วันนี้เราจะมาพูดถึงลักษณะสำคัญของเงินทุน
ลักษณะของเงินทุน พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือพฤติกรรมของเงิน หรืออุปนิสัยโดยพื้นฐานของเงินทุนนั้นเอง คือ
1. Mobility การเคลื่อนย้ายของเงินทุน
เงินทุนจะมีการเคลื่อนออกจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุกดหนึ่ง โดยปัจจัยที่ทำให้เงินทุนเคลื่อนที่คือ
ความเสี่ยง เงินทุนจะไหลจากสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูงไปยังความเสี่ยงต่ำเสมอ
2.Sensitive
เงินทุนมีลักษณะค่อนข้างอ่อนไหวต่อข่าวต่างๆ ต่อการแปลี่ยนแปลงในบริษัท
เช่น หากมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย(ผันผวน)เกินไป จนก่อให้เกิดความไม่มั่นใจ เงินทุนก็จะไหลออก
หรือ นโยบายของบริษัท การเมือง ซึ่งหากปัจจัยภายนอกเหล่านี้ไม่มั่นคง ไม่แน่นอน ย่อมทำให้
ผู้ลงทุนถอนการลงทุนไปยังที่ที่มั่นคงกว่านั้นเอง
3.Scare (ขาดแคลน)
ซึ่งสวนทางกับความต้องการเงินซึ่งมีอย่างไม่จำกัด
ลักษณะการหมุนเวียนของเงินลงทุนคือ
เงินทุน ------> นำไปลงทุน ------> ทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่ม ------> ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น ชีวิตดีขึ้น
ชีวิตดีขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้นแบ่งเงินไปลงทุน ----> เงินทุน
จากรูปด้านบน คือเมื่อมีเงินทุน ย่อมทำให้มีการนำเงินไปลงทุน ก่อให้เหิดการจ้างงานเพิ่ม ซึ่งก็คือรายได้ภาค
ครัวเรือนเพิ่ม ซึ่งทำให้มีเงินมาใช้จ่าย เพื่อซื้อสินค้าในภาคธุรกิจ ซึ่งเมื่อมีการซื้อสินค้ามาก ภาคเอกชนก็จะมีกำไรมาก
นำไปสู่การลงทุนเพิ่ม และการจ้างงานเพิ่มนั้นเอง ซึ่งเมื่อภาคครัวเรือนมีกำลังซื้อ ภาคเอกขนมีกำลังผลิต ย่อมส่งผลให้รายได้
ของรัฐซึ่งอยู่ในรูปแบบของภาษี และเมื่อรัฐบาลมีรายได่มาก ก็นำไปสู่การลงทุน การจ้างงาน ซึ่งจะลงไปสู่ภาคธุรกิจและ
ภาคครัวเรื่อน ต่อไป
และเมื่อเรามีระบบ เราก็ย่อมต้องมีกติกา กฎเกณฑ์ เพื่อให้การแลกเปลี่ยนเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย เรามีหน่วยงาน
ที่เข้ามาดูแลระบบการเงิน ดังนี้
องค์กรที่กำกับดูแลระบบการเงินของไทย
1. รัฐบาล
โดยหน้าที่ของรัฐบาลคือ การกำหนดนโยบาย, กำกับดูและ และ แทรกแทรงกรณีจำเป็น(เท่านั้น)
2.กระทรวงการคลัง
บทบาทหน้าที่ของกระทรวงการคลัง คือ
การกำหนดนโยบาย และ ดำเนินนโยบายการคลัง
กำกับดูแลองค์กรผู้กำกับตลาดเงิน
จัดหารายได้ให้รัฐบาล(สรรพากร)
เป็นบัญชีของรัฐบาล(กรมบัญชีกลาง)
โดยส่วนหลักที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับตลาด คือ การกำหนดและดำเนินนโยบายการคลัง แล้ว
นโยบายการคลังมีอะไรบ้าง ดังนี้ครับ
นโยบายการคลัง แบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆคือ
1.นโยบายด้านรายรับ คือ นโยบายเกี่ยวกับภาษี (ปรับเพิ่ม ลด เปลี่ยนแปลงภาษี เป็นต้น)
2.นโยบายด้านรายจ่าย คือ การจัดสรรงบประมาณภาครัฐ คือ
1. เมื่อรัฐบาลมีรายได้ขาดดุล คือ รายจ่ายสูงกว่ารายรับ
รัฐบาลจะทำการกระตุ้นเศรฐกิจให้ขยายตัว โดย การออกพันธบัตร
กู้เงิน เป็นต้น คือการกระตุ้นให้นำเงินออกมาซื้อพันธบัตรทำให้รัฐบาล
มีเงินมากขึ้น และเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุน
2.เมือรัฐบาลมีรายได้เกินดุล คือ รายได้สูงกว่ารายรับ
รัฐบาลจะชลอการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ ชลอการเพิ่มขึ้นของ
เงินเฟ้อ โดยการทำให้ประชาชนลดการลงทุน และเก็บออมมากขึ้น
เพื่อดึงเงินออกจากระบบ โดยผ่านนโยบายด้านภาษี เพิ่มอัตราดบ
อย่างไรก็ดี ข้อเสียหนึ่งของการใช้นโยบายการคลัง คือ มีผลต่อพฤติกรรมช้า คือ จะไม่ส่งผล
ให้เห็นชัดแบบทันทีทันใด
