สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 27
ทำไม ไม่สำเร็จ ทฤษฎีกับปฎิบัติมันคนละเรื่องไงคะ มันมีจุดยิบๆย่อยๆที่ไม่ทำจะไม่เห็นค่ะ
ค่านิยมคนไทย มีจริงๆนะ ใครจ่ายแพงถือว่าโง่คะ และภาษีจ่ายไปก็นักการเมืองเอาไปกินหมด ค่านิยมประมาณนี้คนไม่นิยมจ่ายภาษีค่ะ ระดับล่างเลี่ยงกันดื้อๆ ระดับบนมีชั้นเชิงหน่อยก็จะใช้คำว่าวางแผนภาษีแทน มีตั้งแต่ระดับใสๆเอายอดนั่นนี่มาลดตามกระดาษจนถึงแอดวานซ์โยกตัวเลขซ้ายขวา เอาจริงๆจะระดับไหนก็ไม่มีใครอยากจ่ายภาษีมากทั้งนั้น มันก็อยู่ที่การควบคุมตรวจสอบและสามัญสำนึก
เช่นคุณให้เอาเครื่องบันทึกรายการไปแจกร้านค้า เอาง่ายๆเลยค่ะ ร้านค้าคำนวณแล้วฐานภาษีเริ่มต้นที่สิบเปอร์เซนต์ คำนวณเหมาๆเลยอัตราหักค่าใช้จ่าย 80% ยอดขาย 1000 ทางภาษีถือว่ามีรายได้ 200 ต้องจ่ายภาษี 20
ทีนี้คนซื้อเป็นพวกอ่อนไหว บอกร้าน ขอราคาแค่ 980 ได้ไหม จ่ายสดไม่ผ่านเครื่อง คนซื้อคนขายรู้กัน จบค่ะ รัฐจะเอาเจ้าหน้าที่ที่ไหนมาตรวจ
เรื่องนี้เป็นจริงกับระบบภาษีมูลค่าเพิ่มค่ะ มีมานานมาก โดยเฉพาะผู้ซื้อรายย่อยที่ไม่สามารถนำภาษีซื้อมาเคลมได้
อีกทั้งเรื่อง fix rate ภาษีจากรายได้โดยประมาณ ผู้ค้าแต่ละรายต้นทุนกำไรไม่เท่ากันค่ะ (ดูได้อย่างคห.ข้างบนๆก็ได้ค่ะ นั่นคือปัญหานึงที่ผู้ค้าบอกว่าไม่แฟร์ กำหนดอัตราคชจ.มา60/40 แต่คนขายไม่สามารถหากำไรได้ถึง 40%ไงคะ ) ที่นี้รัฐก็พยายามจะทำให้ผู้ค้าแสดงรายได้ที่แท้จริงโดยการทำบัญชี แต่ตัวเลขพวกนี้ก็ตกแต่งได้ อยากกำไรพอดีๆตัวเหรอ(จะได้ไม่เหลือมาเสียภาษี) อัดค่าใช้จ่ายปลอมเข้างบ รัฐกลัวตรงนี้ก็ออกกฎมาว่าเอกสารที่จะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายได้ต้อง บลาๆ ผลก็ปรากฎว่าคนทำถูกต้อง แต่กิจการเล็กไป ดีลกับรายยิบย่อย เอกสารขาดคุณสมบัติเต็มไปหมด ทำบัญชีออกมา กำไรมหาศาลเพราะเอกสารที่มีตัดเป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้เลย พอเห็นภาพไหมคะ อันนี้คือปัญหาในทางปฎิบัติค่ะ เป็นจุดยิบย่อยที่คิดแต่หลักการจะไม่เห็นค่ะ
จริงๆกรมสรรพากรพัฒนาตรงนี้ตลอดค่ะ เรื่องการตามล่าตามเก็บ แต่ปัญหามันก็หลายจุด เทคโนโลยีคงช่วยได้อีกเยอะค่ะ แต่บอกตรงๆข้าราชการหลายครั้งมากที่ไม่เข้าใจความเป็นจริงของการประกอบธุรกิจและสร้างความลำบากใจให้ผู้ที่พยายามทำถูกต้องมากกว่าการทำให้ผู้เลี่ยงหมดทางเลี่ยงค่ะ
