สมัยเด็ก ๆ ตอนเรียนภาษาอังกฤษ คุณครูเคยสอนศัพท์คำหนึ่งคือคำว่า oxymoron แปลว่า ประโยคคำพูดที่มีความย้อนแย้งในตัวมันเอง
หัวกระทู้นี้ก็เช่นกันค่ะ น่าจะนับเป็น oxymoron ได้
เมียเก็บ เมียลับและกิ๊กของผู้ชายดี ๆ

ทุกคนมีคำถามแน่ ๆ ว่า ผู้ชายดี ๆ ที่ไหนจะไปมีเมียเก็บ เมียลับ และกิ๊ก หืม ?
วันนี้ ขอมาแชร์ให้ฟังนะคะ
ก่อนเล่าก็ขอสามไม่ก่อนค่ะ คือ ไม่ตัดสิน ไม่ด่าหยาบคาย ไม่หยามเหยียด นะคะ


ไม่ชอบใจอย่างไร จะแย้ง จะโต้ ก็แสดงความเห็นแบบใช้เหตุใช้ผลกันดี ๆ หรือทนอ่านไม่ไหว ข้ามไปก็ได้ค่ะ

ดิฉันคิดว่าตัวเองนี่ คงต้องมีสักชาตินึงที่เกิดเป็นบาทหลวง พอมาชาตินี้นี่ ชอบมีคนมาสารภาพและเล่าความอึดอัดใจ ความลับดำมืดให้ดิฉันฟังเยอะมากมาตั้งแต่เด็ก เรื่องหนัก ๆทั้งนั้น ประเภท แม่เพื่อนมีชู้ และชู้เป็นเพื่อนสนิทพ่อ เพื่อนใช้ยาเสพติดจนหลอน แอบแฟนไป ONS เรื่องเมียน้อยเมียเก็บ
กระทั่งไปบ้านเพื่อนสนิท ทางวงศาคณาญาติเพื่อนจะคุยเรื่องปัญหาภรรยาน้อยของคุณพ่อเพื่อน ดิฉันขยับขอตัวออกจากวงเพราะเห็นเป็นเรื่องในตระกูล คุณอาเพื่อนตวาดบอกให้นั่งลง ไม่ต้องไป “ฟังไว้นี่แหละ โตขึ้น เวลาเจอจะได้จัดการได้” เล่นเอาดิฉันยิ้มแห้งไปเลยทีเดียว

เรื่องพวกนี้ ดิฉันได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่นจนวัยยี่สิบกว่า และมักได้ยินเรื่องเล่าจากหลายมุม หลายด้าน ทำให้เหมือนจะเข้าใจมากขึ้น จนไม่กล้าชี้นิ้วกล่าวโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้อย่างจริงๆจังๆเลย แต่กลับชอบมานั่งหาเหตุผลว่า ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ชีวิตควรจะเป็นอย่างไรต่อไป
อ้อ... จริง ๆ เพื่อนฝ่ายหญิงที่เป็นแบบนี้ก็มีนะคะ เธอเพียบพร้อมไปหมด หน้าตาน่ารัก รูปร่างสูงโปร่ง ดีกรีพีเอชดีจากเมืองนอก และใครๆ ก็มองว่า เธอมีความสุขกับครอบครัวที่แสนจะสมบูรณ์แบบ สามีสูง หล่อ หน้าตาดี รวย เอาใจ พาไปเมืองนอกทุกปี ทริปในประเทศอีกแทบจะเดือนเว้นเดือน ลูกก็น่ารัก ขนาดนี้แล้ว ฝ่ายหญิงก็ยังมีนอกใจเหมือนกันนะคะ คิดวางแผนเป็นสเต็ปเพื่อจะไปอยู่กับคนที่เธอปันใจให้แล้ว
แต่เรื่องนี้ดิฉันเขียนเล่าได้ไม่ถนัด เนื่องจากเธอไม่ได้มาสารภาพเล่าเป็นฉาก ๆ ให้ดิฉันฟัง เหมือนเคสนี้ ดิฉันก็เลยไม่รู้รายละเอียดมาก และใครไม่เล่า ดิฉันก็ไม่รู้จะถามให้เสียมารยาทไปทำไม
ปีที่แล้ว ดิฉันเคยเขียนกระทู้นี้ที่พูดถึงงานวิจัยของฝรั่งที่ตั้งคำถามว่า “ทำไมคนเราถึงนอกใจ”
https://pantip.com/topic/37319557
