สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ถ้านอนหลับสนิทจริงๆ ไ่ม่คิดฟุ้งไปเรื่อย ไม่ฝันเลย
ร่างกายเป็นอิสระจากจิตใจ ผ่อนคลายมากๆ
นอนแค่สี่ชั่วโมงก็พอครับ ตืนมาร่างกายจิตใจจะสดชื่นอย่างมากและสดชื่นทั้งวันด้วย
แม้ทำงานออกแรงหนักๆก็เพลียแค่ร่างกาย จิตใจสดชื่นเหมือนเดิมครับ
แต่ถ้านอนเบลอๆคิดมากฝันบ่อย
นอนทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่พอครับ
บางคนนอนไม่หลับเพราะฟุ้งซ่าน
มีความคิดอยู่ในสมองตลอด
ตื่นมาก็สติตื่นตัวไม่เต็มที่ การรับรู้อาการทางร่างกายก็แย่ หิวก็ลืมตัวปล่อยให้ร่างกายทรมานไป อิ่มก็ยังกินเพลินรับรู้อาการทางกายได้ช้า บางครั้งออกอาการเบลอๆ
ถึงเวลานอนสติก็ยังโฟกัสที่ความคิด เช่นเดิม นานๆเข้า สุดท้ายทั้งวันทั้งคืนมีแต่อาการเบลอ
แล้วร่างกายจิตใจก็เสียหาย
วิธีแก้ไข ฝึกสติกลับมาโฟกัสที่ร่างกายและจิตใจ
เฉพาะหน้า เป็นปัจจุบัน
1 จิตใจ
ลดภาระความคิดที่ไม่จำเป็นออก
- ตรงสุดๆคือ ถือศีล ฝึกเจริญสติครับ แนะนำแนวหลวงพ่อเทียนครับ
วิธีนี้ให้ผลช้าหน่อยแต่เป็นการแก้ที่ต้นเหตุตรงๆ อาจใช้เวลาหลายเดือน หรือถึงปี
แต่ก็คุ้มกว่า ใช้ชีวิตแบบเบลอๆไปตลอดแน่นอนครับ
เพราะทำให้สติไว สมาธิดีขึ้น ความฟุ้งซ่านลดลง
วิธีนี้แก้ปัญหาได้ 90 % เลยทีเดียว
อีก 10% เว้นเผื่อใว้ในฐานะผมยังเป็นปุถุชน
ถ้านึกไม่ออก
ขอบอกว่าความรู้สึกสดชื่นของจิตใจแบบในวัยเด็กจะกลับมาอีกครั้ง ทุกสิ่งที่ทำจะเหมือนทำครั้งแรกเสมอ ร่างกายผ่อนคลายสดชื่นมากๆ ส่งผลให้ประสาทสัมผัสต่างๆไวกว่าเดิมด้วย
- เสพสื่อเท่าที่จำเป็นต่อการงานเท่านั้น
ดาราคนไหนคบกับใครก็เรื่องของเขา ใใครจนอย่าไปอยากรู้เขาเลย มีสารพัดเรื่องที่ลดได้โดยเฉพาะเรื่องซุบซิบในออฟฟิต
เมื่อบวกกับการปิดทีวี และงดใช้มือถือเพื่อความบันเทิง ลองดูสักสัปดาห์
สมองโล่งขึ้น 10% นะครับ
- หน้าที่ใครหน้าที่มัน หน้าที่คนอื่นหรือ
จ่ายงานไปแล้วก็ไม่ต้องกังวลแทนเรามีหน้าที่แค่ไหนก็ทำไปตามสโคปงาน หากเป็นเรื่องการดูแลส่วนตัว เช่นเลี้ยงเด็ก ถึงเวลาหนึ่งก็ต้องปล่อยให้เรียนรู้ช่วยเหลือตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขามีความคิดของเขาเอง
สมองโล่งไป 10 %
- คิดทำในเวลาที่เหมาะสม หนักเบา เร็วช้า
หากยังไม่ถึงเวลาก็แค่ตรวจสอบสถานะเป็นครั้งคราว การงานหลายๆอย่างมีตัวแปรภายนอกเยอะไป จริงอยู่เราต้องคุมตัวแปรเหล่านั้นให้ได้มากพอเพื่อเป็นหลักประกันความสำเร็จของงาน แต่ส่วนที่ยังทำไม่ได้อาจอาศัยพึ่งพึงคนอื่นบ้าง หรือไม่ก็รับสภาพไป อย่าด่วนคาดหวังในสิ่งที่เรายังควบคุมไม่ได้
