“ซื้อ กู้ ตาย” สูตรลับที่ Elon Musk ใช้เลี่ยงภาษี แต่ไม่ต้องใช้วิธีนี้ ถ้าเกิดเป็นคนไทย | MONEY LAB
0 บาท คือเงินเดือนที่ Elon Musk ได้รับเป็นเงินสดในฐานะ CEO ของ Tesla
แต่ถึงแม้ Elon Musk จะไม่ได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดเลยสักบาท แต่ Elon Musk ก็ได้รับค่าตอบแทนเป็นหุ้นแทน
ปัญหาก็คือ ถ้า Elon Musk ขายหุ้นเหล่านั้นออกมา เพื่อนำเงินออกมาใช้จ่าย เขาจะต้องเสียอำนาจในการควบคุมบริษัทไปบางส่วน
และการขายหุ้นในสหรัฐอเมริกา ยังต้องเสียภาษีส่วนต่างกำไรจากการขายหุ้นในอัตราที่สูงมากอีกด้วย
ขณะเดียวกัน Tesla ก็เป็นบริษัทที่ไม่เคยประกาศจ่ายเงินปันผลเลย แม้แต่ครั้งเดียว
แต่เชื่อไหมว่า Elon Musk มีวิธีเสกเงินมาใช้จ่ายได้นับแสนล้านบาท โดยที่ไม่จำเป็นต้องขายหุ้นออกมาเลย แถมไม่ต้องเสียภาษีเงินได้อีกด้วย
แล้ว Elon Musk ทำอย่างไร ถึงมีเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ และยังไม่ต้องเสียภาษี ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ในสหรัฐอเมริกา กำไรที่เราได้จากการขายหุ้น ต้องเสียภาษีส่วนต่างกำไร หรือ Capital Gains Tax ยิ่งใครมีกำไรมาก คนนั้นก็ยิ่งต้องเสียภาษีมาก
เพราะกฎหมายนี้ มีขึ้นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เก็บภาษีจากคนที่มีกำไรจากการขายทรัพย์สินจำนวนมาก ซึ่งคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ก็คือ นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และเจ้าของกิจการ
อย่างไรก็ตาม กฎหมายทุกประเทศ ย่อมมีช่องโหว่ให้หลีกเลี่ยง ไม่เว้นแม้แต่ภาษีส่วนต่างกำไรของสหรัฐฯ
โดยกลยุทธ์ที่เหล่าเศรษฐีสหรัฐฯ ใช้ในการเลี่ยงภาษีส่วนต่างกำไร คือกลยุทธ์ที่เรียกว่า “Buy Borrow Die” หรือแปลเป็นไทยว่า “ซื้อ กู้ ตาย”
กลยุทธ์นี้ถูกนำเสนอโดย ศาสตราจารย์ Edward J. McCaffery ในปี 1990 เพื่ออธิบายว่าเศรษฐีสหรัฐฯ ใช้วิธีไหนในการจ่ายภาษีให้น้อยลง
โดยเริ่มแรกเศรษฐีจะหาทางลดรายได้ของตัวเองลง เช่น รับค่าตอบแทนเป็นหุ้น แทนเงินสด เพื่อให้มีรายได้ที่ต้องนำไปคำนวณภาษีน้อยที่สุด จากนั้นก็เริ่มใช้กลยุทธ์ “ซื้อ กู้ ตาย”
เริ่มจากขั้นตอนแรก คือ “ซื้อ”
ซื้อในที่นี้ หมายถึงการที่เหล่าเศรษฐีนำเงินไปลงทุน ซื้อสินทรัพย์ที่คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ หรืองานศิลปะ
อย่างไรก็ตาม เศรษฐีที่เป็นเจ้าของธุรกิจ หรือเป็นผู้บริหาร มักจะมีหุ้นอยู่ในมือมากพออยู่แล้ว จนแทบไม่ต้องซื้อเพิ่มเลย
ถ้าสินทรัพย์พวกนี้ยังไม่ถูกขายออกไป กำไรจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นก็ยังไม่ถูกคิดภาษี เราจึงเห็นเหล่าเศรษฐีไม่ค่อยขายสินทรัพย์เหล่านี้กันบ่อย ๆ
ซึ่งถ้าเศรษฐีเหล่านี้ มีสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดให้ตัวเองได้อย่างเพียงพอแล้ว ก็จะจบอยู่ที่ขั้นตอนนี้
แต่ถ้าเศรษฐีคนไหน ไม่มีรายได้อื่นเป็นเงินสดเข้ามาในกระเป๋า แต่มีสินทรัพย์เยอะ
