สรุปเรื่องการเงิน สำหรับชาวมุสลิม อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ครบจบในโพสต์เดียว /โดย ลงทุนแมน

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การบริหารเงิน คือทักษะที่สำคัญในการใช้ชีวิต
เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนมีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ และเป็นตัวสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตด้วย

https://www.facebook.com/share/p/1D6QWxhxRR/?mibextid=wwXIfr


อย่างไรก็ตาม การเงินอิสลามมีความแตกต่างจากการเงินทั่วไปในบางส่วน
ตรงที่ต้องยึดหลักชะรีอะฮ์ หรือหลักธรรมอันเป็นข้อกำหนดต่าง ๆ ในชีวิตของชาวมุสลิม

แล้วการเงินอิสลามคืออะไร และจะบริหารเงินอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

เมื่อพูดถึงการบริหารเงิน จุดเริ่มต้นคงไม่พ้น “เงินฝาก”

แต่ชาวมุสลิมจะไม่สามารถฝากเงินในธนาคารทั่วไปได้โดยตรง เพราะว่ามีดอกเบี้ย

ซึ่งดอกเบี้ยถือว่าเป็น ฮารอม หรือสิ่งต้องห้ามในศาสนาอิสลาม
จากมุมมองที่ว่า การเก็บดอกเบี้ย เป็นการลดทอนทรัพย์สินของผู้อื่น

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันหลายธนาคารมีบริการฝากเงินระบบอิสลามแล้ว
โดยรูปแบบการฝากเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ “วะดีอะห์ ยัด เดาะมานะฮ์”

เป็นการฝากเงินที่ผู้ฝากอนุญาตให้สถาบันการเงิน สามารถนำไปลงทุนตามหลักศาสนาอิสลามได้ และสามารถถอนคืนได้เต็มจำนวน แต่จะไม่มีการกำหนดผลตอบแทน

โดยผลตอบแทนที่ได้จะขึ้นอยู่กับ 2 ส่วนคือ

- สัดส่วนการแบ่งผลตอบแทน (ลูกค้า : ธนาคาร)
- อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนของธนาคาร

จากเงื่อนไขจะเห็นได้ว่า มันคือการแบ่งกำไร
ดังนั้นผลตอบแทนจึงไม่ใช่ดอกเบี้ย

นี่เองที่เป็นความแตกต่างระหว่าง บัญชีเงินฝากทั่วไป กับ บัญชีเงินฝากระบบอิสลาม

และเมื่อพูดถึงฝั่งผู้ฝากเงินแล้ว ก็ต้องไม่ลืมอีกฝั่งหนึ่ง นั่นคือ “ผู้กู้เงิน”

แต่กระบวนการของธนาคารอิสลาม จะมีความแตกต่างจากธนาคารทั่วไป ตรงที่แทนที่จะเก็บเป็นดอกเบี้ย เปลี่ยนเป็นการใช้ หลักการซื้อขายมุรอบาฮะฮ์ หรือการซื้อมาขายไป ที่มีการเปิดเผยต้นทุนกับกำไรอย่างชัดเจน

โดยธนาคารจะทำหน้าที่ในการซื้อทรัพย์สินที่ลูกค้าต้องการ แล้วนำมาบวกกำไร
หลังจากนั้นจะให้ลูกค้าทำหน้าที่ผ่อนชำระเงินเป็นงวด ๆ

เพื่อให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้น ขอยกตัวอย่างหากเราเป็นชาวมุสลิม และต้องการกู้เงินเพื่อซื้อบ้าน

เราก็จะเริ่มต้นจากการเข้าไปแจ้งความประสงค์กับธนาคารเพื่อขอสินเชื่อ
ต่อมาธนาคารจะพิจารณาว่า เป็นสิ่งที่ผิดต่อหลักศาสนาอิสลามหรือไม่ รวมถึงประเมินความสามารถในการชำระคืนเงินของเราด้วย