ถึงเวลาผลจะปรากฏเองว่าเราทำถูกหรือผิดแค่ไหน อย่าไปกลัวอนาคตหรือพะวงอดีตมากนัก
ยังไงอนาคตมันก็มาแน่ๆ จะกลัวหรือไม่กลัวก็ต้องเจอทั้งนั้น แล้วจะกลัวให้มันแย่ไปทำไม
วางแผนและลงมือทำเพื่อรับมือดีกว่าเยอะ
มีแผนแล้ว ก็ลงมือ หรือรอทำในเวลาที่เหมาะสมต่อไป
สมองโล่งอีก 10% เช่นกันครับ
- เรามีหน้าที่ทำเรื่องที่ถนัด พอมองเห็นแนวทางอยู่บ้าง และมีหน้าที่เรียนรู้เรื่องที่ไม่ถนัด ก่อนจะลงมือทำจริง
ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องรอจนเชี่ยวชาญมากๆจึงค่อยลงมือ แต่อย่าสลับกัน เพราะความเสียหายไม่คุ้มค่า จะตามมาค่อนข้างแน่นอน
ก็คลายความกังวลที่จะตามมาได้อีก 10%
- สังคมไม่ได้มีแต่คนที่ดีต่อเรา
หากหลีกเลี่ยงบางคนที่นิสัยใจคอ วิถีชีวิตขัดแย้งกันแรงๆ หรือปฏิเสธเลี่ยงคนที่เข้ามาเบียดเบียนจนเกินพอดี ชีวิตจะดีขึ้นเยอะ
อันนี้ก็ได้อีก 10%
2 ร่างกาย
- งดของหวานและเค็ม ชากาแฟ บุหรี่ เหล้า แม้เสพติดก็ไม่ต้องกังวล ร่างกายจะเริ่มซ่อมแซมตัวเอง และกลับมาสดชื่นได้ภายในสับดาห์
-เน้นอาหารจากผัก ปลา ดื่มน้ำเยอะๆ
- ล้างหน้าแปรงฟันบ่อยๆ อาบน้ำบ่อยๆ (ไม่ต้องนาน) วันละสามถึงห้าครั้งเลยก็ได้
- ใช้เวลา สองสัปดาห์ หรือไม่เกินเดือนออกกำลังกายทุกวัน จากเบาๆไปหาหนัก และหนักมาก
ในแต่ละเดือน ออกแรงต่อเนื่องให้เหนื่อยจนสลบไปเลยสักวันจะดีมากๆ แล้วค่อยตื่นตัวกันใหม่ครับ
- ทำสิ่งที่ไม่เคยชิน ให้ร่างกายจิตใจปรับตัวเอง
อย่าจมอยู่กับความเคยชิน แม้สิ่งที่เราถนัด
ก็ควรทำด้วยความรู้สึก เหมือนเริ่มใหม่ครั้งแรกในทุกครั้ง (เพราะเป็นคนละครั้งกัน)
คือโฟกัสที่ปัจจุบันให้มาก
เที่ยวบ้างก็ดี ถ้าทำงานออฟฟิตวุ่นวายเยอะๆก็พักงาน เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนวิถีชีวิต เรียนรู้วิถีที่แตกต่าง เช่นไปอินเดีย พม่า ค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก แต่ยังมีวิถีสังคมแบบโบราณ
ถ้าเดินทางบ่อยอยู่แล้วก็เปลี่ยนเป็นเทคคอสงานฝีมือที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อน เช่นถักโครเชต์ เย็บปัก วาดภาพ ฝึกเล่นดนตรี
ให้เน้นกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ต้องลงมือทำเอง
มีการขยับร่างกาย ใช้สติสมาธิด้วย อย่าเน้นกิจกรรมเสพ
ถ้าไม่ค่อยออกเหงื่อก็ออกกำลังกายบ้าง
จะจัดบ้าน ทำกับข้าวเมนูใหม่ ปลูกต้นไม้ จูงหมา ทำความสะอาด วิ่ง จักรยาน ว่ายน้ำ แอโรบิค อะไรก็ว่าไป
ขอให้ได้เหงื่อสัปดาห์ละ สามสี่วันเป็นอันใช้ได้ครับ
