คนที่ออกไปใช้ชีวิตแบบคนยุคแสวงหา อิงกับชีวิตแบบไร้เทคโนโลยี มักจะถูกคนทั่วไปพูดว่า เป็นพวกเวอร์ เพ้อๆ อะไรทำนองนี้
เดิมทีผมเองก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นัก เพราะคิดว่า คนเราควรมีทางเลือก ชอบอะไรไม่เหมือนกัน อยากจะชอบอะไร ทำอะไรก็ทำไป
แต่หลังๆ มาผมสังเกตว่า คนแนวนี้มักจะมีความเยอะๆ บางอย่าง เช่น ชอบบ่นเพ้อ หยิบจับเรื่องอะไรมา วิพากษ์ให้ดูคูล หรือดูลึกซึ้งตลอดเวลา ทั้งที่บางเรื่อง มันก็ไม่ใช่อะไรที่จะต้องไปเอาเป็นเอาตายกับมันขนาดนั้น (ถ้าเป็นภาษาพี่โจว ก็อาจเรียกคนกลุ่มนี้ได้ว่า พวกน้องๆ สายดาร์ค)
คือต้องยอมรับว่า ส่วนใหญ่แล้วเขาก็จะเป็นพวกคนเมือง มีการศึกษา แล้วก็ไปได้แนวคิดอะไรบางอย่างมา ที่จะต้องไม่เอากับระบบ หรือการบริโภคนิยมอะไรพวกนี้ แล้วก็เหมือนจะฝันๆ เชิดชูวิถีชนบท การพึ่งพาธรรมชาติว่าดีเลิศ สงบเย็น ไม่ต้องมานั่งปั่นจักรแบบพวกมนุษย์เงินเดือน อิงกับสังคมที่เป็นอุตสาหกรรมทำลายโลก แล้วมักพ่วงกับอาการเปล่าเปลี่ยวแบบคนเมือง หว่องกาไว มุราคามิ โดดเดี่ยวสูบบุหรี่พ่นควัน
แต่อีกด้านคือ คนยากจนตามชนบทจริงๆ เขาก็ไม่ได้มาเห่อเหิมอะไรกับแนวคิดพวกนี้ด้วยเลยนะครับ พวกเขาแค่ทำมาหากิน เอาชีวิตรอด ให้ตัวเองมีชีวิตรอด ผ่อนหนี้ ผ่อนข้าวของอะไรไป เผลอๆ ไอ้ที่คนเมืองเขาอยากได้ คนตามชนบทก็อยากได้เหมือนกัน เพียงแต่โอกาสมันเข้าไม่ถึง
หรือไปถามคนโรงงาน ตามนิคมอุตสาหกรรมสิ ว่าเขาจะมีอารมณ์มา แสวงหา เว้าแหว่งทางอารมณ์ไหมอ่ะ แบบพรุ่งนี้ก็ต้องตอกบัตรเข้างาน ตกเย็นก็ต้องนอนให้มีแรงมาทำงานต่อ
แต่ที่ผมค่อนข้างเอียน คือ ไอ้การโชว์ออฟว่าตัวเองเรียบง่ายนะ สมถะ ไม่ฟุ้งเฟ้อ อารมณ์เหมือนมาปลูกต้นกล้า แล้วก็เซลฟี่ เช็คอิน เสร็จแล้วก็สะบัดตูดหนี ป่าวประกาศว่า ตัวเองนั้นไม่อิงกับสังคมบริโภค เรามาทำบางอย่างที่มีคุณค่าต่อสังคมชาวโลก ทำเหมือนไม่แคร์อะไร แต่ก็ยังต้องป่าวประกาศให้โลกรู้
จริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ แค่รู้สีกอี๋ๆ นิดหน่อย กับคนประมาณนี้ ถ้าจะชื่นชอบแนวคิดดังกล่าวก็ดีไป แต่การกระทำ การพูดยกตัว เยินยอตัวเองมันดูย้อนแย้งพิกลนะ ทำเหมือนไม่แคร์ แต่จริงๆ แคร์มาก บอกไม่สนใจสังคม แต่อัพเดทสตอรี่ตลอด บางครั้งบางคราว ไอ้ความที่เราอยากจะไปทำหรือไปร่วมกิจกรรมอะไรด้วย เลยหายไปลดไป เพราะรำคาญความเยอะอะไรแบบนี้ คือทำเงียบๆ เฉยๆ กับมันไปเหมือนเรื่องปกติ กันไม่ได้เหรอ
