ธรรมะอยู่ตรงไหน? ธรรมชาติอยู่ตรงไหน?

จักรวาลโลกอยู่ตรงไหน?
ก้อนหินอยู่ตรงไหน?
ต้นไม้อยู่ตรงไหน?
น้ำอยู่ตรงไหน?
มนุษย์อยู่ตรงไหน?
บาป-บุญ,ชั่ว-ดีอยู่ตรงไหน?
เหตุแห่งบาปและบุญอยู่ตรงไหน?
สุข-ทุกข์อยู่ตรงไหน?
สวรรค์-นรกอยู่ตรงไหน?
เกิด-ตายอยู่ตรงไหน?
อัตตา-อนัตตาอยู่ตรงไหน?
บริสุทธิ์-ไม่บริสุทธิ์อยู่ตรงไหน?
เกิดหรือไม่เกิดอยู่ตรงไหน?
นิพพานอยู่ตรงไหน?
ศาสนาอยู่ตรงไหน?
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=2423&Z=2468
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต

๑๐. โลกสูตร
             [๘๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ที่ควงไม้โพธิ์ใกล้ฝั่ง
แม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลา ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับนั่งเสวย
วิมุตติสุขโดยบัลลังก์เดียวตลอด ๗ วัน ครั้งนั้นแลโดยล่วง ๗ วันนั้นไป พระผู้มี-
*พระภาคเสด็จออกจากสมาธินั้นแล้วทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็น
หมู่สัตว์ผู้เดือดร้อนอยู่ด้วยความเดือดร้อนเป็นอันมาก และผู้ถูกความเร่าร้อน
เป็นอันมากซึ่งเกิดจากราคะบ้าง เกิดจากโทสะบ้าง เกิดจากโมหะบ้าง แผดเผาอยู่ ฯ
             ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่ง
อุทานนี้ในเวลานั้นว่า
                          โลกนี้เกิดความเดือดร้อนแล้ว ถูกผัสสะครอบงำแล้ว ย่อม
                          กล่าวถึงโรคโดยความเป็นตัวตน ก็โลกย่อมสำคัญโดยประการ
                          ใด ขันธปัญจกอันเป็นวัตถุแห่งความสำคัญนั้น ย่อมเป็น
                          อย่างอื่นจากประการที่ตนสำคัญนั้น โลกข้องแล้วในภพ
                          มีความแปรปรวนเป็นอื่น ถูกภพครอบงำแล้ว ย่อมเพลิด-
                          เพลินภพนั่นเอง (สัตว์) โลกย่อมเพลิดเพลินสิ่งใด สิ่งนั้น
                          เป็นภัย โลกกลัวสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ก็บุคคลอยู่
                          ประพฤติพรหมจรรย์นี้เพื่อจะละภพแล ก็สมณะหรือพราหมณ์
                          เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าวความหลุดพ้นจากภพด้วยภพ(สัสสตทิฐิ)
                          เรากล่าวว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดไม่หลุดพ้นไปจาก
                          ภพ ก็หรือสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าว
                          ความสลัดออกจากภพด้วยความไม่มีภพ (อุจเฉททิฐิ)
                          เรากล่าวว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดไม่สลัดออกไป
                          จากภพ ก็ทุกข์นี้ย่อมเกิดเพราะอาศัยอุปธิทั้งปวง ความเกิด
                          แห่งทุกข์ย่อมไม่มี เพราะความสิ้นอุปาทานทั้งปวง ท่านจง
                          ดูโลกนี้ สัตว์ทั้งหลายเป็นจำนวนมาก ถูกอวิชชาครอบงำ
                          หรือยินดีแล้วในขันธปัญจกที่เกิดแล้ว ไม่พ้นไปจากภพ
                          ก็ภพเหล่าใดเหล่าหนึ่งในส่วนทั้งปวง (ในเบื้องบน
                          เบื้องต่ำ เบื้องขวาง) โดยส่วนทั้งปวง (สวรรค์ อบาย
                          และมนุษย์เป็นต้น) ภพทั้งหมดนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
                          มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา อันบุคคลผู้เห็นขันธปัญจก
                          กล่าวคือ ภพ ตามความเป็นจริงด้วย ปัญญา อันชอบอย่างนี้ อยู่
                          ย่อมละภวตัณหาได้ ทั้งไม่เพลิดเพลินวิภวตัณหา ความดับ
                          ด้วยอริยมรรคเป็นเครื่องสำรอกไม่มีส่วนเหลือ เพราะความ
                          สิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง เป็นนิพพาน
                          ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้ดับแล้วเพราะไม่ถือมั่น ภิกษุ
                          นั้นครอบงำมาร ชนะสงคราม ล่วงภพได้ทั้งหมด เป็นผู้
                          คงที่ฉะนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบนันทวรรคที่ ๓
-----------------------------------------------------
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
             ๑. กรรมสูตร ๒. นันทสูตร ๓. ยโสชสูตร ๔. สาริปุตตสูตร
๕. โกลิตสูตร ๖. ปิลินทวัจฉสูตร ๗. มหากัสสปสูตร ๘. ปิณฑปาตสูตร
๙. สิปปสูตร ๑๐. โลกสูตร ฯ



