[CR] [CR] ลุยเดี่ยว 5ประเทศ Zimbabwe Zambia Botswana Namibia South Africa ที่โคตรจะมหัศจรรย์ EP3

กระทู้รีวิว

บันทึกนักเดินทาง ภาพถ่ายทิวทัศน์ ประเทศนามิเบีย สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ ทวีปแอฟริกา

หลังจาก Review ประเทศ Zimbabwe Zambia แล้วใน EP1 และ EP2 พร้อมเรื่องเอกสารวีซ่าต่างได้ที่
ลุยเดี่ยว 5ประเทศ Zimbabwe Zambia Botswana Namibia South Africa ที่โคตรจะมหัศจรรย์
ลุยเดี่ยว 5ประเทศ Zimbabwe Zambia Botswana Namibia South Africa ที่โคตรจะมหัศจรรย์ EP2

ห่างหายจากรีวิวไปนาน หลังจากที่เราได้ลุยเดี่ยวไป 3 ประเทศในโซนทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางที่4 นั่นก็คือ ประเทศ นามิเบีย หลายคนน่าจะยังไม่รุ้จักประเทศนี้ แต่บอกเลยว่าเป็นประเทศที่ครบ จบ ในประเทศเดี่ยวจริงๆ มีunseen แทบจะทุกอย่าง ก่อนอื่นนามิเบียนั้นอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา ซึ่งอยู่ติดกับประเทศแอฟริกาใต้ บอสวานา แองโกล่า และมีช่วงปลายติดกับแซมเบียกับซิมบับเว อยู่ด้วย ประเทศนี้เป็นเมืองขึ้นของประเทศเยอรมันมาก่อน ซึ่งทำให้เราจะเจอฝรั่งผิวขาวย้ายถิ่นฐานมาเยอะมาก รวมถึงคนจีนที่เข้ามาทำงานที่นี่เยอะด้วย เล่าคร่าวๆ ใครอยากได้ข้อมูลประวัติเพิ่มเติมก็อากู๋ได้เลยนะ

สำหรับการเข้าประเทศนามิเบียนั้น เราจะบินไปลงที่เมืองหลวงเมืองวินด์ฮุก เรามาทำวีซ่า On arrival ซึ่งการทำวีซ่า On arrival ต้องลงที่สนามบินวินด์ฮุกเท่านั้นนะ ผมเดินทางมาจากประเทศซิมบับเวย์ โดยสายการบิน South Africa Airlink แวะต่อเครื่องที่เมืองโจฮันเนสเบริก มาถึงก็ค่ำเลย

ลงเครื่องเข้าสนามบิน แล้วก็จะมองเห็นป้าย Visa On arrival ก็ตรงเข้าไปได้เลย

เข้าไปเจ้าหน้าที่จะให้กรอกเอกสาร 1 แผ่น กรอกไปให้ครบ และก็จ่ายเงินไป 1200 นามิเบียดอลล่า ซึ่งที่นี่ไม่รับเงินสด แต่สามารถรูดบัตรเครดิตได้ เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ก็ให้เอกสารเราไปยื่นที่ตม. ได้เลย ง่ายมาก ผ่านฉลุย โดยแพลนของเราอยู่ที่นามิเบีย 6 คืนด้วยกันคืนแรกเรามาถึงดึกก็เข้าพักที่เมืองหลวงก่อนจะเดินทางต่อไปยังไฮไลท์ที่สุดของประเทศนี้นั่นก็คือ อุทยานซอสซิเฟย์ (Sossusvlei National Park)

วันนี้เราจะออกเดินทางไกล ไปพร้อมกับทัวร์ Local นามิเบียที่ดูแลเราดีมาก (หากใครสนใจทัก inbox มาถามข้อมูลได้นะครับ) เดินทางจากเมืองหลวงไปยังอุทยานซอสซิเฟย์นั้น ใช้เวลาประมาณเกือบ 5 ชั่วโมง เนื่องจากถนนหนทางยังเป็นลูกลังบางส่วนและเป็นโซนเดียวที่ถนนไม่ดี และระหว่างทางเราก็แวะทานข้าวกลางวัน Sossusvlei นั้น อยู่ในอุทยานแห่งชาติ Namib-Naukluft ถือเป็นอุทยานที่มีขนาดใหญ่มากๆแห่งนึงของนามิเบีย ไปถึงยังก็เข้าพักโรงแรม ซึ่งแถว Sossusvlei นั้น แทบไม่มีเมืองที่อยู่อาศัย แต่มีที่พักและรีสอร์ทให้บริการเยอะ เราพักอยู่ด้านนอกอุทยาน แต่แม้ว่าจะจำนวนเยอะ หากมาหน้าไฮซีซั่นก็เต็มมากๆ เลยเพราะที่นี่คือฮิตมากสำหรับนักท่องเที่ยวจากยุโรป แนะนำให้หาที่พักก่อนแล้วค่อยจองอย่างอื่น

