คนสมัยก่อนเค้าทนคิดถึงบ้านกันได้อย่างไรครับ

อย่างคนจีนที่อพยพมาเมืองไทย ต้องจากบ้าน จากพ่อแม่พี่น้องมา
บางคนมาไทยแล้วก็ไม่ได้กลับไปเจอญาติพี่น้องอีกตลอดชีวิต
แล้วเค้าทนความคิดถึงกันได้อย่างไร ทั้งคนที่จากมา กับคนที่รออยู่ที่บ้าน
ขนาดสมัยนี้การติดต่อสะดวกรวดเร็ว แค่บางที่ไปจากบ้านวันสองวันยังคิดถึงกันเลย
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 20
เตี่ยเราเป็นคนจีนมาจากเมืองจีนอายุ 19 ปี  ได้กลับไปเยี่ยมบ้านตอนอายุ เกือบ 80 ปี ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว

อยากฟังเรื่องเล่าของชาวจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทยบ้าง  พอดีเตี่ยเราเป็นหนึ่งในนั้น  ได้ฟังจากเตี่ยนำมาเขียนประวัติอ่านในงานศพของท่าน  อยากฟังท่านอื่นๆ  บ้าง ประวัติของเตี่ยเรา ดังนี้ค่ะ
ประวัติ   คุณพ่อกอ  แซ่อึง
    คุณพ่อกอ  แซ่อึง  เกิดเมื่อปีพุทธศักราช 2470  ณ  เมืองแต้จิ๋ว  จังหวัดซัวเถา – เก๊กเอี๊ย  (เมืองเซินเจิ้น ในปัจจุบัน)  มณฑลกวางตุ้ง  สาธารณรัฐประชาชนจีน  เป็นบุตรของคุณพ่อติว และคุณแม่หุ่นลิก    มีพี่น้องร่วมบิดามารดา รวม  3  คน  ดังนี้
1.    นายกอ  แซ่อึง (ผู้วายชนม์)
2.    นายขอ  แซ่อึง (ถึงแก่กรรมแล้ว)
3.    นางคอ  แซ่อึง   ยังมีชีวิตอยู่   ปัจจุบันอยู่อาศัยที่สาธารณรัฐประชาชนจีน

เมื่อคุณพ่อกออายุได้ 19  ปี   ประเทศจีนเกิดความแห้งแล้ง  กันดาร  ข้าวยากหมากแพง ขาดแคลนอาหาร    และเป็นช่วงที่ประเทศต้องฟื้นฟูหลังสงครามโลกครั้งที่  2     ท่านเคยเล่าว่าขาดแคลนอาหารถึงขนาดขุดหัวมันขึ้นมาต้มกินแทนข้าว อีกทั้งคุณพ่อของท่านซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวได้เสียชีวิตลง  คุณแม่จึงมอบน้องสาวที่ยังเล็กให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่ญาติที่ประเทศจีนเพื่อให้ช่วยดูแลแทน    และตัดสินใจเดินทางมาประเทศไทยกับลูกชายทั้ง 2  คน  รวม  3  ชีวิต  เพื่อมาแสวงหาชีวิตที่ดีขึ้นที่ประเทศไทย

ในการเดินทางมาประเทศไทยหรือประเทศสยามในสมัยนั้น ต้องเดินทางโดยเรือกลไฟที่ใช้ถ่านหินเผาไหม้เป็นเชื้อเพลิง   โดยมีความเสี่ยงอันตรายและความยากลำบากนานัปการ   เช่น   ลมพายุกรรโชกแรง   การเกิดอัคคีภัยบนเรือ   โรคระบาด  และความแออัดในความเป็นอยู่ของผู้โดยสารที่ต้องเดินทางรวมกันนับพันชีวิต ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางก็ยาวนานเป็นแรมเดือน ซึ่งขาดแคลนทั้งอาหารและยารักษาโรค หลายคนต้องจบชีวิตและถูกโยนทิ้งลงกลางทะเล  เพราะไม่สามารถเก็บศพไว้บนเรือได้เพราะจะทำให้เกิดโรคระบาด ซึ่งคุณพ่อและน้องชายก็ได้เจ็บป่วยจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเช่นกัน  แต่ก็ได้ช่วยกันประคับประคองในระหว่างการเดินทางจนรอดพ้นมาได้