http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=84

อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน นันทวรรคที่ ๓ โลกสูตร
               อรรถกถาโลกสูตร              
               โลกสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

               อาสยานุสยญาณและอินทริยปโรปริยัตญาณ ชื่อว่าพุทธจักษุ ในคำว่า พุทฺธจกฺขุนา นี้.
               สมดังที่ท่านกล่าวคำมีอาทิว่า
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุได้ทรงเห็นแล้วแล ซึ่งเหล่าสัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อย ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตามาก ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ผู้มีอินทรีย์อ่อน.
               บทว่า โลกํ ได้แก่ โลก ๓ คือ โอกาสโลก ๑ สังขารโลก ๑ สัตวโลก ๑.
               ในโลกทั้ง ๓ นั้น โอกาสโลก ตรัสไว้ในประโยคมีอาทิว่า
                                   พระจันทร์พระอาทิตย์ เวียนรอบส่องทิศให้
                         สว่างไสวมีประมาณเท่าใด โอกาสโลก มีประมาณ
                         พันหนึ่งเท่านั้น อำนาจของท่าน เป็นไปในโอกาส
                         โลกนี้.

               สังขารโลก ตรัสไว้ในประโยคมีอาทิว่า
โลก ๑ ได้แก่สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร.
โลก ๒ ได้แก่ นามและรูป.
โลก ๓ ได้แก่ เวทนา ๓.
โลก ๔ ได้แก่ อาหาร ๔.
โลก ๕ ได้แก่ อุปาทานขันธ์ ๕.
โลก ๖ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖.
โลก ๗ ได้แก่ วิญญาณฐิติ ๗.
โลก ๘ ได้แก่ โลกธรรม ๘.
โลก ๙ ได้แก่ สัตตาวาส ๙.
โลก ๑๐ ได้แก่ อายตนะ ๑๐.
โลก ๑๒ ได้แก่ อายตนะ ๑๒.
โลก ๑๘ ได้แก่ ธาตุ ๑๘.

               สัตวโลก ตรัสไว้ในประโยคมีอาทิว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง.
               แม้ในที่นี้ พึงทราบสัตวโลก.

