อ่านคำพูด ดร.สุพจน์ แล้ว ทำให้คิดว่าที่ กสทช.จะไปอุทธรณ์ศาล หาก dtac ไม่เข้าประมูล มันใช่หน้าที่กสทช.หรือ
อย่างไรก็ดี สำหรับสถานการณ์ในขณะนี้ ดร.สุพจน์ ชี้ว่า สังคมให้ความสนใจ “ผิดจุด” ในสองประเด็น
“ประเด็นแรกคือ ตอนนี้เราไปโฟกัสว่าดีแทคจะได้หรือไม่ได้เยียวยาฯ แต่จริง ๆ ต้องถามว่า กสทช. มีอำนาจหน้าที่อะไร และการจัดสรรคลื่นความถี่ให้แก่ผู้รับใบอนุญาตใหม่ให้แล้ว เสร็จคืองานของใคร มันคือหน้าที่ กสทช. เพราะฉะนั้น กสทช. จะมาอ้างว่า ครั้งก่อนจัดประมูลไม่ได้ ครั้งนี้จัดประมูลได้แล้วก็จบกัน ดีแทคไม่เข้า เพราะฉะนั้นดีแทคไม่ได้รับการเยียวยา ตราบใดที่ กสทช. จัดประมูลแล้วไม่มีผู้ชนะการประมูล ไม่มีผู้ได้รับใบอนุญาตใหม่ ถือว่า กสทช. ยังทำหน้าที่ของตนเองไม่ครบถ้วนนะครับ”
“ระเบียบนี้ผมเชื่อว่าบังคับได้ และต้องมีการเยียวยา จริง ๆ ดีแทคไม่ต้องไปขอรับการเยียวยาเลย การเยียวยาต้องมาเอง”
“สองคือ ในเงื่อนไขเพิ่มเติมของ กสทช. ระบุไว้ว่า ว่าถ้าดีแทคไม่เข้าร่วมการประมูลก็จะไม่ได้รับสิทธิเยียวยา คืออุตส่าห์เขียนไว้ดิบดีที่แท้ก็ไม่ได้คำนึงถึงผู้บริโภคเลย”
https://www.thebangkokinsight.com/43520/
จากที่กล่าวมา กสทช.มีหน้าที่เพียงจัดประมูลให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ไม่ได้มีหน้าที่บีบกดดันใครเข้าประมูลนะครับ ซึ่ง dtac ก็ได้เสนอราคาทางการตลาด และระยะเวลาที่ dtac เห็นว่าเหมาะสมในช่วงเวลานี้แล้ว แต่กสทช.ก็ไม่ได้เลือกปฏิบัติ แล้วจะให้ทำยังไงต่อล่ะ
ดูๆแล้ว การประมูลมัน 2 มาตราฐานมาตั้งแต่ทีแรกเนอะ ครั้งแรกปี 58 ประมูลด้วยราคาทางการตลาด ประมูลครั้งที่ 2 ด้วยราคาสุดท้ายของผู้ชนะปี 58 เอาสถานะทางการเงินของผู้เข้าประมูลครั้งต่อไปมาพัวพันเกี่ยวดองกับผู้ประมูลรอบเก่า มันใช่หลักมาตราฐานการประมูลหรือ
ถ้ากสทช.กลัวว่าหนทางนี้จะทำให้ true กับ ais เสียเปรียบทางธุรกิจ จริงๆมันไม่น่าเกี่ยวนะ เพราะการประมูลหรือซื้อของอะไรไปใช้ประโยชน์ มันต้องดูเงินในกระเป๋า ณ ขณะนั้น มีพอซื้อของคุณมั้ย
สมมติว่า ตัวคุณขายบัตรเติมเงินมือถือ แล้วมีลูกค้าที่เป็นพ่อบ้านทำงานได้เงินวันละ 300 บาท ต้องแบ่งเงินให้กับคนในครอบครัว ค่าอาหาร ค่ายา ค่าโทรศัพท์ แล้วคุณก็ไปบังคับให้เขาซื้อบัตรเติมเงินคุณ 300 บาท โดยไม่ให้เหลือเงินไว้ในครอบครัวของเขาเลย แล้วเขาจะอยู่ได้ยังไง
กรณีของ dtac ก็เช่นเดียวกัน หากว่า เอาตังค์ไปจ่ายค่าคลื่นที่ถูกปั่นราคาเกินจริงแต่ทีแรก ซึ่งถ้า dtac ซื้อไปแล้ว ทำให้ได้รับต้นทุนทำธุรกิจเกินจริง ส่งผลให้ลูกค้า dtac ไม่ได้รับบริการที่ดีล่ะ เพราะต้นทุนที่สูงเกินจริง สามารถทำให้การบริหารโครงข่ายมีปัญหาทั้งระบบ เดี๋ยวเน็ตช้าบ้าง เน็ตหมุนติ้วบ้าง โทรไม่ติดบ้าง เพราะ 900 ที่ราคาสูงเกินจริงทำให้การบริหารเครือข่ายองค์รวมมีปัญหา