อย่างเช่น Elon Musk ที่มีหุ้น Tesla เป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีรายได้ และไม่มีเงินปันผลเข้ากระเป๋าสักบาท ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2
ขั้นตอนที่ 2 คือ “กู้”
วิธีนี้คือ การนำหุ้น หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ไปวางค้ำประกัน แล้วกู้เงินจากธนาคาร เพื่อนำเงินมาใช้จ่าย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จำนวนเงินที่เรากู้ได้ จะไม่เท่ากับมูลค่าสินทรัพย์ที่เรานำไปค้ำประกัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงในแต่ละสินทรัพย์
ยกตัวอย่างเช่น หากนำหุ้นไปค้ำประกัน ธนาคารก็มักจะปล่อยกู้ประมาณ 50% ของมูลค่าหุ้นที่นำไปค้ำประกัน เช่น หุ้นมูลค่า 100 ล้านบาท ก็กู้เงินได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท
เมื่อราคาหุ้นลงมา 50% เจ้าของหุ้นที่นำหุ้นไปค้ำประกัน ก็ต้องหาสินทรัพย์อื่นมาค้ำประกันเพิ่มเติม เพื่อคงมูลค่าสินทรัพย์ค้ำประกัน
ถ้าไม่อย่างนั้น ก็ต้องหาเงินสดมาลดหนี้ หรือถูกบังคับขายหุ้น เพื่อไม่ให้สินทรัพย์ค้ำประกันมีมูลค่าลดลงไปเรื่อย ๆ
ในทางกลับกัน ถ้าราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น มูลค่าสินทรัพย์ที่ค้ำประกันอยู่ก็จะสูงขึ้น ทำให้สามารถกู้เงินได้เพิ่มขึ้นอีก
ส่วนสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำกว่าหุ้น อย่างอสังหาริมทรัพย์ สามารถกู้เงินได้มากถึง 70% ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ ที่นำไปค้ำประกันเงินกู้เลยทีเดียว
ซึ่ง Elon Musk ก็ใช้วิธีนี้ ในการนำหุ้น Tesla ของตัวเองไปค้ำประกันเงินกู้ นำเงินออกมาใช้จ่าย
โดย ณ สิ้นปี 2024 มีรายงานว่า Elon Musk นำหุ้น Tesla ไปค้ำประกันเงินกู้มากถึง 58% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่เขามี
ซึ่ง Elon Musk ถือครองหุ้น Tesla มากถึง 410 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 12.4% ของหุ้นทั้งหมดของ Tesla
แปลว่า Elon Musk ใช้หุ้นมากกว่า 200 ล้านหุ้น ไปค้ำประกันเงินกู้
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการนำหุ้นไปค้ำประกันก็คือ การถูกบังคับขายหุ้น เมื่อราคาหุ้นลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่ธนาคารกำหนด
ซึ่งถ้า Elon Musk ถูกบังคับขายหุ้น เขาก็จะสูญเสียอำนาจในการควบคุมบริษัททันที
แต่ด้วยความที่ Elon Musk เป็นผู้บริหารคนสำคัญของ Tesla ทางฝ่ายคณะกรรมการบริษัทของ Tesla จึงออกกฎไม่ให้ Elon Musk กู้เงินโดยใช้หุ้น Tesla เป็นหลักประกันเกิน 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 110,000 ล้านบาท
เพื่อป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่หุ้น Tesla ปรับตัวลงอย่างหนัก จน Elon Musk ถูกบังคับขายหุ้น แล้วต้องสูญเสียอำนาจในการควบคุมบริษัทไป
ปัจจุบัน ราคาหุ้น Tesla อยู่ที่ประมาณ 400 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น แปลว่าต่อให้ Elon Musk กู้เงินเต็มอัตราที่ 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็จะคิดเป็นเพียงไม่ถึง 4% ของมูลค่าหุ้นที่นำไปค้ำประกัน