ร่างกายเป็นอิสระจากจิตใจ ผ่อนคลายมากๆ
นอนแค่สี่ชั่วโมงก็พอครับ ตืนมาร่างกายจิตใจจะสดชื่นอย่างมากและสดชื่นทั้งวันด้วย
แม้ทำงานออกแรงหนักๆก็เพลียแค่ร่างกาย จิตใจสดชื่นเหมือนเดิมครับ
แต่ถ้านอนเบลอๆคิดมากฝันบ่อย
นอนทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่พอครับ
บางคนนอนไม่หลับเพราะฟุ้งซ่าน
มีความคิดอยู่ในสมองตลอด
ตื่นมาก็สติตื่นตัวไม่เต็มที่ การรับรู้อาการทางร่างกายก็แย่ หิวก็ลืมตัวปล่อยให้ร่างกายทรมานไป อิ่มก็ยังกินเพลินรับรู้อาการทางกายได้ช้า บางครั้งออกอาการเบลอๆ
ถึงเวลานอนสติก็ยังโฟกัสที่ความคิด เช่นเดิม นานๆเข้า สุดท้ายทั้งวันทั้งคืนมีแต่อาการเบลอ
แล้วร่างกายจิตใจก็เสียหาย
วิธีแก้ไข ฝึกสติกลับมาโฟกัสที่ร่างกายและจิตใจ
เฉพาะหน้า เป็นปัจจุบัน
1 จิตใจ
ลดภาระความคิดที่ไม่จำเป็นออก
- ตรงสุดๆคือ ถือศีล ฝึกเจริญสติครับ แนะนำแนวหลวงพ่อเทียนครับ
วิธีนี้ให้ผลช้าหน่อยแต่เป็นการแก้ที่ต้นเหตุตรงๆ อาจใช้เวลาหลายเดือน หรือถึงปี
แต่ก็คุ้มกว่า ใช้ชีวิตแบบเบลอๆไปตลอดแน่นอนครับ
เพราะทำให้สติไว สมาธิดีขึ้น ความฟุ้งซ่านลดลง
วิธีนี้แก้ปัญหาได้ 90 % เลยทีเดียว
อีก 10% เว้นเผื่อใว้ในฐานะผมยังเป็นปุถุชน
ถ้านึกไม่ออก
ขอบอกว่าความรู้สึกสดชื่นของจิตใจแบบในวัยเด็กจะกลับมาอีกครั้ง ทุกสิ่งที่ทำจะเหมือนทำครั้งแรกเสมอ ร่างกายผ่อนคลายสดชื่นมากๆ ส่งผลให้ประสาทสัมผัสต่างๆไวกว่าเดิมด้วย
- เสพสื่อเท่าที่จำเป็นต่อการงานเท่านั้น
ดาราคนไหนคบกับใครก็เรื่องของเขา ใใครจนอย่าไปอยากรู้เขาเลย มีสารพัดเรื่องที่ลดได้โดยเฉพาะเรื่องซุบซิบในออฟฟิต
เมื่อบวกกับการปิดทีวี และงดใช้มือถือเพื่อความบันเทิง ลองดูสักสัปดาห์
สมองโล่งขึ้น 10% นะครับ
- หน้าที่ใครหน้าที่มัน หน้าที่คนอื่นหรือ
จ่ายงานไปแล้วก็ไม่ต้องกังวลแทนเรามีหน้าที่แค่ไหนก็ทำไปตามสโคปงาน หากเป็นเรื่องการดูแลส่วนตัว เช่นเลี้ยงเด็ก ถึงเวลาหนึ่งก็ต้องปล่อยให้เรียนรู้ช่วยเหลือตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขามีความคิดของเขาเอง
สมองโล่งไป 10 %
- คิดทำในเวลาที่เหมาะสม หนักเบา เร็วช้า
หากยังไม่ถึงเวลาก็แค่ตรวจสอบสถานะเป็นครั้งคราว การงานหลายๆอย่างมีตัวแปรภายนอกเยอะไป จริงอยู่เราต้องคุมตัวแปรเหล่านั้นให้ได้มากพอเพื่อเป็นหลักประกันความสำเร็จของงาน แต่ส่วนที่ยังทำไม่ได้อาจอาศัยพึ่งพึงคนอื่นบ้าง หรือไม่ก็รับสภาพไป อย่าด่วนคาดหวังในสิ่งที่เรายังควบคุมไม่ได้
ถึงเวลาผลจะปรากฏเองว่าเราทำถูกหรือผิดแค่ไหน อย่าไปกลัวอนาคตหรือพะวงอดีตมากนัก
