูงที่สุดในโลก
12. orange river kayak : คายัค 10 กิโล
13. fish river canyon : หุบเขาที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากแกรนด์แคนยอน
14. shark cage diving : ดำน้ำกับฉลามขาว
15. whale watching : ล่องเรือไปดูวาฬ
16. seal island : เกาะที่มีแต่แมวน้ำ
17. cape of good hope : สำรวจแหลมกู้ดโฮปที่เคยเรียนตอนเด็กๆ
18. table mountain : 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกยุคใหม่
19. bokaap : ชุมชนหลากสีหลากชาติ
20. boulders penguin colony : หาดทรายที่ถูกเพนกวินยึดครอง
1. zimbabwe - บิน 17 ชม จากกรุงเทพไปซิมบับเว ทรานสิทที่เอธิโอเปีย 3 ชม
2. zambia - เดินเท้าข้ามชายแดนแซมเบียไปกลับ 3 ชม
3. botswana - นั่งรถบรรทุกกับทัวร์ท้องถิ่นเที่ยวบอตสวาน่า 7 วัน
4. namibia - นั่งรถบรรทุกเที่ยวนามิเบีย 10 วันผ่านเส้น tropic of capricon
5. south africa - นั่งรถบัส รถตู้ และ uber
มีบ้างที่นอนโฮสเทล แต่ส่วนใหญ่จะนอนเตนท์ กางๆเก็บๆทุกวันเพราะย้ายที่นอนทุกคืน ทริปนี้เลยต้องแบกหมอนและ sleeping bag ไปเอง หนาว 0-10 องศา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นอนดูดาวและทางช้างเผือกจนหลับแต่กลับตื่นกลางดึกเพราะพระจันทร์สว่างไป คืนไหนโชคดีได้กางเตนท์บนสนามหญ้าจะรู้สึกเลยว่าผืนดินมันช่างนุ่ม แน่น นอนสบาย คืนไหนนอนบนทรายก็ยวบๆ แต่ไม่ชอบนอนบนพื้นหิน หินก้อนใหญ่ที่ปูดขึ้นมากลางเตนท์ทำให้รู้สึกโดนแทงหลังทั้งคืนเลย เราชอบให้ที่นอนสะอาดๆ เลยราดแอลกอฮอล์ขัดถูเช้าเย็นจนมือจะเปื่อย แต่สุดท้ายก็พ่ายให้ความขี้เกียจ ไปซื้อผ้าปูโต๊ะพลาสติกมาปูเตนท์นอนซะเลย
ห้องน้ำ
สะดวกสบาย ไม่เหม็น แถมวิวดี แรกๆก็เกร็งที่รถบรรทุกจอดให้ลงกลางทางที่ว่างเปล่า เราอยากได้ที่ที่ลับตาคนเลยต้องเดินผ่านพุ่มหนามเข้าไปลึกหน่อย แต่ยิ่งเดินยิ่งโดนหนามที่ยาวเท่าไม้จิ้มฟันเกี่ยว เสื้อผ้าขาด เลือดซิบ ผมที่มัดไว้โดนเกี่ยวกระจุย หลังๆไม่เอาลึกๆลับๆแล้ว ขอพงหญ้าโล่งดีกว่า ที่เล่ามาเป็นแค่ชีวิตประจำวันธรรมดา ตอนไปตั้งแคมป์ในป่า botswana โหดกว่านี้เยอะ
อาหารอร่อยจนต้องกินมื้อละ 2 จาน ส่วนใหญ่เป็นข้าว พาสต้า ไม่ก็มันฝรั่ง กินกับเนื้อสัตว์อย่างสตูว์เนื้อวัว แกงกะหรี่แกะ ไก่ย่าง ซี่โครงหมูบาบีคิว แล้วคนที่นู่นบ้าน้ำจิ้มไก่ไทยประมาณนึง จิ้มนู่นจิ้มนี่ บางทีก็ใส่แฮมเบอเกอร์แทนซอสมะเขือเทศเลย ถึงขนาดมีเลย์รส thai sweet chilli แต่ของแปลกๆพวกเนื้อม้าลาย เนื้อสัตว์ที่เห็นตอนไปซาฟารีก็ได้กิน ตอนไปสำรวจทะเลทรายได้ลองกินเมล็ดพืชที่ปนมากับอึของจิ้งจอกด้วย ไม่อยากบอกเลยว่าหอมมันเหมือนคั่วมาอย่างดี บางมื้อหน้าตาอาจดูไม่สะอาด มีทรายปนบ้าง กินน้ำเหลืองๆจากแม่น้ำบ้าง แต่ไม่เคยท้องเสีย ทั้งที่ปกติเป็นคนท้องเสียบ่อย
