สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 20
เตี่ยเราเป็นคนจีนมาจากเมืองจีนอายุ 19 ปี ได้กลับไปเยี่ยมบ้านตอนอายุ เกือบ 80 ปี ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว
อยากฟังเรื่องเล่าของชาวจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทยบ้าง พอดีเตี่ยเราเป็นหนึ่งในนั้น ได้ฟังจากเตี่ยนำมาเขียนประวัติอ่านในงานศพของท่าน อยากฟังท่านอื่นๆ บ้าง ประวัติของเตี่ยเรา ดังนี้ค่ะ
ประวัติ คุณพ่อกอ แซ่อึง
คุณพ่อกอ แซ่อึง เกิดเมื่อปีพุทธศักราช 2470 ณ เมืองแต้จิ๋ว จังหวัดซัวเถา – เก๊กเอี๊ย (เมืองเซินเจิ้น ในปัจจุบัน) มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นบุตรของคุณพ่อติว และคุณแม่หุ่นลิก มีพี่น้องร่วมบิดามารดา รวม 3 คน ดังนี้
1. นายกอ แซ่อึง (ผู้วายชนม์)
2. นายขอ แซ่อึง (ถึงแก่กรรมแล้ว)
3. นางคอ แซ่อึง ยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันอยู่อาศัยที่สาธารณรัฐประชาชนจีน
เมื่อคุณพ่อกออายุได้ 19 ปี ประเทศจีนเกิดความแห้งแล้ง กันดาร ข้าวยากหมากแพง ขาดแคลนอาหาร และเป็นช่วงที่ประเทศต้องฟื้นฟูหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านเคยเล่าว่าขาดแคลนอาหารถึงขนาดขุดหัวมันขึ้นมาต้มกินแทนข้าว อีกทั้งคุณพ่อของท่านซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวได้เสียชีวิตลง คุณแม่จึงมอบน้องสาวที่ยังเล็กให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่ญาติที่ประเทศจีนเพื่อให้ช่วยดูแลแทน และตัดสินใจเดินทางมาประเทศไทยกับลูกชายทั้ง 2 คน รวม 3 ชีวิต เพื่อมาแสวงหาชีวิตที่ดีขึ้นที่ประเทศไทย
ในการเดินทางมาประเทศไทยหรือประเทศสยามในสมัยนั้น ต้องเดินทางโดยเรือกลไฟที่ใช้ถ่านหินเผาไหม้เป็นเชื้อเพลิง โดยมีความเสี่ยงอันตรายและความยากลำบากนานัปการ เช่น ลมพายุกรรโชกแรง การเกิดอัคคีภัยบนเรือ โรคระบาด และความแออัดในความเป็นอยู่ของผู้โดยสารที่ต้องเดินทางรวมกันนับพันชีวิต ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางก็ยาวนานเป็นแรมเดือน ซึ่งขาดแคลนทั้งอาหารและยารักษาโรค หลายคนต้องจบชีวิตและถูกโยนทิ้งลงกลางทะเล เพราะไม่สามารถเก็บศพไว้บนเรือได้เพราะจะทำให้เกิดโรคระบาด ซึ่งคุณพ่อและน้องชายก็ได้เจ็บป่วยจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเช่นกัน แต่ก็ได้ช่วยกันประคับประคองในระหว่างการเดินทางจนรอดพ้นมาได้
เมื่อเรือมาถึงประเทศไทยได้จอดพักนอกชายฝั่งของเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เพื่อถ่ายเทเสบียงอาหารและรอเตรียมขึ้นฝั่งประเทศไทย และได้ขึ้นฝั่งเพื่อตรวจคนเข้าเมืองที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร นับเป็นสถานที่แรกที่คุณพ่อฮงเคียมและครอบครัวได้เหยียบย่างบนผืนแผ่นดินไทย เมื่อมาถึงประเทศไทยครั้งแรกได้เช่าบ้านในเขตพื้นที่เยาวราชอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อไว้ติดต่อกับญาติพี่น้องของทางคุณแม่ที่เดินทางมาก่อนหน้านี้ ต่อมาญาติได้ชักชวนให้ไปปลูกผักและค้าขายที่ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นสถานที่ที่คุณพ่อได้พบรักกับคุณแม่เซ็งเฮีย แซ่ปึง โดยภายหลังจากสมรสกับคุณแม่เซ็งเฮียก็ได้ย้ายครอบครัวทั้งหมดมาอยู่อาศัยและประกอบอาชีพที่จังหวัดสุรินทร์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ชีวิตครอบครัว