ค่านิยมคนไทย มีจริงๆนะ ใครจ่ายแพงถือว่าโง่คะ และภาษีจ่ายไปก็นักการเมืองเอาไปกินหมด ค่านิยมประมาณนี้คนไม่นิยมจ่ายภาษีค่ะ ระดับล่างเลี่ยงกันดื้อๆ ระดับบนมีชั้นเชิงหน่อยก็จะใช้คำว่าวางแผนภาษีแทน มีตั้งแต่ระดับใสๆเอายอดนั่นนี่มาลดตามกระดาษจนถึงแอดวานซ์โยกตัวเลขซ้ายขวา เอาจริงๆจะระดับไหนก็ไม่มีใครอยากจ่ายภาษีมากทั้งนั้น มันก็อยู่ที่การควบคุมตรวจสอบและสามัญสำนึก
เช่นคุณให้เอาเครื่องบันทึกรายการไปแจกร้านค้า เอาง่ายๆเลยค่ะ ร้านค้าคำนวณแล้วฐานภาษีเริ่มต้นที่สิบเปอร์เซนต์ คำนวณเหมาๆเลยอัตราหักค่าใช้จ่าย 80% ยอดขาย 1000 ทางภาษีถือว่ามีรายได้ 200 ต้องจ่ายภาษี 20
ทีนี้คนซื้อเป็นพวกอ่อนไหว บอกร้าน ขอราคาแค่ 980 ได้ไหม จ่ายสดไม่ผ่านเครื่อง คนซื้อคนขายรู้กัน จบค่ะ รัฐจะเอาเจ้าหน้าที่ที่ไหนมาตรวจ
เรื่องนี้เป็นจริงกับระบบภาษีมูลค่าเพิ่มค่ะ มีมานานมาก โดยเฉพาะผู้ซื้อรายย่อยที่ไม่สามารถนำภาษีซื้อมาเคลมได้
อีกทั้งเรื่อง fix rate ภาษีจากรายได้โดยประมาณ ผู้ค้าแต่ละรายต้นทุนกำไรไม่เท่ากันค่ะ (ดูได้อย่างคห.ข้างบนๆก็ได้ค่ะ นั่นคือปัญหานึงที่ผู้ค้าบอกว่าไม่แฟร์ กำหนดอัตราคชจ.มา60/40 แต่คนขายไม่สามารถหากำไรได้ถึง 40%ไงคะ ) ที่นี้รัฐก็พยายามจะทำให้ผู้ค้าแสดงรายได้ที่แท้จริงโดยการทำบัญชี แต่ตัวเลขพวกนี้ก็ตกแต่งได้ อยากกำไรพอดีๆตัวเหรอ(จะได้ไม่เหลือมาเสียภาษี) อัดค่าใช้จ่ายปลอมเข้างบ รัฐกลัวตรงนี้ก็ออกกฎมาว่าเอกสารที่จะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายได้ต้อง บลาๆ ผลก็ปรากฎว่าคนทำถูกต้อง แต่กิจการเล็กไป ดีลกับรายยิบย่อย เอกสารขาดคุณสมบัติเต็มไปหมด ทำบัญชีออกมา กำไรมหาศาลเพราะเอกสารที่มีตัดเป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้เลย พอเห็นภาพไหมคะ อันนี้คือปัญหาในทางปฎิบัติค่ะ เป็นจุดยิบย่อยที่คิดแต่หลักการจะไม่เห็นค่ะ
จริงๆกรมสรรพากรพัฒนาตรงนี้ตลอดค่ะ เรื่องการตามล่าตามเก็บ แต่ปัญหามันก็หลายจุด เทคโนโลยีคงช่วยได้อีกเยอะค่ะ แต่บอกตรงๆข้าราชการหลายครั้งมากที่ไม่เข้าใจความเป็นจริงของการประกอบธุรกิจและสร้างความลำบากใจให้ผู้ที่พยายามทำถูกต้องมากกว่าการทำให้ผู้เลี่ยงหมดทางเลี่ยงค่ะ
แสดงความคิดเห็น
คนออกจากงานประจำ มาทำงานส่วนตัวมากขึ้น รัฐบาลควรมีการจัดเก็บภาษีผู้ค้านะคะ