เมื่อเรือมาถึงประเทศไทยได้จอดพักนอกชายฝั่งของเกาะสีชัง  จังหวัดชลบุรี เพื่อถ่ายเทเสบียงอาหารและรอเตรียมขึ้นฝั่งประเทศไทย   และได้ขึ้นฝั่งเพื่อตรวจคนเข้าเมืองที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร   นับเป็นสถานที่แรกที่คุณพ่อฮงเคียมและครอบครัวได้เหยียบย่างบนผืนแผ่นดินไทย   เมื่อมาถึงประเทศไทยครั้งแรกได้เช่าบ้านในเขตพื้นที่เยาวราชอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อไว้ติดต่อกับญาติพี่น้องของทางคุณแม่ที่เดินทางมาก่อนหน้านี้   ต่อมาญาติได้ชักชวนให้ไปปลูกผักและค้าขายที่  อำเภอสูงเนิน  จังหวัดนครราชสีมา   ซึ่งเป็นสถานที่ที่คุณพ่อได้พบรักกับคุณแม่เซ็งเฮีย  แซ่ปึง    โดยภายหลังจากสมรสกับคุณแม่เซ็งเฮียก็ได้ย้ายครอบครัวทั้งหมดมาอยู่อาศัยและประกอบอาชีพที่จังหวัดสุรินทร์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ชีวิตครอบครัว
คุณพ่อกอ  แซ่อึง (ผู้วายชนม์) สมรสกับคุณแม่ ช. (ถึงแก่กรรมไปแล้ว) มีบุตร ธิดา รวม 6 คน ดังนี้
1.    นายเอ ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว มีบุตร 1  คน
2.    นายบี ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว มีบุตรธิดา 4 คน
3.    นางซี  ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว มีบุตร 2 คน
4.    นางดี   ปัจจุบันเป็นข้าราชการพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ (บำนาญ) สมรสกับ นายอี   วิศวกรชาวอังกฤษ
5.    นางจี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
6.    นายเอฟ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมโยธา กองช่างเทศบาล

การประกอบอาชีพ
    คุณพ่อกอ  แซ่อึง ได้มาตั้งรกรากอยู่ที่อำเภอเมือง   ประมาณปี  พ.ศ.  2495   โดยได้ประกอบอาชีพปลูกผักและปลูกดอกไม้  คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า    สมัยก่อนในแต่ละวัน ได้เดินเท้าไป – กลับ เพื่อหาบผักไปขายจากอำเภอเมืองไปขายยังตลาดต่างอำเภอ ซึ่งมีระยะทางกว่า 26 กิโลเมตร  

อุปนิสัย
    คุณพ่อกอ  แซ่อึง  มีอุปนิสัยเป็นคนอัธยาศัยดี  เป็นที่รักของเพื่อนบ้าน  เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต   ประกอบสัมมาอาชีพโดยสุจริต  เป็นคนยึดมั่นในสัจจะคำพูด    มีจิตใจกว้างขวางชอบช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก   มีความเลื่อมใสศรัทธาในหลักธรรมของพุทธศาสนา  โดยปกติจะถือศีล 5      และในทุกเทศกาลกินเจของทุกปีท่านจะร่วมทำบุญและรับประทานอาหารเจกับวัดจีนเสมอ

ความภูมิใจของคุณพ่อ  
คุณพ่อกอ  แซ่อึง ถึงแม้ท่านจะอยู่อาศัยและประกอบอาชีพตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไทย   แต่ท่านก็ไม่เคยลืมน้องสาวคนสุดท้องที่แม่มอบให้เป็นบุตรบุญธรรมกับญาติที่เมืองจีน  ซึ่งท่านทราบภายหลังจากญาติที่เคยไปเมืองจีนว่าน้องสาวต้องย้ายติดตามพ่อแม่บุญธรรมไปอยู่ในเมืองอื่นที่ไกลออกไปและไม่สามารถติดต่อได้แล้ว   ทำให้คุณพ่อไม่สบายใจและมักบ่นน้อยใจในโชคชะตาวาสนาของตนเสมอ  จนเมี่อปี  พ.ศ. 2553  ลูก ๆ จึงได้นำท่านจากประเทศไทยไปติดตามหาน้องสาวที่พลัดพรากจากกันมานานนับ 60 ปี  โดยไม่รู้ว่าจะเจอหรือไม่ที่ประเทศจีน  จุดเริ่มต้นในการค้นหาได้ไปค้นหาที่จังหวัดเก็กเอียะ(เมืองเจียหยาง ในปัจจุบัน)  ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านที่ติดกับจังหวัดซัวเถา  ประเทศจีน โดยได้ไปประกาศตามหาที่ย่านชุมชนของชาวจีนแต้จิ๋วตระกูลอึ้ง  จากการใช้เวลาในการตามหาถึง 5 วัน    