การเที่ยวที่ซอสซิเฟย์นั้น เราต้องไปเที่ยวแต่เช้า เพราะในอุทยาน Namib-Naukluft นี้ใหญ่มาก และระหว่างทางนั้นจะมีเนินทรายขนาดใหญ่ชื่อดังว่า Dune 45 เป็นเนินทรายที่สูงกว่า 300 เมตร คนนิยมมาเดินขึ้นเนินแล้ววิ่งผ่านลงมาตรงกลางเลยแบบนี้

จากนั้นหลังจากเที่ยวทะเลทรายเสร็จแล้วพร้อมกับกลัวความสูงว่าจะตก จนไกด์บอกให้วิ่งลงมาก็มีคนเริ่มวิ่ง เราก็วิ่งตามสนุกดี ทรายที่นี่นิ่มมาก

หลังจากรับแสงเช้าที่ทะเลทรายแล้ว เราก็เดินทางเข้าไปด้านในต่อที่อุทยานซอสซิเฟย์ ซึ่งจะเป็นต้นไม้ยืนตายนั้น เรียกว่า Deadvlei คือมันแปลกมาก จนไม่คิดว่าจะมีสถานที่แห่งนี้อยู่บนโลกใบนี้ ด้านหน้าทางเข้ายังมีเนินทรายขนาดใหญ่อีกลูกที่เที่ยวเดินเล่นได้เรียกว่า Big Daddy Dune อีกด้วย

Unseen ที่แปลกที่สุดที่เคยพบเจอมา

Big Daddy Dune

ช่วงเรามาถึงก็ประมาณ 10 โมงกว่าเริ่มร้อนแล้ว ถ้าช้ากว่านี้ยิ่งร้อน ที่นี่ประมาณ5โมงก็จะปิดไม่ให้เข้า ลองเช็คเวลาเปิดปิดอีกทีในแต่ละฤดูกาล เดินเข้าไปประมาณ1-2 กิโล ก็จะถึงแหล่ง Unseen แห่งนี้ เราเก็บภาพอยู่ประมาณ 30 นาทีก็อิ่มกับบรรยากาศ บวกกับความร้อนด้วย 555

หลังจากอิ่มเอมกับ Unseen UNESCO แล้วเราก็เดินทางออกจากอุทยานมาทานอาหารกลางวันด้านนอกอุทยาน จากนั้นช่วงบ่ายไกด์เราพาเราไปเที่ยวอีกที่นั่นคือ Sesriem Canyon ซึ่งอยู่ภายในอุทยาน Namib-Naukluft ซึ่งที่นี่เป็นหุบเขาช่องแคบที่มีร่องน้ำผ่านมา มีชั้นหินตะกอนที่เปลี่ยนสีตามแสง แต่ช่วงที่เราไปน้ำค่อนข้างแห้งก็เดินไม่ยาก เป็นความมหัศจรรย์ที่กลางทะเลทรายจะมีแคนย่อนแบบนี้ เป็นอันจบสำหรับสถานที่แปลกมหัศจรรย์

จากนั้นเราก็ไปเข้าที่พักอันหรูหราของเรา

พรุ่งนี้เราจะเดินทางต่อไปยังเมืองตากอากาศ ที่สวยงามที่สุดแห่งนึงของโลก ที่ชื่ออ่านยากหน่อยว่า Swakopmund (ซาวัคคอบมุน)