หมายความว่า ต่อให้ราคาหุ้น Tesla ลงไปมากกว่า 90% Elon Musk ก็ยังไม่ถูกบังคับขายหุ้นที่ถูกใช้เป็นหลักประกันเงินกู้
และเมื่อ Elon Musk กู้เงินออกมาได้แล้ว เงินจำนวนนั้นก็ถูกใช้ได้ทันทีแบบเต็มจำนวน ไม่ต้องเสียภาษี เพราะเงินกู้ ไม่ถูกนับว่าเป็นรายได้
ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจะต่ำมาก เพราะมีสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงอย่างหุ้น มาค้ำประกันเงินกู้
ซึ่งเศรษฐีอย่าง Elon Musk จะได้รับเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก อยู่ที่ประมาณ 2-3% เท่านั้น
ทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละปีน้อยมาก เมื่อเทียบกับเงินที่ Elon Musk กู้ออกมา
และหากเงินกู้ของ Elon Musk ถึงกำหนดชำระเงินต้น เขาก็แค่หาเงินกู้ก้อนใหม่ ไปจ่ายเงินกู้ก้อนเก่า หรือที่เรียกว่าการ Rollover หนี้
วิธีนี้จะทำให้ Elon Musk มีเงินมาใช้จ่ายจากการกู้หนี้ไปตลอดชีวิต แทนการขายหุ้น, รับเงินเดือน หรือรับเงินปันผล ที่ล้วนแล้วแต่ต้องจ่ายภาษี
และถึงแม้ว่ามีน้อยครั้งมากที่ Elon Musk จะได้เสียภาษี เช่น ในปี 2021 ที่เขาต้องเสียภาษีมากถึง 349,000 ล้านบาท จากการใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นที่กำลังจะหมดอายุ
แต่เมื่อเทียบความมั่งคั่งที่เขาได้มาในปีนั้น ซึ่งอยู่ที่ 2,700,000 ล้านบาท กับเงินภาษีที่จ่ายไป ก็ถือว่าเป็นสัดส่วนที่ต่ำมาก
ทว่าวิธีเลี่ยงไม่จ่ายภาษีของ Elon Musk หยุดอยู่แค่เพียงขั้นตอนนี้เท่านั้น แต่ยังมีขั้นตอนสุดท้าย ที่จะถูกนำมาใช้หลัง Elon Musk เสียชีวิต เพื่อลดภาษีมรดก และชำระหนี้ในที่สุด
ขั้นตอนสุดท้าย คือ “ตาย”
คงไม่มีใครอยากตาย แต่ความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
และสิ่งที่จะตามมาหลังการตายของ Elon Musk ก็คือ ภาษีมรดก และหนี้สินที่ต้องชำระ
แต่ถ้า Elon Musk ทำประกันชีวิตไว้ก่อนตาย โดยมีวงเงินคุ้มครองเทียบเท่ากับยอดหนี้ที่ลูกหลานต้องชำระแทน
ก็จะทำให้ลูกหลานไม่ต้องลำบากหาเงินมาชำระหนี้แทน Elon Musk เพราะมีวงเงินจากประกันชีวิตเตรียมพร้อมไว้แล้ว
นอกจากนี้กฎหมายภาษีของสหรัฐฯ ยึดหลักการที่เรียกว่า Step-Up in the Cost Basis หมายความว่า หากวันที่มีการโอนหุ้น Tesla เป็นมรดกให้ทายาทของ Elon Musk หุ้นซื้อขายกันในราคา 400 ดอลลาร์สหรัฐ
ต้นทุนหุ้น Tesla ของทายาท ที่เป็นผู้ถือครองหุ้นคนใหม่ก็จะเท่ากับ 400 ดอลลาร์สหรัฐ ไม่ใช่ 0.001 ดอลลาร์สหรัฐ ที่เป็นราคาพาร์ ซึ่งเป็นต้นทุนของผู้ก่อตั้งอย่าง Elon Musk
แล้วถ้าทายาทของ Elon Musk ตัดสินใจขายหุ้นวันที่ได้รับมรดก ที่ราคา 400 ดอลลาร์สหรัฐ เขาก็จะไม่ต้องเสียภาษีส่วนต่างกำไรเลย
อย่างไรก็ตาม การส่งต่อมรดกของ Elon Musk ก็ยังต้องเจอภาษีมรดกอีกทีด้วย