สรุปให้ฟังได้สั้น ๆ ว่า สาเหตุหลักของการนอกใจมาจาก “การไม่ได้รับความพอใจหรือการตอบสนองทางอารมณ์ (emotional dissatisfaction) “
ซึ่งทำให้ดิฉันได้ข้อสรุปที่แสนจะไม่โรแมนติคว่า
1. “คนเราจะอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่นก็ต่อเมื่อสมประโยชน์กัน” ต่างฝ่ายต่างมีอะไรที่เกื้อหนุนอีกฝ่าย หรือทำให้อีกฝ่ายชอบใจหรือพอใจ
2. ความสัมพันธ์มีพลวัต คือ มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อการเปลี่ยนแปลงนั้นดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน พัฒนาไปด้วยจังหวะเสมอกัน ความไม่พอใจจะไม่เกิด การนอกกายและนอกใจจะไม่เกิด
ยกตัวอย่าง แบบเป็นรูปธรรมก็เช่น ครอบครัวผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองบางท่านที่ดิฉันเคยอ่านสัมภาษณ์ หรืออ่านงานเขียนของท่าน ก็เล่าถึงภรรยาด้วยความขอบคุณที่ต้องปรับตัว และพัฒนาทักษะบางอย่างที่ช่วยให้งานสามีเป็นไปอย่างราบรื่น อาทิ เช่น สามีได้โพสต์ไปเมืองนอก ภรรยาก็ต้องไปเรียนภาษาอังกฤษ เรียนการเข้าสังคม ทำอาหารเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถเกื้อหนุนงานสามีได้ ลดช่องว่างทางความสัมพันธ์

สามีภรรยาอีกคู่ในสังคมที่เลิกกันไปนานพอสมควรแล้วเป็นอีกตัวอย่างของการปรับตัวกันไม่ได้ค่ะ
ฝ่ายชายเป็นคนมาจากตระกูลธุรกิจเก่าแก่ใหญ่โต ส่วนฝ่ายหญิงก็มาจากตระกูลที่เป็นราชนิกูล เหมาะสมกันทั้งฐานะ ความรู้ ชาติตระกูล และรูปร่างหน้าตา
ฝ่ายชายมักถูกมองว่าเป็นหนุ่มหล่อ รวย มีรสนิยม และเจ้าชู้ หากแต่เมื่อเลิกกัน อดีตภรรยาออกมาให้สัมภาษณ์ได้น่าสนใจ ใช้เหตุผลและเป็นผู้ใหญ่มากค่ะ
เธอเล่าว่า อดีตสามีเธอเป็นคนแอ็คทีฟและชอบเล่นกีฬา ส่วนตัวเธอเองไม่ใช่เป็นคนชอบทำกิจกรรมกลางแจ้งเลย เพราะงั้นก็ไม่เคยไปกับสามี และเมื่อสามีออกไปเล่นกีฬากลางแจ้งบ่อย ๆ คนเดียว โอกาสที่จะไปเจอคนอื่นที่ชอบอะไรคล้าย ๆ กันจนสนิทสนมก็ย่อมมีมาก เธอคิดว่า ในเมื่อความชอบไม่ไปในทางเดียวกัน เลิกกันดีกว่า
นอกจากนี้ ในกรณีของครอบครัวอื่น ๆ ยังมีอีกหลายเหตุผล อาทิ เช่น การหมดความสนใจทางเพศของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การไม่พยายามเข้าใจวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย หรือ การใช้ชีวิตที่ต่างกันจนเกินไป ไม่มีการพูดคุยสื่อสาร ไม่มีการปรับตัว ก็อาจนำไปสู่การนอกใจจนเลิกกัน
อ้าว... แล้วถ้าเลิกกันไม่ได้ แต่มี “ความไม่สมอยาก” ล่ะ เค้าจะทำอย่างไร ?