คุณพ่อกอ แซ่อึง (ผู้วายชนม์) สมรสกับคุณแม่ ช. (ถึงแก่กรรมไปแล้ว) มีบุตร ธิดา รวม 6 คน ดังนี้
1. นายเอ ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว มีบุตร 1 คน
2. นายบี ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว มีบุตรธิดา 4 คน
3. นางซี ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว มีบุตร 2 คน
4. นางดี ปัจจุบันเป็นข้าราชการพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ (บำนาญ) สมรสกับ นายอี วิศวกรชาวอังกฤษ
5. นางจี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
6. นายเอฟ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมโยธา กองช่างเทศบาล
การประกอบอาชีพ
คุณพ่อกอ แซ่อึง ได้มาตั้งรกรากอยู่ที่อำเภอเมือง ประมาณปี พ.ศ. 2495 โดยได้ประกอบอาชีพปลูกผักและปลูกดอกไม้ คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนในแต่ละวัน ได้เดินเท้าไป – กลับ เพื่อหาบผักไปขายจากอำเภอเมืองไปขายยังตลาดต่างอำเภอ ซึ่งมีระยะทางกว่า 26 กิโลเมตร
อุปนิสัย
คุณพ่อกอ แซ่อึง มีอุปนิสัยเป็นคนอัธยาศัยดี เป็นที่รักของเพื่อนบ้าน เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ประกอบสัมมาอาชีพโดยสุจริต เป็นคนยึดมั่นในสัจจะคำพูด มีจิตใจกว้างขวางชอบช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก มีความเลื่อมใสศรัทธาในหลักธรรมของพุทธศาสนา โดยปกติจะถือศีล 5 และในทุกเทศกาลกินเจของทุกปีท่านจะร่วมทำบุญและรับประทานอาหารเจกับวัดจีนเสมอ
ความภูมิใจของคุณพ่อ
คุณพ่อกอ แซ่อึง ถึงแม้ท่านจะอยู่อาศัยและประกอบอาชีพตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไทย แต่ท่านก็ไม่เคยลืมน้องสาวคนสุดท้องที่แม่มอบให้เป็นบุตรบุญธรรมกับญาติที่เมืองจีน ซึ่งท่านทราบภายหลังจากญาติที่เคยไปเมืองจีนว่าน้องสาวต้องย้ายติดตามพ่อแม่บุญธรรมไปอยู่ในเมืองอื่นที่ไกลออกไปและไม่สามารถติดต่อได้แล้ว ทำให้คุณพ่อไม่สบายใจและมักบ่นน้อยใจในโชคชะตาวาสนาของตนเสมอ จนเมี่อปี พ.ศ. 2553 ลูก ๆ จึงได้นำท่านจากประเทศไทยไปติดตามหาน้องสาวที่พลัดพรากจากกันมานานนับ 60 ปี โดยไม่รู้ว่าจะเจอหรือไม่ที่ประเทศจีน จุดเริ่มต้นในการค้นหาได้ไปค้นหาที่จังหวัดเก็กเอียะ(เมืองเจียหยาง ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านที่ติดกับจังหวัดซัวเถา ประเทศจีน โดยได้ไปประกาศตามหาที่ย่านชุมชนของชาวจีนแต้จิ๋วตระกูลอึ้ง จากการใช้เวลาในการตามหาถึง 5 วัน
สุดท้ายฟ้าเป็นใจให้ทั้งสองได้พบกันจากความช่วยเหลือชองผู้นำชุมชนชาวแต้จิ๋วที่เป็นธุระติดต่อตามตัวให้ ทั้งสองเมื่อเจอกันต่างกอดกันร้องไห้ระงมและรำลึกถึงความหลัง ก่อนเดินทางกลับคุณพ่อฮงเคียม แซ่อึง ได้มอบเงินที่เก็บสะสมมาตลอดทั้งชีวิตให้แก่น้องสาวเพื่อไว้ใช้จ่ายในยามขัดสน เพื่อทดแทนที่ผ่านมาท่านไม่ได้ทำหน้าที่พี่ชายที่ช่วยดูแลน้อง ทำให้พี่น้องและลูกหลานที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกตื้นตันใจ และมีความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ และจากวันนั้นเป็นต้นมาคุณพ่อฮงเคียมจะพูดกับลูกหลานและเพื่อนบ้านเสมอว่า “ถึงตายอั้วก็นอนตายตาหลับแล้ว เพราะอั้วได้เจอกับอาหมวยน้องสาวที่พลัดพรากจากกันมานาน และลูกๆ ก็เป็นคนดี มีหน้าที่การงานที่ดี ไม่มีอะไรที่ต้องห่วงอีกแล้ว”
บั้นปลายชีวิต