หากอนุมัติผ่านแล้ว ธนาคารจะแต่งตั้งให้เราเป็นตัวแทนในการซื้อบ้าน และชำระเงินให้

ดังนั้นบ้านจึงกลายเป็นของธนาคารก่อน หลังจากนั้นธนาคารจะขายบ้านให้กับเรา
ในราคาต้นทุน + กำไร ตามที่ตกลงกันไว้ โดยเราจะชำระเงินแบบผ่อนเป็นงวด ๆ จนครบตามสัญญา

โดยจะไม่มีการเพิ่มหรือลดกำไร จนครบสัญญา ซึ่งต่างจากอัตราดอกเบี้ยที่สามารถปรับขึ้นหรือลดลงตามภาวะเศรษฐกิจได้ (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลอยตัว)

ต่อมาอีกหนึ่งสิ่งที่พอเราเข้าสู่วัยทำงานมักจะใช้กันคือ “บัตรเครดิต”

ข้อดีของบัตรเครดิตมีประโยชน์มากมาย หากเราใช้มันเป็น ตั้งแต่สะดวก, ได้รับส่วนลด, เครดิตเงินคืน, สะสมคะแนน, ได้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จนถึงเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน

แล้วชาวมุสลิมใช้บัตรเครดิตได้หรือไม่ ?

คำตอบคือ หากไม่มีความจำเป็น ควรหลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิต
เพราะเป็นการทำสัญญาการกู้ยืมเงิน ที่มีการคิดดอกเบี้ย

แต่ถ้ามีความจำเป็น ให้ใช้อย่างมีความมั่นใจว่า จะไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย โดยจะต้องชำระเต็มจำนวนตามกำหนดเวลาเท่านั้น ไม่ชำระเฉพาะขั้นต่ำ

รวมถึงจะต้องไม่กดเงินสดจากบัตรเครดิตหรือใช้บริการกู้ยืมใด ๆ จากวงเงินบัตรเครดิตด้วย..

ส่วนบัตรเดบิต ชาวมุสลิมสามารถใช้ได้อย่างปกติ

ทีนี้พอทำงานสักพักแล้ว หลายคนจะเริ่มอยากลงทุน ให้เงินที่เก็บออมได้เติบโตอย่างรวดเร็ว จะได้สร้างความมั่งคั่งและมั่นคงในชีวิต

หากพูดถึงสินทรัพย์เพื่อการลงทุน ที่คนส่วนใหญ่นึกถึง คงไม่พ้น “หุ้น” เพราะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่ค่อนข้างน่าดึงดูด

แต่หุ้นที่ชาวมุสลิมจะลงทุนได้คือ “หุ้นฮาลาล”

หุ้นฮาลาลคือ หุ้นที่ผ่านการคัดกรองตามหลักศาสนาอิสลาม หรือสอดคล้องกับการลงทุนตามหลักชะรีอะฮ์

หุ้นประเภทใดบ้างที่ไม่ฮาลาล หรือฮารอม ? ซึ่งชาวมุสลิม ลงทุนไม่ได้

1. ธุรกิจที่เป็นกลุ่มสถาบันการเงิน เช่น ธนาคาร, ประกันภัย และกลุ่มปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้มีรายได้จาก “ริบา” หรือดอกเบี้ย

2. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิง เช่น โรงภาพยนตร์, ดนตรี และโรงแรมทั่วไป

อย่างไรก็ดี ชาวมุสลิมก็สามารถลงทุนในกิจการโรงแรมได้ หากนั่นคือ โรงแรมฮาลาล โดยโรงแรมฮาลาลเป็นโรงแรมที่ปฏิบัติถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามเท่านั้น

เช่น ไม่มีอาหารที่ทำจากเนื้อหมู, ไม่มีบริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, มีพื้นที่สำหรับการทำละหมาด, ไม่มีสถานบันเทิงภายในโรงแรม และอื่น ๆ อีกมากมาย

3. ธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับสุกร เช่น ฟาร์มสุกร และร้านอาหารที่จัดจำหน่ายเนื้อสุกร

4. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอบายมุข เช่น ยาสูบ, แอลกอฮอล์ และการพนัน

นอกจากดูประเภทของกิจการแล้ว สิ่งที่ชาวมุสลิมต้องดูต่อมาคือ โครงสร้างทางการเงินของกิจการ