ภาษีนี้ก็มีวิธีหลีกเลี่ยงด้วยเช่นกัน ผ่านเครื่องมือทางการเงินที่เรียกว่า “Trust” ซึ่งเป็นกองทรัพย์สินที่จะถูกบริหารโดยบุคคลที่ 3 ที่มักจะเป็นสถาบันการเงิน
โดย Elon Musk ก็แค่ต้องโอนทรัพย์สินทั้งหมดที่จะส่งต่อเป็นมรดกเข้าไปในกอง Trust
จากนั้นก็ใส่ชื่อทายาท ให้เป็นผู้รับผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่อยู่ในกอง Trust แทน
ซึ่งทรัพย์สินที่อยู่ในกอง Trust จะไม่ถูกนำมาคิดภาษีมรดก เพราะกฎหมายมองว่า ผู้รับผลประโยชน์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินในทางกฎหมาย
หาก Elon Musk ทำตามกลยุทธ์นี้ เขาและทายาท ก็ไม่ต้องเสียภาษีส่วนต่างกำไร และไม่ต้องเสียภาษีมรดก แม้แต่หนี้เงินกู้ยืมของ Elon Musk ก็ถูกจ่ายด้วยเงินประกันชีวิต ไม่ต้องออกเงินเองแม้แต่บาทเดียว
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ รู้ไหมว่าหาก Elon Musk เกิดเป็นคนไทย แล้วมีหุ้นบริษัทตัวเอง ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย อยู่ในมืออยู่แล้ว Elon Musk จะไม่จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ “ซื้อ กู้ ตาย” เพื่อเลี่ยงภาษีเลย
เพราะในปัจจุบันประเทศไทยไม่เก็บภาษีส่วนต่างกำไร สำหรับการขายหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น
เพราะฉะนั้น ถ้าในอีกจักรวาลคู่ขนาน Elon Musk เป็นคนไทย
เขาจะมีเรื่องให้ปวดหัวแค่อย่างเดียว คือคิดว่าจะใช้เงินที่ได้จากการขายหุ้น ไปทำอะไรดี..
#วางแผนการเงิน
#หลักวางแผนการเงิน
#ElonMusk
ชื้อกุ้ตายสุตรลับที่elonmuskใช้เลี่ยงพาสี
“ซื้อ กู้ ตาย” สูตรลับที่ Elon Musk ใช้เลี่ยงภาษี แต่ไม่ต้องใช้วิธีนี้ ถ้าเกิดเป็นคนไทย | MONEY LAB
0 บาท คือเงินเดือนที่ Elon Musk ได้รับเป็นเงินสดในฐานะ CEO ของ Tesla
แต่ถึงแม้ Elon Musk จะไม่ได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดเลยสักบาท แต่ Elon Musk ก็ได้รับค่าตอบแทนเป็นหุ้นแทน
ปัญหาก็คือ ถ้า Elon Musk ขายหุ้นเหล่านั้นออกมา เพื่อนำเงินออกมาใช้จ่าย เขาจะต้องเสียอำนาจในการควบคุมบริษัทไปบางส่วน
และการขายหุ้นในสหรัฐอเมริกา ยังต้องเสียภาษีส่วนต่างกำไรจากการขายหุ้นในอัตราที่สูงมากอีกด้วย
ขณะเดียวกัน Tesla ก็เป็นบริษัทที่ไม่เคยประกาศจ่ายเงินปันผลเลย แม้แต่ครั้งเดียว
แต่เชื่อไหมว่า Elon Musk มีวิธีเสกเงินมาใช้จ่ายได้นับแสนล้านบาท โดยที่ไม่จำเป็นต้องขายหุ้นออกมาเลย แถมไม่ต้องเสียภาษีเงินได้อีกด้วย
แล้ว Elon Musk ทำอย่างไร ถึงมีเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ และยังไม่ต้องเสียภาษี ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ในสหรัฐอเมริกา กำไรที่เราได้จากการขายหุ้น ต้องเสียภาษีส่วนต่างกำไร หรือ Capital Gains Tax ยิ่งใครมีกำไรมาก คนนั้นก็ยิ่งต้องเสียภาษีมาก
เพราะกฎหมายนี้ มีขึ้นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เก็บภาษีจากคนที่มีกำไรจากการขายทรัพย์สินจำนวนมาก ซึ่งคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ก็คือ นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และเจ้าของกิจการ