คุณพ่อกอ แซ่อึง เป็นผู้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เป็นที่รักของเพื่อนบ้านและคนสนิทใกล้ชิด ขนาดอายุถึง 70 ปี ก็ยังสามารถขับรถจักรยาน รับ-ส่ง หลานจากบ้านไปโรงเรียนได้ ซึ่งหากเป็นคนรุ่นเก่าที่พักอาศัยในเขตชุมชนสี่แยกต้นโพธิ์และชุมชน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ จะรู้จักท่านดี และเรียกท่านว่า “อาแปะ” หรือ “ตาแป๊ะ”
แต่เมื่อปี พ.ศ. 2550 ขณะที่อายุท่านได้ 80 ปี สุขภาพเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องปอด โดยได้ป่วยเป็นน้ำท่วมปอดและติดเชื้อในปอด ซึ่งจากนั้นเป็นต้นมาก็ได้รับการรักษามาอย่างต่อเนื่องมาตลอด โดยท่านก็ยังแข็งแรงและใช้ชีวิตปกติ สามารถเดินเหินได้ จนกระทั่งวันที่ 11 เมษายน 2560 คุณพ่อมีอาการหายใจลำบาก และปวดกระดูกบริเวณสะโพกมาก ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลสุรินทร์เพื่อติดตามเฝ้าระวังอาการอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2560 คุณพ่อมีอาการเหนื่อยหอบมาก หายใจลำบาก หายใจแผ่วลงและนอนหลับไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งเวลา เวลา 03.40 น. ของวันที่ 29 เมษายน 2560 คุณพ่อฮงเคียม แซ่อึง ก็ได้จากไปอย่างสงบ ท่ามกลางความอาลัยของลูกหลานอันเป็นที่รัก รวมสิริอายุ ได้ 90 ปี รวมระยะเวลาที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทย เป็นระยะเวลา 71 ปี
ถือว่าท่านได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชกาลที่ 8 รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 และถือเป็นการปิดตำนานเสื่อผืนหมอนใบของชาวจีนที่มาอาศัยบนแผ่นดินไทยอีกคนหนึ่ง
อยากฟังเรื่องเล่าของชาวจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทยบ้าง พอดีเตี่ยเราเป็นหนึ่งในนั้น ได้ฟังจากเตี่ยนำมาเขียนประวัติอ่านในงานศพของท่าน อยากฟังท่านอื่นๆ บ้าง ประวัติของเตี่ยเรา ดังนี้ค่ะ
ประวัติ คุณพ่อกอ แซ่อึง
คุณพ่อกอ แซ่อึง เกิดเมื่อปีพุทธศักราช 2470 ณ เมืองแต้จิ๋ว จังหวัดซัวเถา – เก๊กเอี๊ย (เมืองเซินเจิ้น ในปัจจุบัน) มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นบุตรของคุณพ่อติว และคุณแม่หุ่นลิก มีพี่น้องร่วมบิดามารดา รวม 3 คน ดังนี้
1. นายกอ แซ่อึง (ผู้วายชนม์)
2. นายขอ แซ่อึง (ถึงแก่กรรมแล้ว)
3. นางคอ แซ่อึง ยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันอยู่อาศัยที่สาธารณรัฐประชาชนจีน
เมื่อคุณพ่อกออายุได้ 19 ปี ประเทศจีนเกิดความแห้งแล้ง กันดาร ข้าวยากหมากแพง ขาดแคลนอาหาร และเป็นช่วงที่ประเทศต้องฟื้นฟูหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านเคยเล่าว่าขาดแคลนอาหารถึงขนาดขุดหัวมันขึ้นมาต้มกินแทนข้าว อีกทั้งคุณพ่อของท่านซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวได้เสียชีวิตลง คุณแม่จึงมอบน้องสาวที่ยังเล็กให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่ญาติที่ประเทศจีนเพื่อให้ช่วยดูแลแทน และตัดสินใจเดินทางมาประเทศไทยกับลูกชายทั้ง 2 คน รวม 3 ชีวิต เพื่อมาแสวงหาชีวิตที่ดีขึ้นที่ประเทศไทย