จะเล่ากรณีนี้ให้ฟังค่ะ
รุ่นพี่คนนี้แก่กว่าดิฉันเป็นรอบนะคะ อาจพูดได้ว่าเป็นคนที่สังคมจะมองว่าเป็น family man ผู้ชายตัวอย่าง รักลูก รักเมีย รับผิดชอบต่อครอบครัวอย่างดี ทุ่มเทให้ลูกทั้งเวลา และความเข้าใจ แถมยังเผื่อความรับผิดชอบมายังสังคมด้วย แกทำงานจิตอาสาหลายแขนงอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว ทั้งที่หน้าที่ การงานแกก็ใหญ่โต


แกเคยเล่าให้ดิฉันฟังแบบติดตลกถึงผู้ใหญ่ในสังคมท่านหนึ่งที่แกยึดถือเป็นไอดอลมาตั้งแต่สมัยวัยกระเตาะว่า ภายหลังได้มาสนิทกัน ผู้ใหญ่ท่านนั้นได้บอกกับแกอย่างดิบ ๆ เลยว่า
“ผมนี่มัน hia กว่าที่คุณคิดหลายเท่านัก”
รุ่นพี่เล่าปนขำ ๆ ว่า “พอรู้จักกันมาเกือบยี่สิบปี ผมก็เห็นด้วยนะว่าแกเป็นอย่างที่แกบอกจริง ๆ 555 แกไม่ได้ดีบริสุทธิ์อย่างในข้อเขียนแกหรอก และผมก็เป็นเหมือนแกนั่นแหละ มีด้านลบ ๆ ที่คนอื่นไม่รู้อีกเยอะ”
แล้วการสารภาพก็พรั่งพรูออกมาต่อจากนั้น
อะ...สมมติชื่อให้คุณรุ่นพี่เธอหน่อยนะคะ ขอเรียกเธอว่า คุณศิลป์ก็แล้วกัน
เมียน้อย เมียเก็บของคุณศิลป์นี่มาเพราะความสงสารและมนุษยธรรมเพียว ๆ จริง ๆ
ใช่ค่ะ ... อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ดิฉันคิดว่าใช้คำว่า “มนุษยธรรม” มันอาจจะฟังดูผิดที่ผิดทาง แต่ดูไม่มากไปหรอก แม้คุณศิลป์เธอจะออกตัวว่า “ผมนี่มันตีสองหน้าจริง ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า “
คนแรก คือ น้องใบเตย (นามสมมติ) ได้มาจากการที่คุณศิลป์กับเหล่าเพื่อนร่วมงานวัยผู้ใหญ่ มีเรื่องต้องไป entertain อะไรกันสักที่ และน้องทำงานกลางคืนอยู่ตรงนั้น
เรื่องมันคงไม่ยาวเลยเถิดอะไรไปมาก คงเป็นเรื่องการซื้อครั้งเดียวจบ ถ้าไม่เป็นเพราะใบเตยเผลอทำเอกสารประจำตัวสำคัญหล่น และคุณศิลป์เธอเก็บได้ เธอก็เอาไปคืนที่บ้านตามที่อยู่ที่ระบุไว้
ตอนไปเห็นบ้านใบเตย คุณศิลป์บอกว่า “ผมสะท้อนใจนะ ใบเตยอายุมากกว่าลูกสาวผมแค่สี่ปี แต่ต้องมาทำงานแบบนี้ และสภาพบ้านเค้านี่เรียกได้ว่า มันไม่น่าจะอยู่ได้ สภาพมันแย่จริง ๆ “
เรื่องราวต่อจากนั้นคือ คุณศิลป์ก็พยายามดึงใบเตยออกจากอาชีพเดิม ซื้อบ้านทาวน์เฮ้าส์หลังเล็กให้ เพื่อให้พ่อลูกได้มีที่อยู่ที่เป็นหลักแหล่งและปลอดภัย