บางที dtac อาจมองว่าการไม่เอาคลื่น 900 คือ การคุ้มครองผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ให้ได้รับบริการที่มีคุณภาพดี แต่ถ้าเอาคลื่น 900 มา มันจะพังทั้งระบบ ไม่เอา 900 อาจมีแผลถลอกปอกเปิกบ้าง แต่เอา 900 แพง ก็เหมือนเอามีดปาดคอตัวเอง เพราะต้นทุนของ dtac ไม่ได้มีแค่คลื่น 900 นะ ยังมีต้นทุนคลื่นอื่นอีกหลายคลื่น ซึ่งบางคลื่นค่าเฉลี่ยรายปีแพงกว่าคลื่น 900 อีก ถ้ามีต้นทุน 900 ตัวเดียวพอว่า
ถึงแม้ว่าก่อนขึ้นศาล dtac ยอมรับราคาคลื่น 900 ได้ หากเงื่อนไขอย่างอื่นดี อาจจะเพราะได้พิจารณาจากสภาพธุรกิจในวันนั้นก่อน จำนวนลูกค้าในวันนั้น แต่วันนี้อาจจะเป็นอีกอย่าง รายได้จากธุรกิจลดลง ลูกค้าก็ลดลงเพราะข่าวโน่นบ้าง ข่าวนี้บ้าง
เหมือนนักธุรกิจ เดือนก่อนหาตังค์ได้ 10 ล้าน มีเงินซื้อรถเบนซ์ เดือนนี้หาตังค์ได้แค่ล้านเดียว มีตังค์ซื้อรถโตโยต้า จะให้ไปปล้นจี้เงินใครมาซื้อรถเบนซ์หรือ
ส่วนตัวเชื่อว่า การที่ dtac ไม่เข้าประมูลคลื่น 900 เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย dtac ก็จะประหยัดเงินไป บริหารจัดการโครงข่ายให้ได้ดีมีคุณภาพ คลื่น 900 ราคา 38,000 ล้านก็อาจจะได้เป็นของรายใหม่ เพราะรายใหม่แบกต้นทุนเพียงคลื่นเดียวมันไหวอยู่แล้ว เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคให้ได้มีทางเลือกในการใช้บริการ
ส่วนตัวเห็นว่า dtac ไม่ต้องเข้าประมูลคลื่นใดๆ ตามความต้องการของกสทช.ก็ได้ เอาเงิน 38,000 ล้านไปบริหารจัดการโครงข่ายให้ดีมีคุณภาพ ให้ผู้ใช้บริการได้รับประสบการณ์ที่ดี ดีกว่าเยอะเลย
จากคำพูด ดร.สุพจน์ dtac น่าจะได้เยียวยา 850 ไปได้เรื่อยๆใช่มั้ยครับ
อย่างไรก็ดี สำหรับสถานการณ์ในขณะนี้ ดร.สุพจน์ ชี้ว่า สังคมให้ความสนใจ “ผิดจุด” ในสองประเด็น
“ประเด็นแรกคือ ตอนนี้เราไปโฟกัสว่าดีแทคจะได้หรือไม่ได้เยียวยาฯ แต่จริง ๆ ต้องถามว่า กสทช. มีอำนาจหน้าที่อะไร และการจัดสรรคลื่นความถี่ให้แก่ผู้รับใบอนุญาตใหม่ให้แล้ว เสร็จคืองานของใคร มันคือหน้าที่ กสทช. เพราะฉะนั้น กสทช. จะมาอ้างว่า ครั้งก่อนจัดประมูลไม่ได้ ครั้งนี้จัดประมูลได้แล้วก็จบกัน ดีแทคไม่เข้า เพราะฉะนั้นดีแทคไม่ได้รับการเยียวยา ตราบใดที่ กสทช. จัดประมูลแล้วไม่มีผู้ชนะการประมูล ไม่มีผู้ได้รับใบอนุญาตใหม่ ถือว่า กสทช. ยังทำหน้าที่ของตนเองไม่ครบถ้วนนะครับ”
“ระเบียบนี้ผมเชื่อว่าบังคับได้ และต้องมีการเยียวยา จริง ๆ ดีแทคไม่ต้องไปขอรับการเยียวยาเลย การเยียวยาต้องมาเอง”
“สองคือ ในเงื่อนไขเพิ่มเติมของ กสทช. ระบุไว้ว่า ว่าถ้าดีแทคไม่เข้าร่วมการประมูลก็จะไม่ได้รับสิทธิเยียวยา คืออุตส่าห์เขียนไว้ดิบดีที่แท้ก็ไม่ได้คำนึงถึงผู้บริโภคเลย”
https://www.thebangkokinsight.com/43520/
จากที่กล่าวมา กสทช.มีหน้าที่เพียงจัดประมูลให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ไม่ได้มีหน้าที่บีบกดดันใครเข้าประมูลนะครับ ซึ่ง dtac ก็ได้เสนอราคาทางการตลาด และระยะเวลาที่ dtac เห็นว่าเหมาะสมในช่วงเวลานี้แล้ว แต่กสทช.ก็ไม่ได้เลือกปฏิบัติ แล้วจะให้ทำยังไงต่อล่ะ
