ผ่าม พ้าม ... ออกตัวก่อนว่า ไม่ได้มีปัญหาอะไรเรื่องนี้นะคะ ครอบครัวดิฉันและสามีผูกสมัครรักใคร่ อยู่ด้วยกันอย่างสันติมีความสุขสงบตามอัตภาพ
แรงจูงใจในการเขียนกระทู้ เกิดจากเมื่อวาน ขณะที่ดิฉันกำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งอยู่ เธอก็ขอตัวไปรับสายแทรกที่พยายามโทร.เข้ามาถึงเธอ
อีกพักใหญ่ ๆ ต่อมา พี่คนนี้ก็โทร.เข้ามาเล่าว่า สายเมื่อครู่ที่แทรกเข้ามาเป็นสายของรุ่นพี่ผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เคารพนับถือกันโทร.มาขอฤกษ์กับเธอ ...
ฤกษ์อะไรน่ะเหรอคะ ?


ฤกษ์ที่จะเอาไปเฉ่งลูกสะใภ้น่ะสิคะ ด้วยว่าคุณแม่สามีคนนี้ เห็นว่า ลูกสะใภ้ถลุงเงินโครม ๆ มาเบิกเงินบริษัทที่ลูกชายเธอเปิด และให้คุณแม่ช่วยดูแลบัญชีให้เป็นจำนวนมาก

แล้วคุณแม่สามีก็สาธยาย ถึงวีรกรรมที่ลูกสะใภ้วัยสาวยี่สิบกว่า ๆ มีกระเป๋าแบรนด์เนมมากมายก่ายกอง แล้วยังเผื่อแผ่ขนญาติโหติกามาช่วยใช้เงิน เบิกโน่น นี่ นั่นเป็นจำนวนมาก
เฮ้อ... เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องแรกที่ดิฉันได้ยิน และรับรู้ แต่ดิฉันว่ายวนอยู่กับสังคม เพื่อนฝูงที่เป็นครอบครัวใหญ่มีวงศาคณาญาติต่างแบ็คกราวน์มารวม ๆ กันเป็นครอบครัวมหึมามาตั้งแต่เด็กแล้ว นับตั้งแต่เพื่อนสนิท เพื่อนข้างบ้าน ไปจนถึงญาติตัวเอง แล้วจะด้วยบุญหรือกรรมแบบไหนที่ทำมาก็ตาม ดิฉันก็มักมีใครต่อใครมาเล่าอะไรต่อมิอะไรให้ฟังอยู่เสมอ กระทั่ง เรื่องราวในชีวิตวัยเด็กมาก ๆ บางเรื่องของสามี ดิฉันยังรู้มากกว่าตัวสามีเองเลยเสียอีก เพราะพี่สาวสามีเป็นคนเล่าให้ฟัง
สมัยดิฉันยังเป็นนักศึกษาวัยละอ่อน เคยไปเที่ยวแวะพักที่บ้านเพื่อนสนิทที่ต่างจังหวัด ครั้งหนึ่ง วงญาติผู้ใหญ่เพื่อนล้อมวงกันคุยเรื่องคุณพ่อเพื่อนมีภรรยาน้อย จะจัดการทำอะไรอย่างไร มีอภิปรายทุ่มเถียงกันใหญ่โต อ้าว... ก็บ้านกงสีสมบัติเยอะนี่นา โดยมีเพื่อนดิฉันคอยนั่งปกป้องแม่ที่นั่งหน้าซีดอยู่ในวง ดิฉันเดินตัวลีบ ๆ หมายจะขอตัวออกมาข้างนอก คุณอาเพื่อนสั่งเสียงดังลั่นวงสนทนา
“*** (ชื่อดิฉัน) นั่งฟังอยู่ในนี้แหละ ไม่ต้องไปไหน โตแล้ว อีกหน่อยเจอปัญหานี้ จะได้รู้ว่าควรต้องทำยังไง”
เลยขอแชร์เรื่องที่เคยได้ยิน ได้เห็น ได้รู้มา ในวงสนทนาเรื่องความรัก การใช้ชีวิต และ ชีวิตครอบครัวในนี้แล้วกันนะคะ
แต่วันนี้ ขอโฟกัสเรื่องลูกสะใภ้ กับ แม่สามีก่อน