อย่างไรก็ตาม กฎหมายทุกประเทศ ย่อมมีช่องโหว่ให้หลีกเลี่ยง ไม่เว้นแม้แต่ภาษีส่วนต่างกำไรของสหรัฐฯ
โดยกลยุทธ์ที่เหล่าเศรษฐีสหรัฐฯ ใช้ในการเลี่ยงภาษีส่วนต่างกำไร คือกลยุทธ์ที่เรียกว่า “Buy Borrow Die” หรือแปลเป็นไทยว่า “ซื้อ กู้ ตาย”
กลยุทธ์นี้ถูกนำเสนอโดย ศาสตราจารย์ Edward J. McCaffery ในปี 1990 เพื่ออธิบายว่าเศรษฐีสหรัฐฯ ใช้วิธีไหนในการจ่ายภาษีให้น้อยลง
โดยเริ่มแรกเศรษฐีจะหาทางลดรายได้ของตัวเองลง เช่น รับค่าตอบแทนเป็นหุ้น แทนเงินสด เพื่อให้มีรายได้ที่ต้องนำไปคำนวณภาษีน้อยที่สุด จากนั้นก็เริ่มใช้กลยุทธ์ “ซื้อ กู้ ตาย”
เริ่มจากขั้นตอนแรก คือ “ซื้อ”
ซื้อในที่นี้ หมายถึงการที่เหล่าเศรษฐีนำเงินไปลงทุน ซื้อสินทรัพย์ที่คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ หรืองานศิลปะ
อย่างไรก็ตาม เศรษฐีที่เป็นเจ้าของธุรกิจ หรือเป็นผู้บริหาร มักจะมีหุ้นอยู่ในมือมากพออยู่แล้ว จนแทบไม่ต้องซื้อเพิ่มเลย
ถ้าสินทรัพย์พวกนี้ยังไม่ถูกขายออกไป กำไรจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นก็ยังไม่ถูกคิดภาษี เราจึงเห็นเหล่าเศรษฐีไม่ค่อยขายสินทรัพย์เหล่านี้กันบ่อย ๆ
ซึ่งถ้าเศรษฐีเหล่านี้ มีสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดให้ตัวเองได้อย่างเพียงพอแล้ว ก็จะจบอยู่ที่ขั้นตอนนี้
แต่ถ้าเศรษฐีคนไหน ไม่มีรายได้อื่นเป็นเงินสดเข้ามาในกระเป๋า แต่มีสินทรัพย์เยอะ
อย่างเช่น Elon Musk ที่มีหุ้น Tesla เป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีรายได้ และไม่มีเงินปันผลเข้ากระเป๋าสักบาท ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2
ขั้นตอนที่ 2 คือ “กู้”
วิธีนี้คือ การนำหุ้น หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ไปวางค้ำประกัน แล้วกู้เงินจากธนาคาร เพื่อนำเงินมาใช้จ่าย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จำนวนเงินที่เรากู้ได้ จะไม่เท่ากับมูลค่าสินทรัพย์ที่เรานำไปค้ำประกัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงในแต่ละสินทรัพย์
ยกตัวอย่างเช่น หากนำหุ้นไปค้ำประกัน ธนาคารก็มักจะปล่อยกู้ประมาณ 50% ของมูลค่าหุ้นที่นำไปค้ำประกัน เช่น หุ้นมูลค่า 100 ล้านบาท ก็กู้เงินได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท
เมื่อราคาหุ้นลงมา 50% เจ้าของหุ้นที่นำหุ้นไปค้ำประกัน ก็ต้องหาสินทรัพย์อื่นมาค้ำประกันเพิ่มเติม เพื่อคงมูลค่าสินทรัพย์ค้ำประกัน
ถ้าไม่อย่างนั้น ก็ต้องหาเงินสดมาลดหนี้ หรือถูกบังคับขายหุ้น เพื่อไม่ให้สินทรัพย์ค้ำประกันมีมูลค่าลดลงไปเรื่อย ๆ
ในทางกลับกัน ถ้าราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น มูลค่าสินทรัพย์ที่ค้ำประกันอยู่ก็จะสูงขึ้น ทำให้สามารถกู้เงินได้เพิ่มขึ้นอีก
ส่วนสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำกว่าหุ้น อย่างอสังหาริมทรัพย์ สามารถกู้เงินได้มากถึง 70% ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ ที่นำไปค้ำประกันเงินกู้เลยทีเดียว
