ทำธุรกิจ VS ลงทุนซื้อหุ้น

กระทู้สนทนา
เครดิตบทความโดย  ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 28 ตุลาคม 2011


ถ้ามีเพื่อนมาชวนลงทุนเปิดร้านอาหาร นอกจากจะต้องดูว่ากิจการจะดีหรือไม่ ต้องลงทุนเท่าไรและจะกำไรอย่างไรแล้ว สิ่งที่ควรจะทำก็คือ ลองเปรียบเทียบการทำร้านอาหารเองกับการลงทุนซื้อหุ้นเอสแอนด์พี (S&P) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย

เพราะการทำร้านอาหารเองกับการซื้อหุ้น S&P ซึ่งเป็นหุ้นของบริษัททำร้านอาหารในตลาดนั้นมีอะไรคล้ายกันมากแทบจะเป็นเรื่องเดียวกันเพียงแต่ขนาดของธุรกิจแตกต่างกัน ผู้บริหารเป็นคนละคน โดยที่การเปิดร้านอาหารนั้นผู้บริหารอาจจะเป็นเพื่อนที่เรารู้จักหรือเป็นตัวเราเอง ในขณะที่ผู้บริหารบริษัท S&P นั้น เราอาจจะไม่รู้จักเลย

ข้อแตกต่างระหว่างการทำธุรกิจเองกับการลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หรือข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือกนั้นมีอยู่หลายข้อและจะต้องพิจารณาอย่างลึกซึ้งก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะลงทุนทำธุรกิจเองหรือลงทุนซื้อหุ้นในตลาดดีกว่า

ข้อดีของการทำธุรกิจเองข้อแรกที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ เราสามารถควบคุมกิจการได้อย่างเต็มที่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำจะต้องเป็นประโยชน์แก่ตัวธุรกิจและตัวเราเองที่เป็นผู้ถือหุ้น เพราะฉะนั้นลูกจ้างตั้งแต่พนักงานจนถึงผู้จัดการจะเหลวไหล โกง หรือเอาเปรียบบริษัทยาก นอกจากนั้นถ้าเรามีหุ้นส่วน ก็คงจะต้องเป็นหุ้นส่วนที่เราไว้ใจและพูดกันรู้เรื่อง และมีผลประโยชน์แบบเดียวกัน มิฉะนั้นเราคงไม่เข้าหุ้นทำธุรกิจด้วย

ข้อดีของการทำธุรกิจข้อสองก็คือ การทำธุรกิจในเมืองไทยนั้นสามารถหลบภาษีได้ง่ายโดยเฉพาะเวลามีกำไรก็มักจะทำตัวเลขไม่ให้มีกำไรเพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีนิติบุคคล ดังนั้นต้นทุนของบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จึงมักต่ำกว่าบริษัทจดทะเบียน เจ้าของธุรกิจจึงได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในขณะที่บริษัทจดทะเบียนต้องเสียภาษีสูงถึง 30% ของกำไร และภาษีอื่น ๆ เช่น VAT ก็ต้องจ่ายเต็มเช่นเดียวกัน

ข้อดีข้อที่สามของการทำธุรกิจเองก็คือ เวลาที่ธุรกิจประสบความสำเร็จ บริษัทหรือกิจการสามารถกู้เงินมาใช้ได้มาก ซึ่งการกู้เงินนี้สามารถที่จะทำให้เจ้าของร่ำรวยขึ้นได้อย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ลองดูตัวเลขสมมุติต่อไปนี้

กิจการลงทุน 10 ล้านบาท แต่กู้เงินมา 20 ล้านบาท รวมเป็น 30 ล้านบาท เงินก้อนนี้ลงทุนเปิดร้านอาหาร 5 แห่ง ได้กำไรปีละ 20% หรือกำไรปีละ 6 ล้านบาท คิดแล้วลงทุนเพียง 10 ล้านบาท แต่กำไรปีละถึง 6 ล้านบาท หรือเท่ากับ 60% ต่อปี ซึ่งสูงมาก ทำเพียงไม่กี่ปีก็เห็นหน้าเห็นหลัง