เวลามีกระทู้ที่เกี่ยวกับปัญหาพวกนี้ในพันทิป ดิฉันมักจะตอบเข้าข้างแม่สามีหรือตอบในแนวทางที่อยากให้เข้าอกเข้าใจแม่สามีเสมอ ดิฉันคิดตลอดว่า ทุกครั้งที่เรานึกปลื้มกับความโชคดีที่ เราได้ผู้ชายที่คุณสมบัติดี นิสัยดี มีความรับผิดชอบมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ส่วนหนึ่ง คนที่ควรจะต้องได้รับเครดิตมากที่สุด ก็คือ แม่ของเค้า ที่อุ้มท้อง คลอด อบรม ปลูกฝัง เลี้ยงดูให้เค้าดีมาทุกวันนี้ได้ เพราะงั้นอะไรหนักนิดเบาหน่อย ถ้าไม่หนักหนาสาหัสก็หยวน ๆ ไปเถอะ มีประโยชน์มากกว่าโทษแน่ ๆ (เดี๋ยวจะจาระไนให้ฟัง ว่าดีกว่ายังไง)
แต่ ขอเขียนคำว่า “แต่” ตัวโต ๆ นะคะ
แต่อย่างไรก็ตาม ดิฉันเองก็มักแนะนำใครต่อใครเสมอ ทั้งฝั่งลูกสะใภ้ และ แม่สามีว่า “แยกบ้านกันอยู่” เถอะอย่างน้อยในช่วงต้น ๆ ของชีวิตแต่งงานก็ควรมีเวลาให้สามีภรรยาได้อยู่และมีพื้นที่และชีวิตส่วนตัวของตัวเองบ้างก็จะดีไม่น้อย และถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องติดตามชีวิตกันทางสื่อสังคมออนไลน์มากด้วย...ได้โปรด ... มันดีกับทุกฝ่ายจริง ๆ นะ
1. การอยู่บ้านแยกกันไปคนละหลัง ทำให้มีความเป็นส่วนตัว
ความเป็นส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับชีวิตคู่มากนะคะ คู่สามีภรรยาหนุ่มสาว อาจยังติดเที่ยว นอกดึก ตื่นสาย การตื่นขึ้นมาตอนสิบโมงเช้า และต้องลงมากล่าวทักทายพ่อแม่ (ที่ท่านน่าจะตื่นตั้งแต่ตีห้าแล้ว) ต่อให้ท่านไม่วิจารณ์หรือว่าอะไร แต่มันก็รู้สึกอึดอัด ประดักประเดิดอยู่ดี ที่หนักกว่านั้น บางบ้าน แม่ที่ไม่ชอบนิสัยบางอย่างของลูกสะใภ้ด้วย อาจจะเริ่มจากการมองด้วยหางตา ประชด จิกกัดเบา ๆ จนแตกหักด่าว่ากัน แล้วให้ลูกชายที่เป็นคนกลางเลือกว่า “จะเอาเมียหรือจะเอาแม่”
พอเรื่องไปถึงขั้นนั้นแล้ว มันยากที่จะประสานรอยร้าวแล้วนะคะ
ผู้ชายหลายคน โดนแม่ประคบประหงมดูแลมาแบบคุณหนู คุณชาย น้ำไม่เคยต้องรินเอง เสื้อผ้าไม่เคยต้องซักเอง ... เอาแฟน หรือ เอาเมียเข้าบ้าน ดูแลเอาใจทุกอย่าง แล้วก็ทำมันต่อหน้าตำตาให้แม่ได้เห็น ... แม่ก็ยิ่งเจ็บใจ น้อยใจว่า “ทีกับแม่ล่ะไม่เคย ... ทีกับเมียทำให้ทุกอย่าง”
เพื่อน(ที่เคย)สนิทดิฉันคนหนึ่ง ไปอยู่บ้านแฟน ... ด้วยความที่อายุยังน้อย ก็ไปแบบยังเหนียม ๆ กระ

ๆ ไม่กล้าออกไปสู้หน้าแม่แฟนเท่าไร อาจจะด้วยกลัวสายตาที่มีคำถามว่า “เป็นสาวเป็นนาง ทำไมมาอยู่บ้านผู้ชายพายเรือ”
เธอก็แก้ปัญหาง่าย ๆ ด้วยการเก็บตัวอยู่ในห้องทั้งวัน คุณแฟนเอากับข้าวมาให้กิน เอาเสื้อไปซักให้ ซักให้กระทั่งกางเกงใน...