ทำไมคนที่ติสต์มากๆ หรือพวกอนุรักษ์ธรรมชาติ อิงกับวิถีโบราณ ถึงดูดัดจริตจังครับ
เดิมทีผมเองก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นัก เพราะคิดว่า คนเราควรมีทางเลือก ชอบอะไรไม่เหมือนกัน อยากจะชอบอะไร ทำอะไรก็ทำไป
แต่หลังๆ มาผมสังเกตว่า คนแนวนี้มักจะมีความเยอะๆ บางอย่าง เช่น ชอบบ่นเพ้อ หยิบจับเรื่องอะไรมา วิพากษ์ให้ดูคูล หรือดูลึกซึ้งตลอดเวลา ทั้งที่บางเรื่อง มันก็ไม่ใช่อะไรที่จะต้องไปเอาเป็นเอาตายกับมันขนาดนั้น (ถ้าเป็นภาษาพี่โจว ก็อาจเรียกคนกลุ่มนี้ได้ว่า พวกน้องๆ สายดาร์ค)
คือต้องยอมรับว่า ส่วนใหญ่แล้วเขาก็จะเป็นพวกคนเมือง มีการศึกษา แล้วก็ไปได้แนวคิดอะไรบางอย่างมา ที่จะต้องไม่เอากับระบบ หรือการบริโภคนิยมอะไรพวกนี้ แล้วก็เหมือนจะฝันๆ เชิดชูวิถีชนบท การพึ่งพาธรรมชาติว่าดีเลิศ สงบเย็น ไม่ต้องมานั่งปั่นจักรแบบพวกมนุษย์เงินเดือน อิงกับสังคมที่เป็นอุตสาหกรรมทำลายโลก แล้วมักพ่วงกับอาการเปล่าเปลี่ยวแบบคนเมือง หว่องกาไว มุราคามิ โดดเดี่ยวสูบบุหรี่พ่นควัน
แต่อีกด้านคือ คนยากจนตามชนบทจริงๆ เขาก็ไม่ได้มาเห่อเหิมอะไรกับแนวคิดพวกนี้ด้วยเลยนะครับ พวกเขาแค่ทำมาหากิน เอาชีวิตรอด ให้ตัวเองมีชีวิตรอด ผ่อนหนี้ ผ่อนข้าวของอะไรไป เผลอๆ ไอ้ที่คนเมืองเขาอยากได้ คนตามชนบทก็อยากได้เหมือนกัน เพียงแต่โอกาสมันเข้าไม่ถึง
หรือไปถามคนโรงงาน ตามนิคมอุตสาหกรรมสิ ว่าเขาจะมีอารมณ์มา แสวงหา เว้าแหว่งทางอารมณ์ไหมอ่ะ แบบพรุ่งนี้ก็ต้องตอกบัตรเข้างาน ตกเย็นก็ต้องนอนให้มีแรงมาทำงานต่อ
แต่ที่ผมค่อนข้างเอียน คือ ไอ้การโชว์ออฟว่าตัวเองเรียบง่ายนะ สมถะ ไม่ฟุ้งเฟ้อ อารมณ์เหมือนมาปลูกต้นกล้า แล้วก็เซลฟี่ เช็คอิน เสร็จแล้วก็สะบัดตูดหนี ป่าวประกาศว่า ตัวเองนั้นไม่อิงกับสังคมบริโภค เรามาทำบางอย่างที่มีคุณค่าต่อสังคมชาวโลก ทำเหมือนไม่แคร์อะไร แต่ก็ยังต้องป่าวประกาศให้โลกรู้
จริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ แค่รู้สีกอี๋ๆ นิดหน่อย กับคนประมาณนี้ ถ้าจะชื่นชอบแนวคิดดังกล่าวก็ดีไป แต่การกระทำ การพูดยกตัว เยินยอตัวเองมันดูย้อนแย้งพิกลนะ ทำเหมือนไม่แคร์ แต่จริงๆ แคร์มาก บอกไม่สนใจสังคม แต่อัพเดทสตอรี่ตลอด บางครั้งบางคราว ไอ้ความที่เราอยากจะไปทำหรือไปร่วมกิจกรรมอะไรด้วย เลยหายไปลดไป เพราะรำคาญความเยอะอะไรแบบนี้ คือทำเงียบๆ เฉยๆ กับมันไปเหมือนเรื่องปกติ กันไม่ได้เหรอ