ซึ่ง Elon Musk ก็ใช้วิธีนี้ ในการนำหุ้น Tesla ของตัวเองไปค้ำประกันเงินกู้ นำเงินออกมาใช้จ่าย
โดย ณ สิ้นปี 2024 มีรายงานว่า Elon Musk นำหุ้น Tesla ไปค้ำประกันเงินกู้มากถึง 58% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่เขามี
ซึ่ง Elon Musk ถือครองหุ้น Tesla มากถึง 410 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 12.4% ของหุ้นทั้งหมดของ Tesla
แปลว่า Elon Musk ใช้หุ้นมากกว่า 200 ล้านหุ้น ไปค้ำประกันเงินกู้
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการนำหุ้นไปค้ำประกันก็คือ การถูกบังคับขายหุ้น เมื่อราคาหุ้นลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่ธนาคารกำหนด
ซึ่งถ้า Elon Musk ถูกบังคับขายหุ้น เขาก็จะสูญเสียอำนาจในการควบคุมบริษัททันที
แต่ด้วยความที่ Elon Musk เป็นผู้บริหารคนสำคัญของ Tesla ทางฝ่ายคณะกรรมการบริษัทของ Tesla จึงออกกฎไม่ให้ Elon Musk กู้เงินโดยใช้หุ้น Tesla เป็นหลักประกันเกิน 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 110,000 ล้านบาท
เพื่อป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่หุ้น Tesla ปรับตัวลงอย่างหนัก จน Elon Musk ถูกบังคับขายหุ้น แล้วต้องสูญเสียอำนาจในการควบคุมบริษัทไป
ปัจจุบัน ราคาหุ้น Tesla อยู่ที่ประมาณ 400 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น แปลว่าต่อให้ Elon Musk กู้เงินเต็มอัตราที่ 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็จะคิดเป็นเพียงไม่ถึง 4% ของมูลค่าหุ้นที่นำไปค้ำประกัน
หมายความว่า ต่อให้ราคาหุ้น Tesla ลงไปมากกว่า 90% Elon Musk ก็ยังไม่ถูกบังคับขายหุ้นที่ถูกใช้เป็นหลักประกันเงินกู้
และเมื่อ Elon Musk กู้เงินออกมาได้แล้ว เงินจำนวนนั้นก็ถูกใช้ได้ทันทีแบบเต็มจำนวน ไม่ต้องเสียภาษี เพราะเงินกู้ ไม่ถูกนับว่าเป็นรายได้
ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจะต่ำมาก เพราะมีสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงอย่างหุ้น มาค้ำประกันเงินกู้
ซึ่งเศรษฐีอย่าง Elon Musk จะได้รับเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก อยู่ที่ประมาณ 2-3% เท่านั้น
ทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละปีน้อยมาก เมื่อเทียบกับเงินที่ Elon Musk กู้ออกมา
และหากเงินกู้ของ Elon Musk ถึงกำหนดชำระเงินต้น เขาก็แค่หาเงินกู้ก้อนใหม่ ไปจ่ายเงินกู้ก้อนเก่า หรือที่เรียกว่าการ Rollover หนี้
วิธีนี้จะทำให้ Elon Musk มีเงินมาใช้จ่ายจากการกู้หนี้ไปตลอดชีวิต แทนการขายหุ้น, รับเงินเดือน หรือรับเงินปันผล ที่ล้วนแล้วแต่ต้องจ่ายภาษี
และถึงแม้ว่ามีน้อยครั้งมากที่ Elon Musk จะได้เสียภาษี เช่น ในปี 2021 ที่เขาต้องเสียภาษีมากถึง 349,000 ล้านบาท จากการใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นที่กำลังจะหมดอายุ