ยังไงอนาคตมันก็มาแน่ๆ จะกลัวหรือไม่กลัวก็ต้องเจอทั้งนั้น แล้วจะกลัวให้มันแย่ไปทำไม
วางแผนและลงมือทำเพื่อรับมือดีกว่าเยอะ
มีแผนแล้ว ก็ลงมือ หรือรอทำในเวลาที่เหมาะสมต่อไป
สมองโล่งอีก 10% เช่นกันครับ
- เรามีหน้าที่ทำเรื่องที่ถนัด พอมองเห็นแนวทางอยู่บ้าง และมีหน้าที่เรียนรู้เรื่องที่ไม่ถนัด ก่อนจะลงมือทำจริง
ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องรอจนเชี่ยวชาญมากๆจึงค่อยลงมือ แต่อย่าสลับกัน เพราะความเสียหายไม่คุ้มค่า จะตามมาค่อนข้างแน่นอน
ก็คลายความกังวลที่จะตามมาได้อีก 10%
- สังคมไม่ได้มีแต่คนที่ดีต่อเรา
หากหลีกเลี่ยงบางคนที่นิสัยใจคอ วิถีชีวิตขัดแย้งกันแรงๆ หรือปฏิเสธเลี่ยงคนที่เข้ามาเบียดเบียนจนเกินพอดี ชีวิตจะดีขึ้นเยอะ
อันนี้ก็ได้อีก 10%
2 ร่างกาย
- งดของหวานและเค็ม ชากาแฟ บุหรี่ เหล้า แม้เสพติดก็ไม่ต้องกังวล ร่างกายจะเริ่มซ่อมแซมตัวเอง และกลับมาสดชื่นได้ภายในสับดาห์
-เน้นอาหารจากผัก ปลา ดื่มน้ำเยอะๆ
- ล้างหน้าแปรงฟันบ่อยๆ อาบน้ำบ่อยๆ (ไม่ต้องนาน) วันละสามถึงห้าครั้งเลยก็ได้
- ใช้เวลา สองสัปดาห์ หรือไม่เกินเดือนออกกำลังกายทุกวัน จากเบาๆไปหาหนัก และหนักมาก
ในแต่ละเดือน ออกแรงต่อเนื่องให้เหนื่อยจนสลบไปเลยสักวันจะดีมากๆ แล้วค่อยตื่นตัวกันใหม่ครับ
- ทำสิ่งที่ไม่เคยชิน ให้ร่างกายจิตใจปรับตัวเอง
อย่าจมอยู่กับความเคยชิน แม้สิ่งที่เราถนัด
ก็ควรทำด้วยความรู้สึก เหมือนเริ่มใหม่ครั้งแรกในทุกครั้ง (เพราะเป็นคนละครั้งกัน)
คือโฟกัสที่ปัจจุบันให้มาก
เที่ยวบ้างก็ดี ถ้าทำงานออฟฟิตวุ่นวายเยอะๆก็พักงาน เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนวิถีชีวิต เรียนรู้วิถีที่แตกต่าง เช่นไปอินเดีย พม่า ค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก แต่ยังมีวิถีสังคมแบบโบราณ
ถ้าเดินทางบ่อยอยู่แล้วก็เปลี่ยนเป็นเทคคอสงานฝีมือที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อน เช่นถักโครเชต์ เย็บปัก วาดภาพ ฝึกเล่นดนตรี
ให้เน้นกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ต้องลงมือทำเอง
มีการขยับร่างกาย ใช้สติสมาธิด้วย อย่าเน้นกิจกรรมเสพ
ถ้าไม่ค่อยออกเหงื่อก็ออกกำลังกายบ้าง
จะจัดบ้าน ทำกับข้าวเมนูใหม่ ปลูกต้นไม้ จูงหมา ทำความสะอาด วิ่ง จักรยาน ว่ายน้ำ แอโรบิค อะไรก็ว่าไป
ขอให้ได้เหงื่อสัปดาห์ละ สามสี่วันเป็นอันใช้ได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
ระหว่างนอนยาวไปเลยทั้งคืน กับแบ่งการนอนเป็นช่วงๆ อย่างไหนมีประสิทธิภาพมากกว่ากันคะ