ในการเดินทางมาประเทศไทยหรือประเทศสยามในสมัยนั้น ต้องเดินทางโดยเรือกลไฟที่ใช้ถ่านหินเผาไหม้เป็นเชื้อเพลิง โดยมีความเสี่ยงอันตรายและความยากลำบากนานัปการ เช่น ลมพายุกรรโชกแรง การเกิดอัคคีภัยบนเรือ โรคระบาด และความแออัดในความเป็นอยู่ของผู้โดยสารที่ต้องเดินทางรวมกันนับพันชีวิต ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางก็ยาวนานเป็นแรมเดือน ซึ่งขาดแคลนทั้งอาหารและยารักษาโรค หลายคนต้องจบชีวิตและถูกโยนทิ้งลงกลางทะเล เพราะไม่สามารถเก็บศพไว้บนเรือได้เพราะจะทำให้เกิดโรคระบาด ซึ่งคุณพ่อและน้องชายก็ได้เจ็บป่วยจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเช่นกัน แต่ก็ได้ช่วยกันประคับประคองในระหว่างการเดินทางจนรอดพ้นมาได้
เมื่อเรือมาถึงประเทศไทยได้จอดพักนอกชายฝั่งของเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เพื่อถ่ายเทเสบียงอาหารและรอเตรียมขึ้นฝั่งประเทศไทย และได้ขึ้นฝั่งเพื่อตรวจคนเข้าเมืองที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร นับเป็นสถานที่แรกที่คุณพ่อฮงเคียมและครอบครัวได้เหยียบย่างบนผืนแผ่นดินไทย เมื่อมาถึงประเทศไทยครั้งแรกได้เช่าบ้านในเขตพื้นที่เยาวราชอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อไว้ติดต่อกับญาติพี่น้องของทางคุณแม่ที่เดินทางมาก่อนหน้านี้ ต่อมาญาติได้ชักชวนให้ไปปลูกผักและค้าขายที่ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นสถานที่ที่คุณพ่อได้พบรักกับคุณแม่เซ็งเฮีย แซ่ปึง โดยภายหลังจากสมรสกับคุณแม่เซ็งเฮียก็ได้ย้ายครอบครัวทั้งหมดมาอยู่อาศัยและประกอบอาชีพที่จังหวัดสุรินทร์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ชีวิตครอบครัว
คุณพ่อกอ แซ่อึง (ผู้วายชนม์) สมรสกับคุณแม่ ช. (ถึงแก่กรรมไปแล้ว) มีบุตร ธิดา รวม 6 คน ดังนี้
1. นายเอ ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว มีบุตร 1 คน
2. นายบี ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว มีบุตรธิดา 4 คน
3. นางซี ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว มีบุตร 2 คน
4. นางดี ปัจจุบันเป็นข้าราชการพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ (บำนาญ) สมรสกับ นายอี วิศวกรชาวอังกฤษ
5. นางจี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
6. นายเอฟ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมโยธา กองช่างเทศบาล
การประกอบอาชีพ
คุณพ่อกอ แซ่อึง ได้มาตั้งรกรากอยู่ที่อำเภอเมือง ประมาณปี พ.ศ. 2495 โดยได้ประกอบอาชีพปลูกผักและปลูกดอกไม้ คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนในแต่ละวัน ได้เดินเท้าไป – กลับ เพื่อหาบผักไปขายจากอำเภอเมืองไปขายยังตลาดต่างอำเภอ ซึ่งมีระยะทางกว่า 26 กิโลเมตร
อุปนิสัย
คุณพ่อกอ แซ่อึง มีอุปนิสัยเป็นคนอัธยาศัยดี เป็นที่รักของเพื่อนบ้าน เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ประกอบสัมมาอาชีพโดยสุจริต เป็นคนยึดมั่นในสัจจะคำพูด มีจิตใจกว้างขวางชอบช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก มีความเลื่อมใสศรัทธาในหลักธรรมของพุทธศาสนา โดยปกติจะถือศีล 5 และในทุกเทศกาลกินเจของทุกปีท่านจะร่วมทำบุญและรับประทานอาหารเจกับวัดจีนเสมอ
ความภูมิใจของคุณพ่อ