โดยเกณฑ์โครงสร้างทางการเงินที่ถือว่าขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม เป็นดังนี้

1. หนี้สิน ต่อสินทรัพย์สูงกว่า 33%
2. ลูกหนี้และเงินสด ต่อสินทรัพย์สูงกว่า 50%
3. เงินสดและตั๋วเงินชนิดมีดอกเบี้ย ต่อสินทรัพย์รวมสูงกว่า 33%
4. ดอกเบี้ยรวมและรายได้อื่น ๆ ที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม ต่อรายได้รวมสูงกว่า 5%

ซึ่งเกณฑ์ที่กล่าวมา เป็นการตีความจากอัลกุรอาน และเป็นไปตามหลักของชะรีอะฮ์

แม้ว่าเราจะต้องกรองหุ้นหลายส่วน แต่ข่าวดีสำหรับชาวมุสลิมคือ เราไม่ต้อง งมหาว่าหุ้นตัวไหนบ้างที่ฮาลาล เพราะปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่คอยช่วยเหลือในส่วนนี้ให้แล้ว เช่น Musaffa ที่เพียงแค่เซิร์ชชื่อ “หุ้น” หรือ “ETF” ก็บอกได้เลยว่า ฮาลาลหรือไม่

แม้ว่าสุดท้ายเราจะลงทุนในหุ้น ตรงตามประเภทและเกณฑ์โครงสร้างทางการเงินแล้ว
แต่การลงทุนที่ดีตามหลักศาสนาอิสลาม คือต้องตรงกับหลักการมุชาเราะกะฮ์ด้วย

นั่นคือ ซื้อหุ้น เพราะ “อยากเป็นเจ้าของกิจการ ไม่ใช่เพื่อเก็งกำไร”
ซึ่งก็ตรงกับหลักการของนักลงทุนระดับโลกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น

- Warren Buffett มหาเศรษฐี Top 10 ของโลก ที่ร่ำรวยจากการลงทุนในหุ้น และเป็นต้นแบบนักลงทุนเน้นคุณค่าทั่วโลก
- Mohnish Pabrai นักลงทุนเชื้อสายอินเดีย-อเมริกัน ที่โดดเด่นจากการลงทุนในบริษัทที่มีความเสี่ยงต่ำ และให้ผลตอบแทนสูง

แต่จากเหตุผลนี้ ทำให้การใช้มาร์จิน, เดย์เทรด, ออปชัน และฟิวเจอร์ส
จึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม

แล้วตราสารหนี้ต่าง ๆ เช่น หุ้นกู้ ถือเป็นสินทรัพย์ที่ชาวมุสลิมลงทุนได้หรือไม่ ?

คำตอบก็คือ “ไม่ได้” เพราะนับเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีตราสารหนี้ ที่ชาวมุสลิมสามารถลงทุนได้แล้วเช่นกัน นั่นคือ “ศุกูก”

รูปแบบของศุกูก คือ ผู้ระดมทุนจะต้องขายสินทรัพย์ให้กับนิติบุคคลเฉพาะกิจก่อน ในราคาที่เท่ากับจำนวนเงินที่ต้องการระดมทุน

หลังจากนั้นนิติบุคคลเฉพาะกิจ จึงจะทำการออกตราสารหนี้ เพื่อเสนอขายให้กับนักลงทุนในเวลาต่อมา

ซึ่งผู้ที่ลงทุนจะมีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น ต่างจากผู้ถือตราสารหนี้ทั่วไป
ขณะที่ผู้ระดมทุนต้องทำการเช่าสินทรัพย์ ภายในระยะเวลาและอัตราค่าเช่าที่ตกลงกันไว้

ผลตอบแทนจึงอยู่ในรูปแบบของ “ค่าเช่า” แทน ไม่ผิดต่อหลักศาสนาอิสลามนั่นเอง

ส่วนกองทุนรวม ก็มีกองทุนรวมอิสลามโดยเฉพาะ ทั้งแบบลงทุนในประเทศและต่างประเทศ

สุดท้ายสำหรับเรื่องการลงทุน อย่างคริปโทเคอร์เรนซี ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามหรือไม่
คำตอบคือ “ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน”