Oh my goodness ... มันทำลงไปได้ไงเนี่ย ... ดิฉันได้แต่อุทานในใจ

ผลเหรอคะ ... แม่แฟนที่หวงลูกชายคนโต เพราะเลี้ยงมาอย่างดี แล้วลูกชายก็เรียนดี ประวัติเด่น นิสัยน่ารัก กตัญญู ก็เกลียดเพื่อนดิฉันคนนี้ไปเลย ... เหตุผลหนึ่งที่เพื่อนดิฉันเลิกกับแฟนคนนี้ ก็เพราะ “แม่เธอไม่ชอบชั้น”
ผู้ชายหลายคน ที่แม่ถนอมกล่อมเกลี้ยงมาอย่างดี เลี้ยงดูราวเจ้าชายน้อย งานบ้านไม่เคยแตะ เคยจับ พออยู่กับแฟน ต้องมาช่วยซักผ้า ถูบ้าน คอยฟังเมียบ่น หรือถูกเมียใช้ทำโน่นนี่นั่น
คนเป็นแม่มาเห็น ... มันก็ช้ำใจ และอิจฉาเป็นธรรมดา แม่ก็คนนะค้าบ... ไม่ใช่เทวดา นางฟ้า หรือคนตัดกิเลสได้หมด มาเห็นแบบนี้ ใครจะไปทนได้
แถม...บางบ้าน แม่สามีกับลูกสะใภ้ไม่ถูกกัน สะใภ้ก็อาจจะคิดน้อย ... สั่งลูกชายแม่ต่อหน้าแม่ เย้ยกันไปเห็น ๆ เลยว่า
“ตากผ้าด้วยนะ แล้วเอาขยะไปทิ้ง”
โห... นี่มันขยี้หัวใจกันชัด ๆ
เพื่อนรุ่นพี่ดิฉันบางคน เลี้ยงลูกชนิดที่ว่าริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด กกกอดมาตั้งเด็ก ลูกโตเป็นหนุ่มแล้ว ยังตัดเล็บให้ ปอกส้ม ก็ลอกเปลือก แคะเม็ด ตัดพอดีคำเรียงใส่ทัปเปอร์แวร์ไว้อย่างดี เธอเล่าให้ดิฉันฟังด้วยว่า ตอนเด็ก ๆ เวลาลูกเธอผิวตรงขาแห้ง “พี่ก็ควักลาแมร์ทาให้นะคะ”
เลี้ยงกันมาขนาดนี้ ถ้าเห็นไปเอาใจเมีย สงสัยใจพี่คงแสบ ๆ คัน ๆ เจ็บ ๆ ระบมพิลึก
เพราะงั้น แก้ปัญหา แยกบ้านกันไป แม่ไม่ต้องเห็นความเป็นอยู่ของคู่ผัวตัวเมีย ... ตัดปัญหาเปลาะนี้ไปง่าย ๆ
2. ทำให้ลดการกระทบกระทั่ง
เห็นหน้ากันทุกวัน อยู่ด้วยกันทุกวัน วิถีการใช้ชีวิต มาตรฐานความสะอาดต่างกัน นี่มิพักยังไม่ต้องพูดถึงเรื่อง ทัศนคติ และแนวคิดต่อเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนกันอีกนะคะ ทำให้กระทบกระทั่งกันได้ง่าย กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่าง กินน้ำแล้วควรล้างแก้วทันที หรือ ปล่อยให้กอง ๆ ไว้แล้วมาล้างทีเดียว ล้างจานแล้วจะผึ่งให้แห้ง หรือ จะต้องรีบเช็ดให้แห้งแล้วเก็บเข้าตู้
ของมโนสาเร่ที่ดู “ไม่เป็นเรื่อง” นี่แหละค่ะ ทำให้เป็นเรื่องมาได้มากแล้ว
เวลาเมียกับแม่ทะเลาะกัน คนที่น่าสงสารที่สุด คือ ฝ่ายคนกลางค่ะ เข้าข้างเมีย ก็จะโดนหาว่า หลงเมียมากกว่าแม่ อกตัญญู โดนทำเสน่ห์ใส่ เข้าข้างแม่ ก็จะโดนหาว่า เป็นลูกแหง่ ฟังความข้างเดียว
เพราะงั้น การแยกบ้าน ไม่ต้องมาเห็นกันทุกวันในทุกมุมของชีวิต ก็จะทำให้ปัญหาเบาบางไปได้
3. ทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกอิสระ ไม่รู้สึกกดดัน

ต่อให้ไม่มีปัญหาอะไรข้างต้นที่ว่ามา แต่การต้องอยู่รวมกันในบ้านเดียวกันแล้วรู้สึกว่า