ดูๆแล้ว การประมูลมัน 2 มาตราฐานมาตั้งแต่ทีแรกเนอะ ครั้งแรกปี 58 ประมูลด้วยราคาทางการตลาด ประมูลครั้งที่ 2 ด้วยราคาสุดท้ายของผู้ชนะปี 58 เอาสถานะทางการเงินของผู้เข้าประมูลครั้งต่อไปมาพัวพันเกี่ยวดองกับผู้ประมูลรอบเก่า มันใช่หลักมาตราฐานการประมูลหรือ
ถ้ากสทช.กลัวว่าหนทางนี้จะทำให้ true กับ ais เสียเปรียบทางธุรกิจ จริงๆมันไม่น่าเกี่ยวนะ เพราะการประมูลหรือซื้อของอะไรไปใช้ประโยชน์ มันต้องดูเงินในกระเป๋า ณ ขณะนั้น มีพอซื้อของคุณมั้ย
สมมติว่า ตัวคุณขายบัตรเติมเงินมือถือ แล้วมีลูกค้าที่เป็นพ่อบ้านทำงานได้เงินวันละ 300 บาท ต้องแบ่งเงินให้กับคนในครอบครัว ค่าอาหาร ค่ายา ค่าโทรศัพท์ แล้วคุณก็ไปบังคับให้เขาซื้อบัตรเติมเงินคุณ 300 บาท โดยไม่ให้เหลือเงินไว้ในครอบครัวของเขาเลย แล้วเขาจะอยู่ได้ยังไง
กรณีของ dtac ก็เช่นเดียวกัน หากว่า เอาตังค์ไปจ่ายค่าคลื่นที่ถูกปั่นราคาเกินจริงแต่ทีแรก ซึ่งถ้า dtac ซื้อไปแล้ว ทำให้ได้รับต้นทุนทำธุรกิจเกินจริง ส่งผลให้ลูกค้า dtac ไม่ได้รับบริการที่ดีล่ะ เพราะต้นทุนที่สูงเกินจริง สามารถทำให้การบริหารโครงข่ายมีปัญหาทั้งระบบ เดี๋ยวเน็ตช้าบ้าง เน็ตหมุนติ้วบ้าง โทรไม่ติดบ้าง เพราะ 900 ที่ราคาสูงเกินจริงทำให้การบริหารเครือข่ายองค์รวมมีปัญหา
บางที dtac อาจมองว่าการไม่เอาคลื่น 900 คือ การคุ้มครองผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ให้ได้รับบริการที่มีคุณภาพดี แต่ถ้าเอาคลื่น 900 มา มันจะพังทั้งระบบ ไม่เอา 900 อาจมีแผลถลอกปอกเปิกบ้าง แต่เอา 900 แพง ก็เหมือนเอามีดปาดคอตัวเอง เพราะต้นทุนของ dtac ไม่ได้มีแค่คลื่น 900 นะ ยังมีต้นทุนคลื่นอื่นอีกหลายคลื่น ซึ่งบางคลื่นค่าเฉลี่ยรายปีแพงกว่าคลื่น 900 อีก ถ้ามีต้นทุน 900 ตัวเดียวพอว่า
ถึงแม้ว่าก่อนขึ้นศาล dtac ยอมรับราคาคลื่น 900 ได้ หากเงื่อนไขอย่างอื่นดี อาจจะเพราะได้พิจารณาจากสภาพธุรกิจในวันนั้นก่อน จำนวนลูกค้าในวันนั้น แต่วันนี้อาจจะเป็นอีกอย่าง รายได้จากธุรกิจลดลง ลูกค้าก็ลดลงเพราะข่าวโน่นบ้าง ข่าวนี้บ้าง
เหมือนนักธุรกิจ เดือนก่อนหาตังค์ได้ 10 ล้าน มีเงินซื้อรถเบนซ์ เดือนนี้หาตังค์ได้แค่ล้านเดียว มีตังค์ซื้อรถโตโยต้า จะให้ไปปล้นจี้เงินใครมาซื้อรถเบนซ์หรือ
ส่วนตัวเชื่อว่า การที่ dtac ไม่เข้าประมูลคลื่น 900 เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย dtac ก็จะประหยัดเงินไป บริหารจัดการโครงข่ายให้ได้ดีมีคุณภาพ คลื่น 900 ราคา 38,000 ล้านก็อาจจะได้เป็นของรายใหม่ เพราะรายใหม่แบกต้นทุนเพียงคลื่นเดียวมันไหวอยู่แล้ว เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคให้ได้มีทางเลือกในการใช้บริการ
ส่วนตัวเห็นว่า dtac ไม่ต้องเข้าประมูลคลื่นใดๆ ตามความต้องการของกสทช.ก็ได้ เอาเงิน 38,000 ล้านไปบริหารจัดการโครงข่ายให้ดีมีคุณภาพ ให้ผู้ใช้บริการได้รับประสบการณ์ที่ดี ดีกว่าเยอะเลย