โดยฝั่งที่เห็นด้วยกับการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี ให้เหตุผลว่าคริปโทเคอร์เรนซีนั้น สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการได้ ไม่ต่างจากเงินทั่วไป จึงไม่ถือเป็นเรื่องที่ผิด

ขณะที่กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย มองว่าคริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนมากและเสี่ยงเกินไป รวมถึงมีคนบางกลุ่มใช้ในการก่ออาชญากรรมประเภทต่าง ๆ ด้วย เช่น การฟอกเงิน

ปิดท้ายด้วยการบริหารเงินด้านความเสี่ยงอย่าง “ประกัน”

ปกติประกันจะเป็นสิ่งที่ชาวมุสลิมไม่สามารถใช้ได้ ด้วย 2 เหตุผลหลัก คือ

1. เบี้ยประกันถูกนำไปลงทุนต่อในสิ่งที่ผิดสำหรับศาสนาอิสลาม เช่น ตราสารหนี้ และหุ้นที่มีกิจการขัดต่อหลักศาสนา

2. ความไม่ชัดเจน หรือความไม่แน่นอนของสัญญา โดยธรรมชาติของรูปแบบประกัน ที่เราไม่มีทางรับรู้ได้ว่า ความสูญเสียจะเกิดขึ้นเมื่อใด ทำให้สัญญาไม่มีความชัดเจน ไม่รู้ว่าสุดท้ายใครจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ ระหว่างบริษัทประกัน หรือผู้ทำประกัน จึงเปรียบเสมือนกับการพนัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักศาสนา

อย่างไรก็ตาม มีประกันบางรูปแบบ ที่ออกแบบมาเพื่อให้ตรงกับหลักศาสนาอิสลาม โดยประกันนั้นมีชื่อว่า “ตะกาฟุล” จะมีความแตกต่างจากประกันทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น

- รูปแบบของตะกาฟุล ที่เป็นการให้สมาชิกในกลุ่มทุกคนตกลงร่วมมือกัน บริจาคเงินเข้าสู่กองกลาง เพื่อสะสมไว้ช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่ผู้อื่น ที่เกิดความสูญเสียในอนาคต

- ตะกาฟุลประกอบไปด้วย สัญญาการบริจาคและการมอบหมายให้บริษัทดูแล
ขณะที่อีกฝั่งคือการซื้อ-ขาย กรมธรรม์ ระหว่างบริษัท และผู้เอาประกันภัย

- ตะกาฟุลจะไม่ลงทุนในสิ่งที่มีดอกเบี้ย และหุ้นที่มีกิจการขัดต่อหลักศาสนา

- ผู้ทำตะกาฟุลจะบริจาคเข้ากองทุน โดยสมาชิกตะกาฟุลเป็นเจ้าของเงิน หากใครเกิดเหตุจะนำเงินนี้ไปช่วยเหลือ

และทั้งหมดนี้ก็คือ เรื่องราวของการเงินอิสลาม ที่แม้ว่าจะเห็นรายละเอียดในแต่ละจุดมากมาย แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง ก็อาจจะเป็นประโยชน์ ตั้งแต่

หลีกเลี่ยงการลงทุนในกิจการที่มีหนี้สินต่อสินทรัพย์สูงกว่า 33% ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะเจอกิจการที่ล้มละลายในแต่ละวิกฤติ

หรือการที่ต้องลงทุนในหุ้น เปรียบเสมือนเจ้าของกิจการ ที่ต้องมีความเข้าใจในกิจการและถือในระยะยาว ก็ช่วยให้เราลงทุนอย่างมีสติ และสร้างกรอบแนวคิดในการลงทุนได้เป็นอย่างดี

รวมถึงการใช้บัตรเครดิตเท่าที่จำเป็น ทำให้ไม่เกิดการใช้จ่ายเกินตัว จนเป็นหนี้เป็นสินพอกพูนอย่างไม่รู้ตัว..

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่