ตลอด 1 เดือนที่ไปเที่ยว เราไม่เจอเหตุการณ์ร้ายๆเลย ไม่มีสถานการณ์ไหนที่ทำให้กลัวหรือรู้สึกไม่ปลอดภัยด้วยซ้ำ แค่เที่ยวในที่เที่ยว ไม่ออกไปเดินมืดๆคนเดียว โรคติดต่อที่ตอนแรกกลัวถึงกับใส่มาสก์เดินในสนามบิน จริงๆไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ใช้ชีวิตปกติเถอะ บอกตัวเอง
แอฟริกาสำหรับเราเคยน่ากลัว ยิ่งมีคนยกเรื่องนู้นนี้มาขู่ใจยิ่งแป้ว ถึงแม้จะไม่ใช่การเที่ยวคนเดียวครั้งแรก แต่ก็เป็นครั้งแรกที่รู้สึกกลัวจนอยากถอยตั้งแต่อยู่แค่สนามบิน น้ำตาไหลไม่อายใครเลย โชคดีว่าพ่อแม่คอยให้กำลังใจ คอยบอกว่าพริมเก่งอยู่แล้ว ทำได้แน่ๆ แค่ขอให้มีสติ เราชอบเวลาที่มีคนถามแม่ว่าทำไมถึงกล้าปล่อยลูกไปเที่ยวคนเดียว แม่จะตอบเสมอว่าเชื่อในตัวเรา ได้ยินทีไรภูมิใจทุกที
มีคนเตือนบ่อยๆว่าควรใช้ moneybelt ซ่อนเงิน แต่เป็นคนไม่ชอบให้อะไรมารัดตัวเลยขอบาย ใช้วิธีพกเงินสดไปน้อยๆแต่พอดีแทน ส่วนใหญ่เอาไว้จ่ายค่าอาหาร เราคำนวณอย่างจริงจังว่าวันนึงจะกินเท่าไหร่ วันไหนกินได้ถูกก็มีเงินเหลือไปซื้อขนม ผลไม้ โปสการ์ดเพิ่ม ถ้าอยากช้อปปิ้งหรือซื้ออะไรสนองกิเลสก็รูดบัตรเอา ส่วนค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ๆประเภทค่ากิจกรรม ค่าเดินทาง ที่พัก ก็จัดการจ่ายล่วงหน้าตั้งแต่ที่ไทย เผื่อเกิดเงินหายบัตรหายยังไงก็ต้องได้เที่ยว! รวมทั้งทริปจ่ายไปประมาณ 125k เกินคุ้มสำหรับประสบการณ์ 1 เดือนที่จะมีค่าไปทั้งชีวิต
โดยรวมคือใจดี เป็นมิตร ทักทายกันตลอด ไม่มีกลิ่นด้วย ตอนไปถึงใหม่ๆก็กลัว ทำไมแค่เดินสวนกันตามท้องถนนต้องฮัลโหลคนแปลกหน้าอย่างเราด้วย แต่หลังๆก็ฮัลโหลกลับ ผู้คนแต่ละประเทศอาจคล้ายกัน แต่เคปทาวน์ แอฟริกาใต้ไม่เหมือนที่ไหน ที่นี่มีคนขาวอยู่เยอะจนรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในออสเตรเลีย คิดไว้อยู่แล้วว่าเมืองนี้คงเจริญแต่พอไปเห็นจริงๆก็ยังประหลาดใจ เพราะมันไม่ใช่แค่เจริญในแง่ตึกสูงเมืองใหญ่ แต่ระบบขนส่งมวลชนดี ผู้คนจริงจังกับการประหยัดน้ำ ลดการใช้พลาสติก
ทั้ง 5 ประเทศที่ไปพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง บางประเทศใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ภาษาราชการ บางครั้งคนที่นู่นยังคุยกันเองด้วยภาษาท้องถิ่นปนอังกฤษ อันนี้พูดถึงคนทั่วไป ไม่ใช่ชาวเผ่า