คุณศิลป์พยายามสนับสนุนน้องใบเตยให้ทำงานอาชีพปกติที่เป็นงานกลางวัน แต่เธอก็ไม่เคยปรับตัวให้ชินได้เลย ยังมีรสนิยมการใช้ของที่อู้ฟู่ ขอคุณศิลป์ให้ถอยไอโฟนรุ่นล่าสุดให้ และไปลืมทิ้งไว้ และขอเครื่องใหม่ ก็ไม่รู้เป็นเพราะงานที่เคยหาเงินมาได้ง่าย ๆ คล่อง ๆ รึเปล่า ทำให้บางครั้งน้องอาจจะชุ่ยกับการบริหารจัดการรักษาข้าวของ เพราะของแพงก็จริง แต่ก็ได้มาแบบง่าย ๆ และในเมื่อได้มาง่าย ก็ไม่ระวังรักษา ก็เลยไปง่ายอีกเช่นกัน
เรื่องพีคในความสัมพันธ์นี้คือ เพื่อนใบเตยโทรมาเตือนให้คุณศิลป์ไปตรวจเลือดด้วย เพราะใบเตยเธอมีเอชไอวี
ใบเตยมาบอกทื่อ ๆ ทีหลังว่า “ไม่ได้บอก เพราะหนูคิดว่า พี่ไม่ติดหรอก แฟนเก่าหนูเค้ายังไม่ติดเลย”
เฮ้ยยยยยยยยยยยย.... อิชั้นฟังแล้วอุทานในใจ


เมียเก็บ เมียลับและกิ๊กของผู้ชายดี ๆ
หัวกระทู้นี้ก็เช่นกันค่ะ น่าจะนับเป็น oxymoron ได้
เมียเก็บ เมียลับและกิ๊กของผู้ชายดี ๆ
ทุกคนมีคำถามแน่ ๆ ว่า ผู้ชายดี ๆ ที่ไหนจะไปมีเมียเก็บ เมียลับ และกิ๊ก หืม ?
วันนี้ ขอมาแชร์ให้ฟังนะคะ
ก่อนเล่าก็ขอสามไม่ก่อนค่ะ คือ ไม่ตัดสิน ไม่ด่าหยาบคาย ไม่หยามเหยียด นะคะ
ไม่ชอบใจอย่างไร จะแย้ง จะโต้ ก็แสดงความเห็นแบบใช้เหตุใช้ผลกันดี ๆ หรือทนอ่านไม่ไหว ข้ามไปก็ได้ค่ะ
ดิฉันคิดว่าตัวเองนี่ คงต้องมีสักชาตินึงที่เกิดเป็นบาทหลวง พอมาชาตินี้นี่ ชอบมีคนมาสารภาพและเล่าความอึดอัดใจ ความลับดำมืดให้ดิฉันฟังเยอะมากมาตั้งแต่เด็ก เรื่องหนัก ๆทั้งนั้น ประเภท แม่เพื่อนมีชู้ และชู้เป็นเพื่อนสนิทพ่อ เพื่อนใช้ยาเสพติดจนหลอน แอบแฟนไป ONS เรื่องเมียน้อยเมียเก็บ
กระทั่งไปบ้านเพื่อนสนิท ทางวงศาคณาญาติเพื่อนจะคุยเรื่องปัญหาภรรยาน้อยของคุณพ่อเพื่อน ดิฉันขยับขอตัวออกจากวงเพราะเห็นเป็นเรื่องในตระกูล คุณอาเพื่อนตวาดบอกให้นั่งลง ไม่ต้องไป “ฟังไว้นี่แหละ โตขึ้น เวลาเจอจะได้จัดการได้” เล่นเอาดิฉันยิ้มแห้งไปเลยทีเดียว
เรื่องพวกนี้ ดิฉันได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่นจนวัยยี่สิบกว่า และมักได้ยินเรื่องเล่าจากหลายมุม หลายด้าน ทำให้เหมือนจะเข้าใจมากขึ้น จนไม่กล้าชี้นิ้วกล่าวโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้อย่างจริงๆจังๆเลย แต่กลับชอบมานั่งหาเหตุผลว่า ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ชีวิตควรจะเป็นอย่างไรต่อไป