ส่วนข้อครหาว่ารังแกคนจน ไม่น่าจะจริงร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะ หาบเร่ ขายของข้างทาง หลายเจ้ารายได้ดีกว่าทำงานบริษัทห้างร้านจดทะเบียน และเหตุผลที่สมควรอย่างยิ่งต่อการเก็บภาษีร้านข้างทางแบบนี้คือ
1. พื้นที่ข้างทางเป็นพื้นที่สาธารณะ งบประมาณส่วนที่นำมาพัฒนาเป็นภาษีรายได้บุคคลธรรมดาด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นการไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งต่อพนักงานกินเงินเดือนในขณะที่เขาต้องเสียภาษีมาพัฒนาประเทศ แต่ผู้ค้าที่เบียดเบียนเขา เบียดเบียนสิทธิ์ในการใช้ถนน ทางเท้าของเขากลับไม่ต้องเสียอะไรเลย
2. การจัดเก็บข้อมูลหาบเร่แผงลอยจะเป็นประโยชน์ในการคัดกรอง คนต่างด้าวที่แอบเข้ามาทำงานขายของโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นคนต่างด้าวแต่แอบเข้ามาทำงานหากินบนแผ่นดินไทย ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ ได้เงินจากเจ้าของประเทศ แต่ไม่จ่ายเงินค่าบำรุงเลย ถือว่าไม่แฟร์นะคะ ผิดกฎหมาย ตามจับกันไม่เลิก เสียงบประมาณไปตามจับอีก
ใครมีอะไรเพิ่มเติมเชิญได้นะคะ
ส่วนการเก็บภาษีหากมีรายได้ไม่แน่นอน ควรเก็บตามเปอร์เซ็นต์ (ซึ่งปกติรัฐก็เก็บตามเปอร์เซ็นต์ของรายได้ใช่มั้ยคะ เราไม่ทราบตรงนี้) ได้น้อย เก็บน้อย ได้มากก็เก็บมาก โดยให้มีการส่งข้อมูลรายได้ในแต่ละเดือน แต่ปัญหาจะอยู่ที่ข้อมูลที่ได้จะใกล้เคียงความเป็นจริงแค่ไหน ตรงนี้น่าจะมีเครื่องมืออะไรสักอย่างเพื่อนำข้อมูลการซื้อขายเข้าสู่ระบบ โดยให้ผู้ที่จะขึ้นทะเบียนหาบเร่แผงลอย มีอุปกรณ์บันทึกการซื้อขายในแต่ละวัน ซึ่งผู้บันทึกควรจะเป็นผู้ซื้อว่าตัวเองซื้อในราคาเท่าไหร่ เพื่อป้องกันพ่อค้า แม่ค้างุบงิบ บอกข้อมูลต่ำกว่าความเป็นจริง ก่อนลูกค้าจะจ่ายเงิน ควรมีการเรียกใช้เครื่องมือมาบันทึกราคา หากพ่อค้าแม่ค้าคนใด อิดออดไม่อยากใช้ ลูกค้าสามารถบอยคอตไม่ซื้อสินค้าจากร้านนั้นหรือแจ้งทางการได้ ถือเป็นการป้องปรามการทุจริตวิธีนึงและยังเป็นการพิทักษ์ประโยชน์ของลูกค้าเองด้วยว่าประชาชนทุกคนในประเทศนี้ ทำงานแล้วเสียภาษีกันทุกคน มีส่วนในการเสียเงินเข้าส่วนกลางทุกคน ไม่ใช่ฝั่งหนึ่งเสียเงินเพื่อมาโอบอุ้มอีกฝั่งที่มาใช้ทรัพยากรร่วมกันแต่ไม่เสียอะไรเลย
เราเห็นว่าสิ่งที่เราคิดน่าจะมีคนคิดมาก่อนแล้ว แต่ปัญกหาคือทำไมถึงทำให้มันเป็นรูปธรรมไม่ได้