- อาจถูกจับตามอง หรือ วิจารณ์ในเรื่องการใช้ชีวิต
- อาจถูกถามเรื่องส่วนตัวบ่อย ๆ เช่น เมื่อไรจะมีลูก
ความรู้สึกกดดันเหล่านี้ จะเหมือนคลื่นใต้น้ำที่ค่อย ๆ ก่อตัวจนอาจเป็นปัญหาใหญ่ได้ในที่สุด
4. ทำให้ต่างฝ่ายต่างรับผิดชอบภาระเรื่องเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ ของบาดใจกันไปได้
การเข้ามาอยู่บ้านฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เรื่องเงินทองก็อาจเป็นประเด็น ของบางอย่างที่เป็นกองกลางมักมีคำถามว่า “ใครจะจ่าย จ่ายเท่าไรถึงจะยุติธรรม”
เช่น ลูกสะใภ้ชอบเปิดแอร์ทั้งคืน น้องสาวสามีชอบเปิดคอมฯทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืน แล้วใครจ่ายค่าไฟ จะหุ้น จะหาร จะแชร์กันยังไง
คนที่บอกว่า เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ มักต้องเป็นคนที่หาได้มากพอที่จะขีดวงให้เงินกลายเป็นเรื่องเล็กได้แล้ว แต่ในช่วงเริ่มสร้างตัว แล้วมาหมองใจกันเรื่องเงิน มันคือ การเริ่มต้นที่ไม่ดีค่ะ
5. ทำให้ครอบครัวเหนียวแน่นและยั่งยืนกว่าการอยู่รวมกัน
ฝรั่งบอกว่า Distance makes hearts grow fonder. อยู่ห่าง ๆ กันไว้บ้าง จะทำให้รักกันมากขึ้น ก็ด้วยเหตุผลข้างต้นนี่ล่ะค่ะ
อ้อ... กระทู้เรื่องนี้ จะจบลงไม่ได้ ถ้าไม่ได้บอกข้อสรุปข้างบนไปว่า ตกลงเพื่อนรุ่นพี่ดิฉัน ตอบคุณแม่สามีท่านนั้นไปว่าอย่างไร เธอตอบปฏิเสธการให้ฤกษ์ค่ะ เธอบอกสั้น ๆ ว่า “ทำไม่ได้หรอกค่ะ ฤกษ์ยามไม่ได้เอาไว้ทำอะไรแบบนั้น”
แต่เธอมาขยายความกับดิฉันว่า “ถึงให้ได้ ก็ไม่ให้ จะให้ได้ยังไง ก็ดูลูกชายแกก็ชอบให้เมียเป็นแบบนี้”
เป็นแบบไหนอ่ะคะพี่ ? ดิฉันถามต่อ
ก็เป็นประเภท แต่งตัวเซ็กซี่ แหวกเห็นครึ่งเต้า เสื้อผ้าหน้าผมประโคมด้วยแบรนด์เนม และวัน ๆ เมียที่ไม่ต้องทำงาน ก็มาโพสต์เรื่องความสำเร็จด้านเงิน ๆ ทอง ๆ บ้านหลังใหญ่ ๆ ให้คนมองตามด้วยความ “อู้หู”
เมียลูกแกก็แรงนะคะน้อง**(ชื่อดิฉัน) โพสต์แต่ละรูปแรงเว่อร์ทั้งนั้น เช่น โพสต์รูปเอาเท้ายันหลังสามีบ้าง อะไรทำนองนี้
ในรูป ลูกแกก็ยิ้มระรื่น (รับฝ่าเท้า)เมียอย่างเบิกบาน
เมียลูกชายแก อายุเพิ่งยี่สิบกว่า ๆ ลูกแกสี่สิบกว่าแล้วนะคะ ทำธุรกิจขายตรง โค้ชชิ่งอะไรทำนองนั้น และประสบความสำเร็จ หาเงินได้มาก ก็อาจเป็นได้ว่า ภาพลักษณ์แบบฉูดฉาดของคุณภรรยาอาจจะช่วยเพิ่ม wow effect ให้คนมาทึ่งในตัวลูกชายมากขึ้น และทำให้ผู้ชายรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จที่หาให้ภรรยาได้ใช้ชีวิตแบบนั้นได้
เฮ้อ... ส่วนคุณแม่สามี จะให้ทำอย่างไรน่ะหรือคะ ?