แต่ข้อเสียของการทำธุรกิจเองก็มีหลายข้อเหมือนกันที่สำคัญก็คือ การลงทุนทำธุรกิจเองมักจะต้องใช้เงินค่อนข้างมาก บ่อยครั้งต้องใช้เงินเก็บสะสมเกือบหมดเพื่อที่จะทำธุรกิจเพียงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นถ้าธุรกิจล้มเหลวเราก็หมดตัว เผลอ ๆ อาจจะต้องเป็นหนี้ NPL บ้านช่องและทรัพย์สินถูกแบงค์ยึดอีกต่างหาก

ข้อเสียข้อที่สองก็คือ การทำธุรกิจเองนั้นเจ้าของจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจค่อนข้างลึกซึ้ง และจะต้องเหน็ดเหนื่อยมากกับการดูแลธุรกิจ บางทีคิดจะไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจบ้างก็จะต้องคอยพะวงกับตัวธุรกิจตลอดเวลา คุณภาพของชีวิตอาจจะลดหย่อนลงโดยเฉพาะในยามที่ธุรกิจมีปัญหา

ข้อเสียข้อที่สามของการทำธุรกิจเองก็คือ ธุรกิจที่จัดตั้งขึ้นมามักเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่ยังไม่แข็งแรงและมีคู่แข่งมาก ดังนั้นธุรกิจจึงต้องต่อสู้แข่งขันกันตลอดเวลา และเนื่องจากธุรกิจมักจะไม่มีจุดเด่นเฉพาะและไมสามารถป้องกันให้คู่แข่งเข้ามาได้ ธุรกิจส่วนตัวจำนวนมากจึงมีผลการดำเนินงานที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ และมักจะอยู่ได้ไม่นาน เมื่อธุรกิจล้มเหลว เงินลงทุนที่เหลืออยู่ก็จะสูญไม่สามารถจะไปขายให้คนอื่นได้เพราะไม่มีสภาพคล่องเลย

มาดูด้านของการลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์บ้างว่ามีข้อดีอย่างไร เทียบกับการทำธุรกิจเอง

ข้อดีข้อแรกก็คือ การซื้อหุ้นในตลาดนั้น เราสามารถเลือกธุรกิจได้มากตั้งแต่ธุรกิจร้านอาหาร สร้างบ้านขาย เลี้ยงและขายกุ้งไปจนถึงการทำโรงปูนซีเมนต์ กิจการโรงแรม สถาบันการเงิน ให้บริการโทรศัพท์มือถือ โรงไฟฟ้า ร้านหนังสือ เกือบจะพูดได้ว่า คุณอยากลงทุนในธุรกิจอะไร ตลาดหลักทรัพย์มีให้หมด ดังนั้นจึงไม่มีข้อจำกัดว่าคุณจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญถึงจะทำธุรกิจได้

ข้อดีข้อที่สองก็คือ การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เราไม่ต้องใช้เงินมากในการซื้อหุ้นแต่ละตัว ดังนั้นเราสามารถกระจายลงทุนถึง 10 ธุรกิจได้โดยเงินเพียงไม่กี่แสนบาท และการลงทุนไม่ต้องลงทีเดียวเป็นก้อนใหญ่สามารถทะยอยลงทุนได้เรื่อย ๆ เมื่อเรามีเงินเพิ่มขึ้นจากการทำงานปกติของเรา

การกระจายการลงทุนออกไปได้หลาย ๆ ธุรกิจนั้นทำให้การลงทุนซื้อหุ้นนั้นปลอดภัยกว่าการทำธุรกิจด้วยตนเองมาก

ข้อดีข้อที่สามก็คือ เราสามารถขายหุ้นออกไปได้ทั้งในกรณีที่ลงไปแล้ว กิจการดีขึ้นทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นมีกำไรจากการลงทุน และในกรณีที่ลงทุนแล้วกิจการตกต่ำลงจนเราเห็นว่าถ้าลงทุนต่อจะอันตราย เราก็สามารถขาย "ธุรกิจ" นั้นทิ้งได้ถึงแม้ว่าจะต้องขาดทุนบ้าง เรียกว่าหุ้นนั้นมีสภาพคล่องในการเปลี่ยนมือ

ข้อดีข้อที่สี่ก็คือ การลงทุนซื้อหุ้นเราไม่เหนื่อย เราเพียงแต่คิดและวิเคราะห์กิจการให้ดี ดูว่าราคาหุ้นที่ซื้อขายอยู่มีราคาถูกกว่าราคาที่ควรจะเป็นค่อนข้างมากและมีความปลอดภัยหรือ Margin of Safety สูง เราก็สั่งซื้อหุ้น จากนั้นเราก็เพียงแต่ติดตามดูแลว่าธุรกิจยังดำเนินไปด้วยดี ทั้งหมดนี้ใช้เวลาและแรงงานน้อยมาก