อ้อ... จริง ๆ เพื่อนฝ่ายหญิงที่เป็นแบบนี้ก็มีนะคะ เธอเพียบพร้อมไปหมด หน้าตาน่ารัก รูปร่างสูงโปร่ง ดีกรีพีเอชดีจากเมืองนอก และใครๆ ก็มองว่า เธอมีความสุขกับครอบครัวที่แสนจะสมบูรณ์แบบ สามีสูง หล่อ หน้าตาดี รวย เอาใจ พาไปเมืองนอกทุกปี ทริปในประเทศอีกแทบจะเดือนเว้นเดือน ลูกก็น่ารัก ขนาดนี้แล้ว ฝ่ายหญิงก็ยังมีนอกใจเหมือนกันนะคะ คิดวางแผนเป็นสเต็ปเพื่อจะไปอยู่กับคนที่เธอปันใจให้แล้ว
แต่เรื่องนี้ดิฉันเขียนเล่าได้ไม่ถนัด เนื่องจากเธอไม่ได้มาสารภาพเล่าเป็นฉาก ๆ ให้ดิฉันฟัง เหมือนเคสนี้ ดิฉันก็เลยไม่รู้รายละเอียดมาก และใครไม่เล่า ดิฉันก็ไม่รู้จะถามให้เสียมารยาทไปทำไม
ปีที่แล้ว ดิฉันเคยเขียนกระทู้นี้ที่พูดถึงงานวิจัยของฝรั่งที่ตั้งคำถามว่า “ทำไมคนเราถึงนอกใจ”
https://pantip.com/topic/37319557
สรุปให้ฟังได้สั้น ๆ ว่า สาเหตุหลักของการนอกใจมาจาก “การไม่ได้รับความพอใจหรือการตอบสนองทางอารมณ์ (emotional dissatisfaction) “
ซึ่งทำให้ดิฉันได้ข้อสรุปที่แสนจะไม่โรแมนติคว่า
1. “คนเราจะอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่นก็ต่อเมื่อสมประโยชน์กัน” ต่างฝ่ายต่างมีอะไรที่เกื้อหนุนอีกฝ่าย หรือทำให้อีกฝ่ายชอบใจหรือพอใจ
2. ความสัมพันธ์มีพลวัต คือ มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อการเปลี่ยนแปลงนั้นดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน พัฒนาไปด้วยจังหวะเสมอกัน ความไม่พอใจจะไม่เกิด การนอกกายและนอกใจจะไม่เกิด
ยกตัวอย่าง แบบเป็นรูปธรรมก็เช่น ครอบครัวผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองบางท่านที่ดิฉันเคยอ่านสัมภาษณ์ หรืออ่านงานเขียนของท่าน ก็เล่าถึงภรรยาด้วยความขอบคุณที่ต้องปรับตัว และพัฒนาทักษะบางอย่างที่ช่วยให้งานสามีเป็นไปอย่างราบรื่น อาทิ เช่น สามีได้โพสต์ไปเมืองนอก ภรรยาก็ต้องไปเรียนภาษาอังกฤษ เรียนการเข้าสังคม ทำอาหารเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถเกื้อหนุนงานสามีได้ ลดช่องว่างทางความสัมพันธ์