กรณีนี้ ได้แต่แนะนำให้ถนอมเนื้อถนอมตัวถนอมใจ และปล่อยวางไปค่ะ
เม้ามอยเรื่องลูกสะใภ้ตัวดี แม่สามีตัวร้าย ในสารพันครอบครัวเท่าที่ได้ยินได้ฟังมา
แรงจูงใจในการเขียนกระทู้ เกิดจากเมื่อวาน ขณะที่ดิฉันกำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งอยู่ เธอก็ขอตัวไปรับสายแทรกที่พยายามโทร.เข้ามาถึงเธอ
อีกพักใหญ่ ๆ ต่อมา พี่คนนี้ก็โทร.เข้ามาเล่าว่า สายเมื่อครู่ที่แทรกเข้ามาเป็นสายของรุ่นพี่ผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เคารพนับถือกันโทร.มาขอฤกษ์กับเธอ ...
ฤกษ์อะไรน่ะเหรอคะ ?
ฤกษ์ที่จะเอาไปเฉ่งลูกสะใภ้น่ะสิคะ ด้วยว่าคุณแม่สามีคนนี้ เห็นว่า ลูกสะใภ้ถลุงเงินโครม ๆ มาเบิกเงินบริษัทที่ลูกชายเธอเปิด และให้คุณแม่ช่วยดูแลบัญชีให้เป็นจำนวนมาก
แล้วคุณแม่สามีก็สาธยาย ถึงวีรกรรมที่ลูกสะใภ้วัยสาวยี่สิบกว่า ๆ มีกระเป๋าแบรนด์เนมมากมายก่ายกอง แล้วยังเผื่อแผ่ขนญาติโหติกามาช่วยใช้เงิน เบิกโน่น นี่ นั่นเป็นจำนวนมาก
เฮ้อ... เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องแรกที่ดิฉันได้ยิน และรับรู้ แต่ดิฉันว่ายวนอยู่กับสังคม เพื่อนฝูงที่เป็นครอบครัวใหญ่มีวงศาคณาญาติต่างแบ็คกราวน์มารวม ๆ กันเป็นครอบครัวมหึมามาตั้งแต่เด็กแล้ว นับตั้งแต่เพื่อนสนิท เพื่อนข้างบ้าน ไปจนถึงญาติตัวเอง แล้วจะด้วยบุญหรือกรรมแบบไหนที่ทำมาก็ตาม ดิฉันก็มักมีใครต่อใครมาเล่าอะไรต่อมิอะไรให้ฟังอยู่เสมอ กระทั่ง เรื่องราวในชีวิตวัยเด็กมาก ๆ บางเรื่องของสามี ดิฉันยังรู้มากกว่าตัวสามีเองเลยเสียอีก เพราะพี่สาวสามีเป็นคนเล่าให้ฟัง
สมัยดิฉันยังเป็นนักศึกษาวัยละอ่อน เคยไปเที่ยวแวะพักที่บ้านเพื่อนสนิทที่ต่างจังหวัด ครั้งหนึ่ง วงญาติผู้ใหญ่เพื่อนล้อมวงกันคุยเรื่องคุณพ่อเพื่อนมีภรรยาน้อย จะจัดการทำอะไรอย่างไร มีอภิปรายทุ่มเถียงกันใหญ่โต อ้าว... ก็บ้านกงสีสมบัติเยอะนี่นา โดยมีเพื่อนดิฉันคอยนั่งปกป้องแม่ที่นั่งหน้าซีดอยู่ในวง ดิฉันเดินตัวลีบ ๆ หมายจะขอตัวออกมาข้างนอก คุณอาเพื่อนสั่งเสียงดังลั่นวงสนทนา
“*** (ชื่อดิฉัน) นั่งฟังอยู่ในนี้แหละ ไม่ต้องไปไหน โตแล้ว อีกหน่อยเจอปัญหานี้ จะได้รู้ว่าควรต้องทำยังไง”
เลยขอแชร์เรื่องที่เคยได้ยิน ได้เห็น ได้รู้มา ในวงสนทนาเรื่องความรัก การใช้ชีวิต และ ชีวิตครอบครัวในนี้แล้วกันนะคะ
แต่วันนี้ ขอโฟกัสเรื่องลูกสะใภ้ กับ แม่สามีก่อน