สุดท้ายฟ้าเป็นใจให้ทั้งสองได้พบกันจากความช่วยเหลือชองผู้นำชุมชนชาวแต้จิ๋วที่เป็นธุระติดต่อตามตัวให้  ทั้งสองเมื่อเจอกันต่างกอดกันร้องไห้ระงมและรำลึกถึงความหลัง   ก่อนเดินทางกลับคุณพ่อฮงเคียม  แซ่อึง  ได้มอบเงินที่เก็บสะสมมาตลอดทั้งชีวิตให้แก่น้องสาวเพื่อไว้ใช้จ่ายในยามขัดสน  เพื่อทดแทนที่ผ่านมาท่านไม่ได้ทำหน้าที่พี่ชายที่ช่วยดูแลน้อง  ทำให้พี่น้องและลูกหลานที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกตื้นตันใจ และมีความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ  และจากวันนั้นเป็นต้นมาคุณพ่อฮงเคียมจะพูดกับลูกหลานและเพื่อนบ้านเสมอว่า  “ถึงตายอั้วก็นอนตายตาหลับแล้ว  เพราะอั้วได้เจอกับอาหมวยน้องสาวที่พลัดพรากจากกันมานาน  และลูกๆ  ก็เป็นคนดี มีหน้าที่การงานที่ดี  ไม่มีอะไรที่ต้องห่วงอีกแล้ว”

บั้นปลายชีวิต  
คุณพ่อกอ  แซ่อึง เป็นผู้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เป็นที่รักของเพื่อนบ้านและคนสนิทใกล้ชิด   ขนาดอายุถึง 70  ปี  ก็ยังสามารถขับรถจักรยาน รับ-ส่ง หลานจากบ้านไปโรงเรียนได้  ซึ่งหากเป็นคนรุ่นเก่าที่พักอาศัยในเขตชุมชนสี่แยกต้นโพธิ์และชุมชน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์  จะรู้จักท่านดี  และเรียกท่านว่า “อาแปะ” หรือ  “ตาแป๊ะ”  

แต่เมื่อปี พ.ศ.  2550  ขณะที่อายุท่านได้  80 ปี  สุขภาพเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องปอด  โดยได้ป่วยเป็นน้ำท่วมปอดและติดเชื้อในปอด    ซึ่งจากนั้นเป็นต้นมาก็ได้รับการรักษามาอย่างต่อเนื่องมาตลอด โดยท่านก็ยังแข็งแรงและใช้ชีวิตปกติ  สามารถเดินเหินได้  จนกระทั่งวันที่  11  เมษายน  2560   คุณพ่อมีอาการหายใจลำบาก  และปวดกระดูกบริเวณสะโพกมาก  ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลสุรินทร์เพื่อติดตามเฝ้าระวังอาการอย่างต่อเนื่อง  และเมื่อวันที่  28  เมษายน 2560  คุณพ่อมีอาการเหนื่อยหอบมาก  หายใจลำบาก  หายใจแผ่วลงและนอนหลับไม่รู้สึกตัว  จนกระทั่งเวลา เวลา 03.40 น. ของวันที่  29  เมษายน  2560     คุณพ่อฮงเคียม  แซ่อึง  ก็ได้จากไปอย่างสงบ  ท่ามกลางความอาลัยของลูกหลานอันเป็นที่รัก  รวมสิริอายุ ได้ 90 ปี  รวมระยะเวลาที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทย เป็นระยะเวลา  71  ปี  

ถือว่าท่านได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชกาลที่ 8  รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10   และถือเป็นการปิดตำนานเสื่อผืนหมอนใบของชาวจีนที่มาอาศัยบนแผ่นดินไทยอีกคนหนึ่ง
ความคิดเห็นที่ 5
คนเวลาปากกัดตีนถีบเค้าไม่มีเวลามานั่งโฮมซิกหรอกจริงๆนะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่