               บรรดาโลกเหล่านั้น โลกกล่าวคือจักรวาล ชื่อว่าโอกาสโลก เพราะอรรถว่าเห็นคือปรากฏโดยอาการวิจิตร.
               สังขาร ชื่อว่าโลก เพราะอรรถว่าย่อยยับ คือผุพัง.
               ชื่อว่าสัตวโลก เพราะอรรถว่าเป็นที่ดูบุญและบาปและผลแห่งบุญและบาป.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุเคราะห์ในสัตว์เหล่านั้นด้วยพระมหากรุณา มีพระประสงค์จะให้สัตว์เหล่านั้นพ้นจากสังสารทุกข์ จึงตรวจดูสัตวโลก.
               ก็พระองค์ทรงตรวจดูสัปดาห์ไหน? สัปดาห์ที่ ๑.
               จริงอยู่ ในที่สุดแห่งปัจฉิมยาม ในวันสุดสัปดาห์ที่ทรงเข้าสมาธิ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานอันแสดงอานุภาพแห่งอริยมรรคนี้ว่า เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏ ฯลฯ เหมือนพระอาทิตย์ส่องไสวในกลางหาว ดังนี้
               จึงตรวจดูสัตวโลกว่า อันดับแรก เราใช้เรือคือธรรมนี้ข้ามห้วงน้ำใหญ่คือสงสาร ที่แสนจะข้ามได้โดยยากอย่างนี้ จึงยืนอยู่ที่ฝั่งคือพระนิพพาน เอาเถิด บัดนี้ ถึงสัตวโลกเราก็จักให้ข้ามด้วย สัตวโลก เป็นอย่างไรหนอ ดังนี้.
               ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า ครั้นล่วง ๗ วันนั้นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากสมาธินั้น ทรงตรวจดูสัตวโลก ด้วยพุทธจักษุ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โวโลเกสิ ความว่า ทรงเห็นโดยอาการต่างๆ คือกระทำให้ประจักษ์ด้วยญาณของพระองค์ เหมือนผลมะขามป้อมที่วางไว้บนฝ่ามือ.
               บทมีอาทิว่า อเนเกหิ สนฺตาเปหิ เป็นบทแสดงอาการดูแล.
               บทว่า อเนเกหิ สนฺตาเปหิ ได้แก่ ด้วยความทุกข์เป็นอเนก.
               จริงอยู่ ทุกข์ท่านเรียกว่า สันตาปะ เพราะอรรถว่าทำให้เดือดร้อน. เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า ทุกข์มีอรรถว่าบีบคั้น มีอรรถว่าปรุงแต่ง
               มีอรรถว่าทำให้เดือดร้อน มีอรรถว่าแปรปรวน.
               ก็ทุกข์นั้นมีอรรถหลายประการ ด้วยอำนาจทุกขทุกข์เป็นต้น และด้วยอำนาจชาติเป็นต้น.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อเนเกหิ สนฺตาเปหิ. ผู้เดือดร้อน คือถูกทุกข์เป็นอเนก บีบคั้น เบียดเบียน.
               บทว่า ปริฬาเหหิ แปลว่า ด้วยความเร่าร้อน.
               บทว่า ปริฑยฺหมาเน ได้แก่ ผู้ถูกไฟเผารอบด้านเหมือนเชื้อไฟ.
               บทว่า ราคเชหิ แปลว่า เกิดแต่ราคะ. แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้.
               จริงอยู่ กิเลสมีราคะเป็นต้นย่อมเกิดในสันดานใด ย่อมเบียดเบียนสันดานนั้น เหมือนเผาอยู่. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ไฟ ๓ กองนี้ ราคัคคิ ไฟคือราคะ โทสัคคิ ไฟคือโทสะ โมหัคคิ ไฟคือโมหะ. เพราะไฟเหล่านั้นทำจิตและกายให้เศร้าหมอง ฉะนั้น จึงเรียกว่ากิเลส.
               ก็ในบทเหล่านี้ ด้วยบทว่า ปริฑยฺหมาเน นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงกิเลสมีราคะเป็นต้นเป็นปวัตติทุกข์ และความที่สัตว์ถูกปวัตติทุกข์นั้นครอบงำ.
               อนึ่ง ด้วยบทว่า สนฺตปฺปมาเน นี้ ทรงแสดงถึงความที่สัตว์เหล่านั้นเป็นทุกข์ทุกระยะกาล และความเป็นผู้มีอันตรายไม่ขาดระยะเพราะทุกข์นั้น.
               จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอปราชิตบังลังก์ ณ ควงโพธิพฤกษ์ ในปฐมยามทรงระลึกถึงบุพเพนิวาสญาณ ในมัชฌิมยามทรงชำระทิพยจักษุ ในปัจฉิมยามทรงหยั่งญาณลงในปฏิจจสมุปบาท ทรงรู้ยิ่งวัฏทุกข์อันมีกิเลสเป็นมูล ทรงพิจารณากำหนดสังขาร เจริญวิปัสสนาโดยลำดับ ทรงกำจัดกิเลสให้ปราศจากไป ตรัสรู้ยิ่งด้วยพระองค์เองด้วยการบรรลุพระอริยมรรค เพราะทรงละกิเลสได้เด็ดขาดในลำดับปัจจเวกขณญาณ แล้วจึงทรงเปล่งอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ดังนี้เป็นต้น อันแสดงถึงความที่พระองค์สิ้นวัฏทุกข์ ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ทรงละ ประทับนั่งขัดสมาธิเสวยวิมุตติสุขตลอด ๗ วัน ในยาม ๓ แห่งราตรีที่ ๗ ทรงเปล่งอุทาน ๓ อย่าง โดยนัยดังกล่าวแล้ว
               ในลำดับแห่งอุทานที่ ๓ ทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นว่า วัฏทุกข์ของสัตว์ทั้งสิ้นนี้ มีกิเลสเป็นมูล ขึ้นชื่อว่ากิเลสเหล่านี้เป็นปวัตติทุกข์ (ทุกข์ในปัจจุบัน) และเป็นเหตุแห่งทุกข์แม้ต่อไป เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านี้ จึงเดือดร้อนหม่นไหม้ เพราะกิเลสเหล่านั้น.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อทฺทสา โข ภควา ฯเปฯ โมหเชหิปิ ดังนี้
               บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบโดยประการทั้งปวง ถึงความที่สัตวโลกถูกความเร่าร้อนหม่นไหม้ดังกล่าวแล้วครอบงำอยู่.
               บทว่า อุทานํ อุทาเนสิ ความว่า ทรงเปล่งมหาอุทานนี้ อันประกาศถึงความดับสนิท ความเร่าร้อนหม่นไหม้ทั้งปวง
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อยํ โลโก สนฺตปชาโต ความว่า สัตวโลกนี้แม้ทั้งหมดเกิดความเดือดร้อน เพราะชรา โรค และมรณะ เพราะความวอดวายต่างๆ และเพราะความกลุ้มรุมแห่งกิเลส. อธิบายว่า ถูกทุกข์ทางกายและใจที่เกิดขึ้นแล้วครอบงำ.
               บทว่า ผสฺสปเรโต ความว่า ผู้ถูกทุกขสัมผัสเป็นอเนกนั่นแหละครอบงำ คือเบียดเบียน.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ผสฺสปเรโต ความว่า ผู้ถูกผัสสะทั้ง ๖ อันเป็นปัจจัยแก่ทุกขเวทนา ๓ กล่าวคือสุขเวทนาเป็นต้นครอบงำ คือติดข้องอยู่ด้วยความเป็นไปในอารมณ์นั้นๆ ทางทวารนั้นๆ.
               บทว่า โรคํ วทติ อตฺตโต ความว่า สัตวโลก เมื่อไม่รู้ตามความเป็นจริงถึงโรค ทุกข์ หรือเบญจขันธ์ กล่าวคือเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ย่อมกล่าวโดยเป็นอัตตาว่า เราได้รับสุข รับทุกข์ ด้วยอำนาจการถือผิดด้วยสำคัญว่าเป็นเรา. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อตฺตโน ดังนี้ก็มี.
               คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า สัตวโลกนี้นั้นถูกทุกขธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งครอบงำ เมื่อไม่อาจอดกลั้นไว้ได้เพราะไม่ได้เจริญอัตตา จึงบ่นเพ้อไปโดยนัยมีอาทิว่า โอ ทุกข์ ทุกข์เช่นนี้จงอย่ามีแม้แก่ตนของเรา จึงกล่าวถึงโรคของตนอย่างเดียว แต่ไม่ปฏิบัติเพื่อละโรคนั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง สัตวโลกเมื่อไม่รู้ตามเป็นจริงถึงทุกข์ตามที่กล่าวแล้วนั้น จึงกล่าวว่าของตน ด้วยความสำคัญว่าของเรา คือเปล่งวาจาว่านี้ของเรา ด้วยอำนาจตัณหาคาหะ (การยึดถือด้วยอำนาจตัณหา).
               บทว่า เยน หิ มญฺญติ ความว่า สัตวโลก เมื่อกล่าวเบญจขันธ์อันเป็นตัวโรคนี้ โดยความเป็นตน หรือของตน ด้วยอาการอย่างนี้ จึงสำคัญโดยทิฏฐิ มานะและตัณหา โดยประการอันเป็นเหตุมีรูปและเวทนาเป็นต้นใด หรือโดยประการมีความเป็นของเที่ยงเป็นต้นใด.
               บทว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่