หากยังคิดว่าแอฟริกามีแต่ร้อนตับแล่บ เปลี่ยนความคิดด่วน หน้าหนาวนี่หนาวถึงใจ ช่วงที่ไปถึงใหม่ๆตรงกับปลายฤดูหนาวพอดี กลางวันอาจร้อน 20-35 องศา แต่ลมพัดมาเรื่อยๆก็ทำให้รู้สึกสบาย ตอนกลางคืนอาจหนาวถึง 0 องศา บางวันเจอพายุทราย ลมแรงจนผ้าใบคลุมเตนท์ปลิวตกเนินไปอย่างไร้ร่องรอย
ปัญหาใหญ่คืออากาศที่แห้งมาก ตอนกลางคืนจะเห็นแสงฟ้าๆแล่บออกมาจากมือตลอดเวลาเหมือนเป็นยอดมนุษย์นอนปล่อยพลัง มันคือไฟฟ้าสถิตย์นั่นเอง แค่วันแรกทั้งมือและหน้าก็แตกเป็นขุยๆ ซื้อวาสลีนปิโตเลียมเจลมาพอกก็ไม่ช่วย โปะปุ๊บแห้งปั๊บ คนที่นี่ใช้ทาผิวกันเป็นเรื่องปกติ โลชั่นธรรมดาแทบไม่มี ถึงมีคงไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่เขตทะเลทราย กินน้ำไปเท่าไหร่ก็แทบไม่ต้องเข้าห้องน้ำเลย แห้งจนไม่เคยมีเหงื่อ ถึงหน้าจะคลุกฝุ่นสกปรกแค่ไหน แต่เวลาล้างก็ใช้ได้แค่น้ำเปล่าเพราะกลัวหน้าจะหลุดเป็นแผ่นๆ ไม่น่าเชื่อ กลับไทยมีคนทักว่าหน้าใสขึ้น
1. ซิมบับเว - ขอออนไลน์ล่วงหน้า
2. แซมเบีย - ขอที่นู่นแบบ day tripper
3. บอตสวาน่า - ส่งเอกสารไปขอที่โตเกียว
4. นามิเบีย - ส่งพาสปอร์ตไปขอที่เคแอล
5. แอฟริกาใต้ - คนไทยเที่ยวฟรีไม่เกิน 30 วัน
วัคซีน
การฉีดวัคซีน 3 เข็ม ไข้เหลือง ไทฟรอยด์ และไข้หวัดใหญ่ ทำให้วันต่อมาเราป่วย หายไม่ทันวันเดินทาง จริงๆไข้เหลืองไม่จำเป็นต้องฉีดสำหรับที่ที่จะไป ถึงจะทรานสิทเอธิโอเปียซึ่งเป็นประเทศเสี่ยงแต่ก็ไม่เกิน 12 ชม ประเทศปลายทางเลยไม่ขอดูเล่มเหลือง ไม่มีใครตรวจอะไร แต่เพื่อความสบายใจก็ฉีดได้
สำหรับมาลาเรีย คนส่วนใหญ่มักจะกินยาดักไว้ก่อน แต่หมอที่ปรึกษาบอกไม่แนะนำให้กินถ้าสามารถถึงมือหมอได้ภายใน 24 ชม เพราะยาก็ป้องกันแค่ 50% ประมาณว่านักท่องเที่ยวแห่กินจนเชื้อมันพัฒนาหนียาไปหมดแล้ว แทนที่จะป้องกันโรค ก็ป้องกันไม่ให้ยุงกัดเลยดีกว่า แต่ยากันยุงที่ขายในบ้านเรากันยุงไทยยังไม่ค่อยได้เลย ไม่เอาไปใช้ที่แอฟริกาแน่นอน อาจเพราะ deet ค่อนข้างต่ำไม่ก็ใส่ระยะเวลาป้องกันบนฉลากได้โม้ไปหน่อย เลยไปซื้อยากันยุงแบบเข้มข้นของต่างประเทศมาใช้แทน ทาบางๆครั้งเดียวแล้วแต่งตัวมิดชิด แค่นี้ก็ไม่โดนยุงกัดซักตุ่ม
ตอนต่อไป : https://pantip.com/topic/38158156
ดูรูปไปพลางๆ : www.facebook.com/primintheair และ www.instagram.com/primintheair
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้