แต่เมื่อเทียบความมั่งคั่งที่เขาได้มาในปีนั้น ซึ่งอยู่ที่ 2,700,000 ล้านบาท กับเงินภาษีที่จ่ายไป ก็ถือว่าเป็นสัดส่วนที่ต่ำมาก
ทว่าวิธีเลี่ยงไม่จ่ายภาษีของ Elon Musk หยุดอยู่แค่เพียงขั้นตอนนี้เท่านั้น แต่ยังมีขั้นตอนสุดท้าย ที่จะถูกนำมาใช้หลัง Elon Musk เสียชีวิต เพื่อลดภาษีมรดก และชำระหนี้ในที่สุด
ขั้นตอนสุดท้าย คือ “ตาย”
คงไม่มีใครอยากตาย แต่ความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
และสิ่งที่จะตามมาหลังการตายของ Elon Musk ก็คือ ภาษีมรดก และหนี้สินที่ต้องชำระ
แต่ถ้า Elon Musk ทำประกันชีวิตไว้ก่อนตาย โดยมีวงเงินคุ้มครองเทียบเท่ากับยอดหนี้ที่ลูกหลานต้องชำระแทน
ก็จะทำให้ลูกหลานไม่ต้องลำบากหาเงินมาชำระหนี้แทน Elon Musk เพราะมีวงเงินจากประกันชีวิตเตรียมพร้อมไว้แล้ว
นอกจากนี้กฎหมายภาษีของสหรัฐฯ ยึดหลักการที่เรียกว่า Step-Up in the Cost Basis หมายความว่า หากวันที่มีการโอนหุ้น Tesla เป็นมรดกให้ทายาทของ Elon Musk หุ้นซื้อขายกันในราคา 400 ดอลลาร์สหรัฐ
ต้นทุนหุ้น Tesla ของทายาท ที่เป็นผู้ถือครองหุ้นคนใหม่ก็จะเท่ากับ 400 ดอลลาร์สหรัฐ ไม่ใช่ 0.001 ดอลลาร์สหรัฐ ที่เป็นราคาพาร์ ซึ่งเป็นต้นทุนของผู้ก่อตั้งอย่าง Elon Musk
แล้วถ้าทายาทของ Elon Musk ตัดสินใจขายหุ้นวันที่ได้รับมรดก ที่ราคา 400 ดอลลาร์สหรัฐ เขาก็จะไม่ต้องเสียภาษีส่วนต่างกำไรเลย
อย่างไรก็ตาม การส่งต่อมรดกของ Elon Musk ก็ยังต้องเจอภาษีมรดกอีกทีด้วย
ภาษีนี้ก็มีวิธีหลีกเลี่ยงด้วยเช่นกัน ผ่านเครื่องมือทางการเงินที่เรียกว่า “Trust” ซึ่งเป็นกองทรัพย์สินที่จะถูกบริหารโดยบุคคลที่ 3 ที่มักจะเป็นสถาบันการเงิน
โดย Elon Musk ก็แค่ต้องโอนทรัพย์สินทั้งหมดที่จะส่งต่อเป็นมรดกเข้าไปในกอง Trust
จากนั้นก็ใส่ชื่อทายาท ให้เป็นผู้รับผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่อยู่ในกอง Trust แทน
ซึ่งทรัพย์สินที่อยู่ในกอง Trust จะไม่ถูกนำมาคิดภาษีมรดก เพราะกฎหมายมองว่า ผู้รับผลประโยชน์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินในทางกฎหมาย
หาก Elon Musk ทำตามกลยุทธ์นี้ เขาและทายาท ก็ไม่ต้องเสียภาษีส่วนต่างกำไร และไม่ต้องเสียภาษีมรดก แม้แต่หนี้เงินกู้ยืมของ Elon Musk ก็ถูกจ่ายด้วยเงินประกันชีวิต ไม่ต้องออกเงินเองแม้แต่บาทเดียว
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ รู้ไหมว่าหาก Elon Musk เกิดเป็นคนไทย แล้วมีหุ้นบริษัทตัวเอง ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย อยู่ในมืออยู่แล้ว Elon Musk จะไม่จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ “ซื้อ กู้ ตาย” เพื่อเลี่ยงภาษีเลย
เพราะในปัจจุบันประเทศไทยไม่เก็บภาษีส่วนต่างกำไร สำหรับการขายหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น
เพราะฉะนั้น ถ้าในอีกจักรวาลคู่ขนาน Elon Musk เป็นคนไทย
เขาจะมีเรื่องให้ปวดหัวแค่อย่างเดียว คือคิดว่าจะใช้เงินที่ได้จากการขายหุ้น ไปทำอะไรดี..
#วางแผนการเงิน
#หลักวางแผนการเงิน
#ElonMusk