ระหว่างเส้นทางนี้ถนนจะไม่ค่อยดีมากเท่าไร และโดยเฉพาะห้องน้ำซึ่งหาไม่ได้เลย ปั้มก็ไม่มี555 ใครทำจะทำธุระส่วนตัวก็ หลังก้อนหินเท่านั้น เพราะเส้นทางนี้ไม่ค่อยมีต้นไม้เลย เราใช้เวลานั่งรถประมาณ 3 ชั่วโมง ก็มาถึงเมืองนี้ซึ่งเมืองนี้ จริงๆแล้วเป็นเมืองตากอากาศที่ฝรั่งผิวขาวชอบมาอยู่กันเยอะมาก เป็นเมืองที่บรรยากาศดีเหมือน LA เลยว่างั้นได้ แต่นอกจากความสวยงามของร้านค้าต่างๆแล้ว เมืองนี้ยังไม่ Land scape ที่แปลกตาอีกนั้นก็คือ Moon Land Scape หรือ หุบเขาโลกพระจันทร์ ซึ่งจะอยู่ก่อนทางเข้าเมือง เป็นสถานที่ๆกว้างใหญ่ เคว้งคว้างมาก และสวยแปลกตาสุดๆ พื้นเป็นปุ่มๆเหมือนโลกพระจันทร์

Moon Land Scape เหมือนไหม

แวะถ่ายรูปเก็บภาพบรรยากาศเสร็จ เราก็เข้ามาไปชมความงามของเมืองนี้กัน ที่นี่เหมาะกับผู้คนที่รักความ Slow life เพราะบรรยากาศ ร้านอาหาร รวมถึงพระอาทิตย์ตกดินที่นี่สวยมากๆ ซึ่งผมนอนที่นี่ 2 คืน โรงแรมคือดีสุดๆ

บรรยากาศเมือง Swakopmund บอกเลยว่าน่ามาอยู่ที่นี่มากก
สำหรับโรงแรมที่นี่มีตัวเลือกให้ค่อยข้างเยอะ แต่ทางทัวร์จัดให้เราแบบดีมากเราได้นอน โรงแรม Strand Swakopmund

ได้นอนที่นี่ 2 คืนคือบรรยากาศดีสุดๆ

วันรุ่นขึ้นเราไปทำกิจกรรม 1 days trip ที่เมืองใกล้เคียง เป็นเมืองติดมหาสมุทรแอตแลนติกนั่นคือ Walvis Bay เป็นอีกเมืองตากอากาศที่มีกิจกรรมเยอะมาก ขับจากเมือง Swakamund มาเพียง 30 นาที โดยเช้านี้เราจะไปล่องเรือชมฝูงแมวน้ำกลางมหาสมุทร ใช้เวลาประมาณ3 ชม ไปกลับ โดยบนเรือนั้นเจ้าหน้าที่เรือมีโชว์เรียกแมวน้ำ และนกปากเป็ดน้ำขึ้นมาบนเรือให้เราได้สัมผัส ถ่ายรูปอย่างใกล้ชิด โดยร่องไปตามร่องน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติก บนเรือยังมีออเดิฟเสริมอย่างหอย Oyster แบบสดๆให้กินกันอีกด้วย

จากนั้นเราแวะทานอาหารเที่ยงบริเวณท่าเรือของกินเพียบ หลังจากล่องเรือเสร็จเราก็เข้าตัวเมืองไปชมฝูงนกฟลามิงโก ซึ่งหาได้ยากที่บ้านเรา แต่ที่นี่เยอะมากๆ อยู่กลางเมืองเลย

จากนั้นในตอนบ่ายเราก็ไปนั่งรถ 4x4 ตะลุยทะเลทราย ซึ่งเรียกว่า Sandwich Harbor เพราะที่นี่ไม่เหมือนทะเลทรายธรรมดา แต่ว่าเป็นทะเลทรายที่ขนาบด้วยมหาสมุทราแอตแลนติก ซึ่งหาที่ไหนบนโลกนี้ไม่ได้อีกแล้ว ฝั่งซ้ายเป็นทะเลทรายกว้างใหญ่ ฝั่งขวาเป็นมหาสมุทรแอตแลนติกที่ใหญ่ไพศาล ที่มีทะเลทรายนี้ได้รับอิทธิพลพักมาจากมหาสมุทรเมื่อหลายพันปีก่อน โดยรถนี้เรานั่งได้แค่4 คนคนขับจะขับพาลุยเนินทรายไปเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าเกิดการติดหลุมหลายบ้าง555 ระหว่างทางยังได้เห็นนกกระจอกเทศ และตัว Spring box อีกด้วย ใช้เวลาเที่ยวที่นี่ประมาณ 3 ชั่วโมง