เมื่อเห็นชื่อหนังสือ ก็เริ่มคิดว่า
“อย่าให้ยาฆ่าคุณ” ไม่น่าจะเป็นหนังสือสุขภาพธรรมดาๆ ตั้งแต่ความย้อนแย้งที่เห็นได้ชัดจากชื่อหนังสือ ทั้งๆ ที่ยาควรจะช่วยบรรเทารักษาโรคและทำให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่ทำไมยาถึงกลายเป็นอาวุธฆ่าเราได้
เนื้อหาคร่าวๆของหนังสือเล่มนี้ คือการรวบรวมความรู้ ข้อเท็จจริง รวมถึงผลกระทบเกี่ยวกับยาและการรักษาโรคที่ค่อนข้างสวนกระแสกับแนวความคิดเดิมๆที่เราเคยรับรู้กันมา โดยจะมีผลวิจัยที่น่าเชื่อถือมาอ้างอิงเป็นหลักฐานเสมอ
ส่วน
KONDO MAKOTO ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ คือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งและอยู่ในวงการแพทย์มากว่า 40 ปี เมื่อลองพลิกอ่านประวัติอย่างละเอียด จึงพบความน่าสนใจว่า เขาได้ศึกษาปรัชญาเรื่องความเป็นปัจเจกและความเคารพในตนเอง ซึ่งกลายมาเป็นหัวใจสำคัญของหนังสือเล่มนี้
จึงทำให้ทุกบทของหนังสือ ผู้เขียนจะเน้นย้ำเสมอถึงเรื่อง
ความเชื่อมั่นในร่างกายตนเองมากกว่าเชื่อในพลังของยา และมั่นใจว่ามนุษย์เราสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพายาได้
จากเนื้อหาในหนังสือผู้เขียนกล่าวว่า ความจริงแล้ว 90 % ของยาไม่มีผลในการรักษา ยาแค่ทำให้อาการทุเลาในระยะหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะหายขาด และเมื่ออายุมากขึ้น พิษของยาจะสะสมในร่างกายมากขึ้นและง่ายขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย เพราะฉะนั้นจึงต้องคิดว่าการกินยาเพื่อให้สะดวกต่อการบรรเทาอาการเจ็บปวดเพียงชั่วครั้งคราวนั้น คุ้มค่ากับการแลกมาด้วยผลข้างเคียงต่อร่างกายในระยะยาวหรือไม่
สิ่งที่ประทับใจ: ส่วนที่ชอบมากๆ ของหนังสือเล่มนี้ คือการหยิบยก
เรื่องการเกื้อกูลกันระหว่างวงการแพทย์และผู้ผลิตยา เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ โดยผู้เขียนได้เปิดเผยว่า
“วงการแพทย์และแพทย์เองมีเรื่องเกี่ยวกับยาที่จงใจไม่พูดถึง หรือมีเรื่องที่พูดไม่ได้มากเหลือเกิน ถ้าหลงเชื่อก็เท่ากับเอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยทีเดียว” ทำให้กลับมาฉุกคิดว่าในทุกครั้งที่เราเข้ารับการรักษาหรือกินยาไปนั้น เรากำลังสร้างความปลอดภัยให้กับชีวิต หรือเอาร่างกายไปเสี่ยงโดยการเป็นหมากให้กับธุรกิจการแพทย์และวงการผลิตยากันแน่
หลังอ่านหนังสือ
“อย่าให้ยาฆ่าคุณ” จบ ก็นั่งนิ่งคิดทบทวนอยู่สักพัก จะว่ารู้สึกเหมือนโดนล้างสมองก็ไม่ใช่ แต่เหมือนเป็นการได้ล้างหน้าล้างตา เรียกสติให้กลับมาอีกครั้งเสียมากกว่า กระตุ้นให้ย้อนคิดและตระหนักถึงการรักษาโรครวมถึงการใช้ยาอย่างละเอียดมากขึ้น ปรับความเชื่อเดิมๆ ล้างแนวคิดเก่าๆ เกี่ยวกับการแพทย์ไปได้พอสมควร
ทำให้รู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นหนังสือสุขภาพที่คู่ควรกับคนวัยผู้ใหญ่ หรือผู้ป่วยเท่านั้น แต่ผู้รับสารที่เหมาะสมยังรวมถึงคนรุ่นใหม่ ด้วยเนื้อหาที่สวนกระแสทำให้ตอบโจทย์วัยที่ชอบตั้งคำถามกับแนวคิดหรือความเชื่อเดิมๆ คิดว่าหนังสือเล่มจะช่วยเป็นทั้งคำถามและคำตอบได้อย่างดี และน่าจะทำให้หลายๆ คนหันมาสนใจดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองอย่างรอบคอบมากขึ้นโดยห่างไกลจากการใช้ยาและการรักษาที่ไม่จำเป็น