เวลามีกระทู้ที่เกี่ยวกับปัญหาพวกนี้ในพันทิป ดิฉันมักจะตอบเข้าข้างแม่สามีหรือตอบในแนวทางที่อยากให้เข้าอกเข้าใจแม่สามีเสมอ ดิฉันคิดตลอดว่า ทุกครั้งที่เรานึกปลื้มกับความโชคดีที่ เราได้ผู้ชายที่คุณสมบัติดี นิสัยดี มีความรับผิดชอบมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ส่วนหนึ่ง คนที่ควรจะต้องได้รับเครดิตมากที่สุด ก็คือ แม่ของเค้า ที่อุ้มท้อง คลอด อบรม ปลูกฝัง เลี้ยงดูให้เค้าดีมาทุกวันนี้ได้ เพราะงั้นอะไรหนักนิดเบาหน่อย ถ้าไม่หนักหนาสาหัสก็หยวน ๆ ไปเถอะ มีประโยชน์มากกว่าโทษแน่ ๆ (เดี๋ยวจะจาระไนให้ฟัง ว่าดีกว่ายังไง)
แต่ ขอเขียนคำว่า “แต่” ตัวโต ๆ นะคะ
แต่อย่างไรก็ตาม ดิฉันเองก็มักแนะนำใครต่อใครเสมอ ทั้งฝั่งลูกสะใภ้ และ แม่สามีว่า “แยกบ้านกันอยู่” เถอะอย่างน้อยในช่วงต้น ๆ ของชีวิตแต่งงานก็ควรมีเวลาให้สามีภรรยาได้อยู่และมีพื้นที่และชีวิตส่วนตัวของตัวเองบ้างก็จะดีไม่น้อย และถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องติดตามชีวิตกันทางสื่อสังคมออนไลน์มากด้วย...ได้โปรด ... มันดีกับทุกฝ่ายจริง ๆ นะ
1. การอยู่บ้านแยกกันไปคนละหลัง ทำให้มีความเป็นส่วนตัว
ความเป็นส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับชีวิตคู่มากนะคะ คู่สามีภรรยาหนุ่มสาว อาจยังติดเที่ยว นอกดึก ตื่นสาย การตื่นขึ้นมาตอนสิบโมงเช้า และต้องลงมากล่าวทักทายพ่อแม่ (ที่ท่านน่าจะตื่นตั้งแต่ตีห้าแล้ว) ต่อให้ท่านไม่วิจารณ์หรือว่าอะไร แต่มันก็รู้สึกอึดอัด ประดักประเดิดอยู่ดี ที่หนักกว่านั้น บางบ้าน แม่ที่ไม่ชอบนิสัยบางอย่างของลูกสะใภ้ด้วย อาจจะเริ่มจากการมองด้วยหางตา ประชด จิกกัดเบา ๆ จนแตกหักด่าว่ากัน แล้วให้ลูกชายที่เป็นคนกลางเลือกว่า “จะเอาเมียหรือจะเอาแม่”
พอเรื่องไปถึงขั้นนั้นแล้ว มันยากที่จะประสานรอยร้าวแล้วนะคะ
ผู้ชายหลายคน โดนแม่ประคบประหงมดูแลมาแบบคุณหนู คุณชาย น้ำไม่เคยต้องรินเอง เสื้อผ้าไม่เคยต้องซักเอง ... เอาแฟน หรือ เอาเมียเข้าบ้าน ดูแลเอาใจทุกอย่าง แล้วก็ทำมันต่อหน้าตำตาให้แม่ได้เห็น ... แม่ก็ยิ่งเจ็บใจ น้อยใจว่า “ทีกับแม่ล่ะไม่เคย ... ทีกับเมียทำให้ทุกอย่าง”
เพื่อน(ที่เคย)สนิทดิฉันคนหนึ่ง ไปอยู่บ้านแฟน ... ด้วยความที่อายุยังน้อย ก็ไปแบบยังเหนียม ๆ กระ
เธอก็แก้ปัญหาง่าย ๆ ด้วยการเก็บตัวอยู่ในห้องทั้งวัน คุณแฟนเอากับข้าวมาให้กิน เอาเสื้อไปซักให้ ซักให้กระทั่งกางเกงใน...