ข้อเสียของการลงทุนซื้อหุ้นก็มีหลายข้อเช่นเดียวกัน ข้อแรกก็คือ การลงทุนซื้อหุ้นนั้นมักจะให้ผลตอบแทนไม่สูงนัก ในระยะยาวแล้วผลตอบแทนเฉลี่ยน่าจะได้ประมาณปีละ 10% ถ้าเราลงทุนโดยมีความรู้หรือความสามารถไม่สูงนักแต่ก็ไม่ถึงกับแย่ เพราะในระยะยาวแล้วผลตอบแทนโดยเฉลี่ยของหุ้นในประเทศไทย ผมคิดว่าน่าจะโตประมาณปีละ 10% โอกาสมากกว่านี้มีน้อยเพราะกิจการของไทยที่ดีจริง ๆ มีไม่มาก

การที่ผมพูดว่าการลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทนไม่สูงมากนี้ ผมเปรียบเทียบกับการทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าเปรียบเทียบกับการฝากเงินแล้ว การลงทุนซื้อหุ้นจะให้ผลตอบแทนสูงกว่ามาก เพราะผมเชื่อว่านับจากนี้ไปอีกนับ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของไทยจะยังคงค่อนข้างต่ำอยู่ โดยเฉลี่ยน่าจะไม่เกิน 5% ต่อปี

ข้อเสียอื่น ๆ ของการลงทุนซื้อหุ้นซึ่งผมจะเขียนเหมารวมเลยก็คือ การลงทุนซื้อหุ้นนั้นเรามักจะถูกเอาเปรียบหรือถูกโกงจากเจ้าของบริษัทหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ เพราะเราไม่มีข้อมูลหรือความใกล้ชิดว่าเขาทำอะไรกับบริษัท ตัวเจ้าของเองก็ถือว่าตนมีอำนาจควบคุมกิจการค่อนข้างเบ็ดเสร็จ และเห็นว่าผู้ถือหุ้นรายย่อยมักไม่ค่อยสนใจว่าผู้บริหารหรือเจ้าของจะทำอะไร หรือถึงจะสนใจก็คงทำอะไรไม่ได้ ดังนั้น การที่เจ้าของหรือผู้บริหารจะฉกฉวยประโยชน์จากบริษัทจึงเป็นเรื่องปกติ

หลังจากวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของการทำธุรกิจและของการลงทุนซื้อหุ้นแล้ว หน้าที่ของเราก็คือจะต้องตัดสินใจเลือกว่าจะไปทางไหน

ความชอบและคุณสมบัติส่วนตัวของแต่ละคนก็มีส่วนมากที่จะกำหนดว่าเขาควรเป็นคนทำธุรกิจหรือควรเป็นนักลงทุน

โดยส่วนตัวผมคิดว่าคนส่วนใหญ่น่าจะมีความเหมาะสมที่จะเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่า เพราะการทำธุรกิจส่วนตัวนั้น ต้องใช้ความสามารถและความอดทนสูงมาก ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงมหาศาล ซึ่งทำให้คนที่จะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้น่าจะเป็นคนส่วนน้อยและเป็นคนที่พิเศษจริง ๆ เท่านั้น ส่วนการเป็นนักลงทุนนั้น คุณเพียงแต่ศึกษาหลักการลงทุนให้ดี ฝึกซ้อมวิธีการเลือกซื้อหุ้น และไม่ซื้อขายเก็งกำไรตามอย่างนักเล่นหุ้นทั่วไป เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

เม่าตาสว่างเม่าตาสว่างเม่าตาสว่างเม่าตาสว่าง

ปล. เป็นอีกหนึ่งบทความดีๆที่ครบถ้วนครับ  พื้นฐานชีวิตคืองานที่ทำ หรือ ธุรกิจที่มี มุ่งมั่นครับ ทำให้เป็นงานหลัก ส่วนหุ้นจัดเป็นแค่อาชีพเสริมก็พอ หลายๆคนรู้ดีว่า ที่ทำให้เรา กินอิ่ม นอนอุ่น นั้นมาจากไหน และที่ทำให้เรา นอนหนาว และกังวล มาจากหุ้น หรือ มาจากธุรกิจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่