คุณพ่อกอ แซ่อึง ถึงแม้ท่านจะอยู่อาศัยและประกอบอาชีพตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไทย แต่ท่านก็ไม่เคยลืมน้องสาวคนสุดท้องที่แม่มอบให้เป็นบุตรบุญธรรมกับญาติที่เมืองจีน ซึ่งท่านทราบภายหลังจากญาติที่เคยไปเมืองจีนว่าน้องสาวต้องย้ายติดตามพ่อแม่บุญธรรมไปอยู่ในเมืองอื่นที่ไกลออกไปและไม่สามารถติดต่อได้แล้ว ทำให้คุณพ่อไม่สบายใจและมักบ่นน้อยใจในโชคชะตาวาสนาของตนเสมอ จนเมี่อปี พ.ศ. 2553 ลูก ๆ จึงได้นำท่านจากประเทศไทยไปติดตามหาน้องสาวที่พลัดพรากจากกันมานานนับ 60 ปี โดยไม่รู้ว่าจะเจอหรือไม่ที่ประเทศจีน จุดเริ่มต้นในการค้นหาได้ไปค้นหาที่จังหวัดเก็กเอียะ(เมืองเจียหยาง ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านที่ติดกับจังหวัดซัวเถา ประเทศจีน โดยได้ไปประกาศตามหาที่ย่านชุมชนของชาวจีนแต้จิ๋วตระกูลอึ้ง จากการใช้เวลาในการตามหาถึง 5 วัน
สุดท้ายฟ้าเป็นใจให้ทั้งสองได้พบกันจากความช่วยเหลือชองผู้นำชุมชนชาวแต้จิ๋วที่เป็นธุระติดต่อตามตัวให้ ทั้งสองเมื่อเจอกันต่างกอดกันร้องไห้ระงมและรำลึกถึงความหลัง ก่อนเดินทางกลับคุณพ่อฮงเคียม แซ่อึง ได้มอบเงินที่เก็บสะสมมาตลอดทั้งชีวิตให้แก่น้องสาวเพื่อไว้ใช้จ่ายในยามขัดสน เพื่อทดแทนที่ผ่านมาท่านไม่ได้ทำหน้าที่พี่ชายที่ช่วยดูแลน้อง ทำให้พี่น้องและลูกหลานที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกตื้นตันใจ และมีความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ และจากวันนั้นเป็นต้นมาคุณพ่อฮงเคียมจะพูดกับลูกหลานและเพื่อนบ้านเสมอว่า “ถึงตายอั้วก็นอนตายตาหลับแล้ว เพราะอั้วได้เจอกับอาหมวยน้องสาวที่พลัดพรากจากกันมานาน และลูกๆ ก็เป็นคนดี มีหน้าที่การงานที่ดี ไม่มีอะไรที่ต้องห่วงอีกแล้ว”
บั้นปลายชีวิต
คุณพ่อกอ แซ่อึง เป็นผู้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เป็นที่รักของเพื่อนบ้านและคนสนิทใกล้ชิด ขนาดอายุถึง 70 ปี ก็ยังสามารถขับรถจักรยาน รับ-ส่ง หลานจากบ้านไปโรงเรียนได้ ซึ่งหากเป็นคนรุ่นเก่าที่พักอาศัยในเขตชุมชนสี่แยกต้นโพธิ์และชุมชน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ จะรู้จักท่านดี และเรียกท่านว่า “อาแปะ” หรือ “ตาแป๊ะ”
แต่เมื่อปี พ.ศ. 2550 ขณะที่อายุท่านได้ 80 ปี สุขภาพเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องปอด โดยได้ป่วยเป็นน้ำท่วมปอดและติดเชื้อในปอด ซึ่งจากนั้นเป็นต้นมาก็ได้รับการรักษามาอย่างต่อเนื่องมาตลอด โดยท่านก็ยังแข็งแรงและใช้ชีวิตปกติ สามารถเดินเหินได้ จนกระทั่งวันที่ 11 เมษายน 2560 คุณพ่อมีอาการหายใจลำบาก และปวดกระดูกบริเวณสะโพกมาก ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลสุรินทร์เพื่อติดตามเฝ้าระวังอาการอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2560 คุณพ่อมีอาการเหนื่อยหอบมาก หายใจลำบาก หายใจแผ่วลงและนอนหลับไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งเวลา เวลา 03.40 น. ของวันที่ 29 เมษายน 2560 คุณพ่อฮงเคียม แซ่อึง ก็ได้จากไปอย่างสงบ ท่ามกลางความอาลัยของลูกหลานอันเป็นที่รัก รวมสิริอายุ ได้ 90 ปี รวมระยะเวลาที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทย เป็นระยะเวลา 71 ปี
ถือว่าท่านได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชกาลที่ 8 รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 และถือเป็นการปิดตำนานเสื่อผืนหมอนใบของชาวจีนที่มาอาศัยบนแผ่นดินไทยอีกคนหนึ่ง
แสดงความคิดเห็น
คนสมัยก่อนเค้าทนคิดถึงบ้านกันได้อย่างไรครับ
บางคนมาไทยแล้วก็ไม่ได้กลับไปเจอญาติพี่น้องอีกตลอดชีวิต
แล้วเค้าทนความคิดถึงกันได้อย่างไร ทั้งคนที่จากมา กับคนที่รออยู่ที่บ้าน
ขนาดสมัยนี้การติดต่อสะดวกรวดเร็ว แค่บางที่ไปจากบ้านวันสองวันยังคิดถึงกันเลย