Oh my goodness ... มันทำลงไปได้ไงเนี่ย ... ดิฉันได้แต่อุทานในใจ
ผลเหรอคะ ... แม่แฟนที่หวงลูกชายคนโต เพราะเลี้ยงมาอย่างดี แล้วลูกชายก็เรียนดี ประวัติเด่น นิสัยน่ารัก กตัญญู ก็เกลียดเพื่อนดิฉันคนนี้ไปเลย ... เหตุผลหนึ่งที่เพื่อนดิฉันเลิกกับแฟนคนนี้ ก็เพราะ “แม่เธอไม่ชอบชั้น”
ผู้ชายหลายคน ที่แม่ถนอมกล่อมเกลี้ยงมาอย่างดี เลี้ยงดูราวเจ้าชายน้อย งานบ้านไม่เคยแตะ เคยจับ พออยู่กับแฟน ต้องมาช่วยซักผ้า ถูบ้าน คอยฟังเมียบ่น หรือถูกเมียใช้ทำโน่นนี่นั่น
คนเป็นแม่มาเห็น ... มันก็ช้ำใจ และอิจฉาเป็นธรรมดา แม่ก็คนนะค้าบ... ไม่ใช่เทวดา นางฟ้า หรือคนตัดกิเลสได้หมด มาเห็นแบบนี้ ใครจะไปทนได้
แถม...บางบ้าน แม่สามีกับลูกสะใภ้ไม่ถูกกัน สะใภ้ก็อาจจะคิดน้อย ... สั่งลูกชายแม่ต่อหน้าแม่ เย้ยกันไปเห็น ๆ เลยว่า
“ตากผ้าด้วยนะ แล้วเอาขยะไปทิ้ง”
โห... นี่มันขยี้หัวใจกันชัด ๆ
เพื่อนรุ่นพี่ดิฉันบางคน เลี้ยงลูกชนิดที่ว่าริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด กกกอดมาตั้งเด็ก ลูกโตเป็นหนุ่มแล้ว ยังตัดเล็บให้ ปอกส้ม ก็ลอกเปลือก แคะเม็ด ตัดพอดีคำเรียงใส่ทัปเปอร์แวร์ไว้อย่างดี เธอเล่าให้ดิฉันฟังด้วยว่า ตอนเด็ก ๆ เวลาลูกเธอผิวตรงขาแห้ง “พี่ก็ควักลาแมร์ทาให้นะคะ”
เลี้ยงกันมาขนาดนี้ ถ้าเห็นไปเอาใจเมีย สงสัยใจพี่คงแสบ ๆ คัน ๆ เจ็บ ๆ ระบมพิลึก
เพราะงั้น แก้ปัญหา แยกบ้านกันไป แม่ไม่ต้องเห็นความเป็นอยู่ของคู่ผัวตัวเมีย ... ตัดปัญหาเปลาะนี้ไปง่าย ๆ
2. ทำให้ลดการกระทบกระทั่ง
เห็นหน้ากันทุกวัน อยู่ด้วยกันทุกวัน วิถีการใช้ชีวิต มาตรฐานความสะอาดต่างกัน นี่มิพักยังไม่ต้องพูดถึงเรื่อง ทัศนคติ และแนวคิดต่อเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนกันอีกนะคะ ทำให้กระทบกระทั่งกันได้ง่าย กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่าง กินน้ำแล้วควรล้างแก้วทันที หรือ ปล่อยให้กอง ๆ ไว้แล้วมาล้างทีเดียว ล้างจานแล้วจะผึ่งให้แห้ง หรือ จะต้องรีบเช็ดให้แห้งแล้วเก็บเข้าตู้
ของมโนสาเร่ที่ดู “ไม่เป็นเรื่อง” นี่แหละค่ะ ทำให้เป็นเรื่องมาได้มากแล้ว
เวลาเมียกับแม่ทะเลาะกัน คนที่น่าสงสารที่สุด คือ ฝ่ายคนกลางค่ะ เข้าข้างเมีย ก็จะโดนหาว่า หลงเมียมากกว่าแม่ อกตัญญู โดนทำเสน่ห์ใส่ เข้าข้างแม่ ก็จะโดนหาว่า เป็นลูกแหง่ ฟังความข้างเดียว
เพราะงั้น การแยกบ้าน ไม่ต้องมาเห็นกันทุกวันในทุกมุมของชีวิต ก็จะทำให้ปัญหาเบาบางไปได้
3. ทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกอิสระ ไม่รู้สึกกดดัน
ต่อให้ไม่มีปัญหาอะไรข้างต้นที่ว่ามา แต่การต้องอยู่รวมกันในบ้านเดียวกันแล้วรู้สึกว่า