[CR] (REVIEW) ชวนอ่านหนังสือ “อย่าให้ยาฆ่าคุณ”
เนื้อหาคร่าวๆของหนังสือเล่มนี้ คือการรวบรวมความรู้ ข้อเท็จจริง รวมถึงผลกระทบเกี่ยวกับยาและการรักษาโรคที่ค่อนข้างสวนกระแสกับแนวความคิดเดิมๆที่เราเคยรับรู้กันมา โดยจะมีผลวิจัยที่น่าเชื่อถือมาอ้างอิงเป็นหลักฐานเสมอ
ส่วน KONDO MAKOTO ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ คือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งและอยู่ในวงการแพทย์มากว่า 40 ปี เมื่อลองพลิกอ่านประวัติอย่างละเอียด จึงพบความน่าสนใจว่า เขาได้ศึกษาปรัชญาเรื่องความเป็นปัจเจกและความเคารพในตนเอง ซึ่งกลายมาเป็นหัวใจสำคัญของหนังสือเล่มนี้
จึงทำให้ทุกบทของหนังสือ ผู้เขียนจะเน้นย้ำเสมอถึงเรื่องความเชื่อมั่นในร่างกายตนเองมากกว่าเชื่อในพลังของยา และมั่นใจว่ามนุษย์เราสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพายาได้
จากเนื้อหาในหนังสือผู้เขียนกล่าวว่า ความจริงแล้ว 90 % ของยาไม่มีผลในการรักษา ยาแค่ทำให้อาการทุเลาในระยะหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะหายขาด และเมื่ออายุมากขึ้น พิษของยาจะสะสมในร่างกายมากขึ้นและง่ายขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย เพราะฉะนั้นจึงต้องคิดว่าการกินยาเพื่อให้สะดวกต่อการบรรเทาอาการเจ็บปวดเพียงชั่วครั้งคราวนั้น คุ้มค่ากับการแลกมาด้วยผลข้างเคียงต่อร่างกายในระยะยาวหรือไม่
สิ่งที่ประทับใจ: ส่วนที่ชอบมากๆ ของหนังสือเล่มนี้ คือการหยิบยกเรื่องการเกื้อกูลกันระหว่างวงการแพทย์และผู้ผลิตยา เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ โดยผู้เขียนได้เปิดเผยว่า “วงการแพทย์และแพทย์เองมีเรื่องเกี่ยวกับยาที่จงใจไม่พูดถึง หรือมีเรื่องที่พูดไม่ได้มากเหลือเกิน ถ้าหลงเชื่อก็เท่ากับเอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยทีเดียว” ทำให้กลับมาฉุกคิดว่าในทุกครั้งที่เราเข้ารับการรักษาหรือกินยาไปนั้น เรากำลังสร้างความปลอดภัยให้กับชีวิต หรือเอาร่างกายไปเสี่ยงโดยการเป็นหมากให้กับธุรกิจการแพทย์และวงการผลิตยากันแน่
หลังอ่านหนังสือ “อย่าให้ยาฆ่าคุณ” จบ ก็นั่งนิ่งคิดทบทวนอยู่สักพัก จะว่ารู้สึกเหมือนโดนล้างสมองก็ไม่ใช่ แต่เหมือนเป็นการได้ล้างหน้าล้างตา เรียกสติให้กลับมาอีกครั้งเสียมากกว่า กระตุ้นให้ย้อนคิดและตระหนักถึงการรักษาโรครวมถึงการใช้ยาอย่างละเอียดมากขึ้น ปรับความเชื่อเดิมๆ ล้างแนวคิดเก่าๆ เกี่ยวกับการแพทย์ไปได้พอสมควร
ทำให้รู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นหนังสือสุขภาพที่คู่ควรกับคนวัยผู้ใหญ่ หรือผู้ป่วยเท่านั้น แต่ผู้รับสารที่เหมาะสมยังรวมถึงคนรุ่นใหม่ ด้วยเนื้อหาที่สวนกระแสทำให้ตอบโจทย์วัยที่ชอบตั้งคำถามกับแนวคิดหรือความเชื่อเดิมๆ คิดว่าหนังสือเล่มจะช่วยเป็นทั้งคำถามและคำตอบได้อย่างดี และน่าจะทำให้หลายๆ คนหันมาสนใจดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองอย่างรอบคอบมากขึ้นโดยห่างไกลจากการใช้ยาและการรักษาที่ไม่จำเป็น
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้