สามีภรรยาอีกคู่ในสังคมที่เลิกกันไปนานพอสมควรแล้วเป็นอีกตัวอย่างของการปรับตัวกันไม่ได้ค่ะ
ฝ่ายชายเป็นคนมาจากตระกูลธุรกิจเก่าแก่ใหญ่โต ส่วนฝ่ายหญิงก็มาจากตระกูลที่เป็นราชนิกูล เหมาะสมกันทั้งฐานะ ความรู้ ชาติตระกูล และรูปร่างหน้าตา
ฝ่ายชายมักถูกมองว่าเป็นหนุ่มหล่อ รวย มีรสนิยม และเจ้าชู้ หากแต่เมื่อเลิกกัน อดีตภรรยาออกมาให้สัมภาษณ์ได้น่าสนใจ ใช้เหตุผลและเป็นผู้ใหญ่มากค่ะ
เธอเล่าว่า อดีตสามีเธอเป็นคนแอ็คทีฟและชอบเล่นกีฬา ส่วนตัวเธอเองไม่ใช่เป็นคนชอบทำกิจกรรมกลางแจ้งเลย เพราะงั้นก็ไม่เคยไปกับสามี และเมื่อสามีออกไปเล่นกีฬากลางแจ้งบ่อย ๆ คนเดียว โอกาสที่จะไปเจอคนอื่นที่ชอบอะไรคล้าย ๆ กันจนสนิทสนมก็ย่อมมีมาก เธอคิดว่า ในเมื่อความชอบไม่ไปในทางเดียวกัน เลิกกันดีกว่า
นอกจากนี้ ในกรณีของครอบครัวอื่น ๆ ยังมีอีกหลายเหตุผล อาทิ เช่น การหมดความสนใจทางเพศของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การไม่พยายามเข้าใจวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย หรือ การใช้ชีวิตที่ต่างกันจนเกินไป ไม่มีการพูดคุยสื่อสาร ไม่มีการปรับตัว ก็อาจนำไปสู่การนอกใจจนเลิกกัน
อ้าว... แล้วถ้าเลิกกันไม่ได้ แต่มี “ความไม่สมอยาก” ล่ะ เค้าจะทำอย่างไร ?
จะเล่ากรณีนี้ให้ฟังค่ะ
รุ่นพี่คนนี้แก่กว่าดิฉันเป็นรอบนะคะ อาจพูดได้ว่าเป็นคนที่สังคมจะมองว่าเป็น family man ผู้ชายตัวอย่าง รักลูก รักเมีย รับผิดชอบต่อครอบครัวอย่างดี ทุ่มเทให้ลูกทั้งเวลา และความเข้าใจ แถมยังเผื่อความรับผิดชอบมายังสังคมด้วย แกทำงานจิตอาสาหลายแขนงอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว ทั้งที่หน้าที่ การงานแกก็ใหญ่โต
แกเคยเล่าให้ดิฉันฟังแบบติดตลกถึงผู้ใหญ่ในสังคมท่านหนึ่งที่แกยึดถือเป็นไอดอลมาตั้งแต่สมัยวัยกระเตาะว่า ภายหลังได้มาสนิทกัน ผู้ใหญ่ท่านนั้นได้บอกกับแกอย่างดิบ ๆ เลยว่า
“ผมนี่มัน hia กว่าที่คุณคิดหลายเท่านัก”
รุ่นพี่เล่าปนขำ ๆ ว่า “พอรู้จักกันมาเกือบยี่สิบปี ผมก็เห็นด้วยนะว่าแกเป็นอย่างที่แกบอกจริง ๆ 555 แกไม่ได้ดีบริสุทธิ์อย่างในข้อเขียนแกหรอก และผมก็เป็นเหมือนแกนั่นแหละ มีด้านลบ ๆ ที่คนอื่นไม่รู้อีกเยอะ”