- อาจถูกจับตามอง หรือ วิจารณ์ในเรื่องการใช้ชีวิต
- อาจถูกถามเรื่องส่วนตัวบ่อย ๆ เช่น เมื่อไรจะมีลูก
ความรู้สึกกดดันเหล่านี้ จะเหมือนคลื่นใต้น้ำที่ค่อย ๆ ก่อตัวจนอาจเป็นปัญหาใหญ่ได้ในที่สุด
4. ทำให้ต่างฝ่ายต่างรับผิดชอบภาระเรื่องเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ ของบาดใจกันไปได้
การเข้ามาอยู่บ้านฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เรื่องเงินทองก็อาจเป็นประเด็น ของบางอย่างที่เป็นกองกลางมักมีคำถามว่า “ใครจะจ่าย จ่ายเท่าไรถึงจะยุติธรรม”
เช่น ลูกสะใภ้ชอบเปิดแอร์ทั้งคืน น้องสาวสามีชอบเปิดคอมฯทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืน แล้วใครจ่ายค่าไฟ จะหุ้น จะหาร จะแชร์กันยังไง
คนที่บอกว่า เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ มักต้องเป็นคนที่หาได้มากพอที่จะขีดวงให้เงินกลายเป็นเรื่องเล็กได้แล้ว แต่ในช่วงเริ่มสร้างตัว แล้วมาหมองใจกันเรื่องเงิน มันคือ การเริ่มต้นที่ไม่ดีค่ะ
5. ทำให้ครอบครัวเหนียวแน่นและยั่งยืนกว่าการอยู่รวมกัน
ฝรั่งบอกว่า Distance makes hearts grow fonder. อยู่ห่าง ๆ กันไว้บ้าง จะทำให้รักกันมากขึ้น ก็ด้วยเหตุผลข้างต้นนี่ล่ะค่ะ
อ้อ... กระทู้เรื่องนี้ จะจบลงไม่ได้ ถ้าไม่ได้บอกข้อสรุปข้างบนไปว่า ตกลงเพื่อนรุ่นพี่ดิฉัน ตอบคุณแม่สามีท่านนั้นไปว่าอย่างไร เธอตอบปฏิเสธการให้ฤกษ์ค่ะ เธอบอกสั้น ๆ ว่า “ทำไม่ได้หรอกค่ะ ฤกษ์ยามไม่ได้เอาไว้ทำอะไรแบบนั้น”
แต่เธอมาขยายความกับดิฉันว่า “ถึงให้ได้ ก็ไม่ให้ จะให้ได้ยังไง ก็ดูลูกชายแกก็ชอบให้เมียเป็นแบบนี้”
เป็นแบบไหนอ่ะคะพี่ ? ดิฉันถามต่อ
ก็เป็นประเภท แต่งตัวเซ็กซี่ แหวกเห็นครึ่งเต้า เสื้อผ้าหน้าผมประโคมด้วยแบรนด์เนม และวัน ๆ เมียที่ไม่ต้องทำงาน ก็มาโพสต์เรื่องความสำเร็จด้านเงิน ๆ ทอง ๆ บ้านหลังใหญ่ ๆ ให้คนมองตามด้วยความ “อู้หู”
เมียลูกแกก็แรงนะคะน้อง**(ชื่อดิฉัน) โพสต์แต่ละรูปแรงเว่อร์ทั้งนั้น เช่น โพสต์รูปเอาเท้ายันหลังสามีบ้าง อะไรทำนองนี้
ในรูป ลูกแกก็ยิ้มระรื่น (รับฝ่าเท้า)เมียอย่างเบิกบาน
เมียลูกชายแก อายุเพิ่งยี่สิบกว่า ๆ ลูกแกสี่สิบกว่าแล้วนะคะ ทำธุรกิจขายตรง โค้ชชิ่งอะไรทำนองนั้น และประสบความสำเร็จ หาเงินได้มาก ก็อาจเป็นได้ว่า ภาพลักษณ์แบบฉูดฉาดของคุณภรรยาอาจจะช่วยเพิ่ม wow effect ให้คนมาทึ่งในตัวลูกชายมากขึ้น และทำให้ผู้ชายรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จที่หาให้ภรรยาได้ใช้ชีวิตแบบนั้นได้
เฮ้อ... ส่วนคุณแม่สามี จะให้ทำอย่างไรน่ะหรือคะ ?
กรณีนี้ ได้แต่แนะนำให้ถนอมเนื้อถนอมตัวถนอมใจ และปล่อยวางไปค่ะ