แล้วการสารภาพก็พรั่งพรูออกมาต่อจากนั้น
อะ...สมมติชื่อให้คุณรุ่นพี่เธอหน่อยนะคะ ขอเรียกเธอว่า คุณศิลป์ก็แล้วกัน
เมียน้อย เมียเก็บของคุณศิลป์นี่มาเพราะความสงสารและมนุษยธรรมเพียว ๆ จริง ๆ
ใช่ค่ะ ... อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ดิฉันคิดว่าใช้คำว่า “มนุษยธรรม” มันอาจจะฟังดูผิดที่ผิดทาง แต่ดูไม่มากไปหรอก แม้คุณศิลป์เธอจะออกตัวว่า “ผมนี่มันตีสองหน้าจริง ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า “
คนแรก คือ น้องใบเตย (นามสมมติ) ได้มาจากการที่คุณศิลป์กับเหล่าเพื่อนร่วมงานวัยผู้ใหญ่ มีเรื่องต้องไป entertain อะไรกันสักที่ และน้องทำงานกลางคืนอยู่ตรงนั้น
เรื่องมันคงไม่ยาวเลยเถิดอะไรไปมาก คงเป็นเรื่องการซื้อครั้งเดียวจบ ถ้าไม่เป็นเพราะใบเตยเผลอทำเอกสารประจำตัวสำคัญหล่น และคุณศิลป์เธอเก็บได้ เธอก็เอาไปคืนที่บ้านตามที่อยู่ที่ระบุไว้
ตอนไปเห็นบ้านใบเตย คุณศิลป์บอกว่า “ผมสะท้อนใจนะ ใบเตยอายุมากกว่าลูกสาวผมแค่สี่ปี แต่ต้องมาทำงานแบบนี้ และสภาพบ้านเค้านี่เรียกได้ว่า มันไม่น่าจะอยู่ได้ สภาพมันแย่จริง ๆ “
เรื่องราวต่อจากนั้นคือ คุณศิลป์ก็พยายามดึงใบเตยออกจากอาชีพเดิม ซื้อบ้านทาวน์เฮ้าส์หลังเล็กให้ เพื่อให้พ่อลูกได้มีที่อยู่ที่เป็นหลักแหล่งและปลอดภัย
คุณศิลป์พยายามสนับสนุนน้องใบเตยให้ทำงานอาชีพปกติที่เป็นงานกลางวัน แต่เธอก็ไม่เคยปรับตัวให้ชินได้เลย ยังมีรสนิยมการใช้ของที่อู้ฟู่ ขอคุณศิลป์ให้ถอยไอโฟนรุ่นล่าสุดให้ และไปลืมทิ้งไว้ และขอเครื่องใหม่ ก็ไม่รู้เป็นเพราะงานที่เคยหาเงินมาได้ง่าย ๆ คล่อง ๆ รึเปล่า ทำให้บางครั้งน้องอาจจะชุ่ยกับการบริหารจัดการรักษาข้าวของ เพราะของแพงก็จริง แต่ก็ได้มาแบบง่าย ๆ และในเมื่อได้มาง่าย ก็ไม่ระวังรักษา ก็เลยไปง่ายอีกเช่นกัน
เรื่องพีคในความสัมพันธ์นี้คือ เพื่อนใบเตยโทรมาเตือนให้คุณศิลป์ไปตรวจเลือดด้วย เพราะใบเตยเธอมีเอชไอวี
ใบเตยมาบอกทื่อ ๆ ทีหลังว่า “ไม่ได้บอก เพราะหนูคิดว่า พี่ไม่ติดหรอก แฟนเก่าหนูเค้ายังไม่ติดเลย”
เฮ้ยยยยยยยยยยยย.... อิชั้นฟังแล้วอุทานในใจ