3.ธนาคารแห่งประเทศไทย
บทบาทหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย คือ
1.ให้คำปรีกษากับรัฐบาล (ซึ่งรัฐบาลจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้)
2.กำกับดูแลตลาดเงิน
3.พิมพ์พันธบัตร
4.ดูแลเงินเฟ้อ
5.เป็นตัวแทนการเงินของรัฐบาล
หน้าที่ที่เกี่ยวของกับระบบการเงินคือ การออกนโยบายการเงิน เพื่อควบคุมดูแล คือ
นโยบายการเงิน
การดำเนินนโยบายการเงิน มีเป้าหมายหลักคือ
1. ควบคุมเงินเฟ้อ
2.มีผลต่อพฤติกรรมเฉียบพลัน
3.ธนาคารแห่งประเทศไทย จะส่งสัญญานในการเปลี่ยนอแปลง โดยใช้
"อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร ระยะ 1 วัน"
โดยการดำเนินนโยบายการเงินมีลักษณะคือ
1. ถ้า ธปท ต้องการกระตุ้นให้มีการเพิ่มเงินเข้ามาในระบบ ธปท จะประกาศลด
อัตราดอกเบี้ยเพื่อจูงใจให้คนนำเงินมาลงทุน เพราะเมื่อดอกเบี้ยต่ำ คนจะไม่ค่อยออมเพราะไม่มี
กำไร และนำเงินจากการออม ออกมาลงทุนนั้นเอง
2. ถ้า ธปท ต้องการชลอ หรือ ทำเงินออกจากระบบ ก็ในทางกลับกันคือ การเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ย เพราะถ้า ดอกเบี้ยดีอยู่แล้ว คนบางส่วนก็จะชลอการลงทุน และนำเงินไปฝาก
3.ประกาศเพิ่ม / ลด อัตราสำรอง เพื่อ เพิ่ม/ ลด เงินในระบบ
4.ประกาศเพิ่ม / ลด Repurchase Rate(REPO) เพื่อ เพิ่ม / ลด เงินในระบบ
5.การซื้อ / ขาย พันธบัตรแบงค์ชาติ
ซื้อพันธบัตร คือลดเงิน (ซื้อคืน)
ขายพันธบัตร คือ เพิ่มเงิน (ขายออก) ได้เงินเข้ามาในระบบ
4. กลต. (คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หน้าที่หลักสำคัญเลย คือ กลต. ทำหน้าที่เป็น "ผู้คุมกฎ" นั้นเอง โดยหน้าที่หลักมี
1.เป็นองค์กรอิสระที่ดูแลการออก และเสนอขายหลักทรัพย์
2.ดูแล และสร้างประสิทธิภาพของตลาดหลักทรัพย์
3.สร้างความเชื่อมั่น
4.อย่างที่บอกแต่ต้นคือ เป็นผู้คุมกฎ และเป็นผู้ลงโทษนั้นเอง
Part 1
https://pantip.com/topic/37795073
Part 3
https://pantip.com/topic/38913213
ปูพื้นความรู้ สู่ตลาดหลักทรัพย์ Part 2
ลักษณะของเงินทุน พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือพฤติกรรมของเงิน หรืออุปนิสัยโดยพื้นฐานของเงินทุนนั้นเอง คือ
1. Mobility การเคลื่อนย้ายของเงินทุน
เงินทุนจะมีการเคลื่อนออกจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุกดหนึ่ง โดยปัจจัยที่ทำให้เงินทุนเคลื่อนที่คือ
ความเสี่ยง เงินทุนจะไหลจากสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูงไปยังความเสี่ยงต่ำเสมอ
2.Sensitive
เงินทุนมีลักษณะค่อนข้างอ่อนไหวต่อข่าวต่างๆ ต่อการแปลี่ยนแปลงในบริษัท
เช่น หากมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย(ผันผวน)เกินไป จนก่อให้เกิดความไม่มั่นใจ เงินทุนก็จะไหลออก
หรือ นโยบายของบริษัท การเมือง ซึ่งหากปัจจัยภายนอกเหล่านี้ไม่มั่นคง ไม่แน่นอน ย่อมทำให้
ผู้ลงทุนถอนการลงทุนไปยังที่ที่มั่นคงกว่านั้นเอง
3.Scare (ขาดแคลน)
ซึ่งสวนทางกับความต้องการเงินซึ่งมีอย่างไม่จำกัด
ลักษณะการหมุนเวียนของเงินลงทุนคือ
เงินทุน ------> นำไปลงทุน ------> ทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่ม ------> ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น ชีวิตดีขึ้น
ชีวิตดีขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้นแบ่งเงินไปลงทุน ----> เงินทุน
จากรูปด้านบน คือเมื่อมีเงินทุน ย่อมทำให้มีการนำเงินไปลงทุน ก่อให้เหิดการจ้างงานเพิ่ม ซึ่งก็คือรายได้ภาค
ครัวเรือนเพิ่ม ซึ่งทำให้มีเงินมาใช้จ่าย เพื่อซื้อสินค้าในภาคธุรกิจ ซึ่งเมื่อมีการซื้อสินค้ามาก ภาคเอกชนก็จะมีกำไรมาก
นำไปสู่การลงทุนเพิ่ม และการจ้างงานเพิ่มนั้นเอง ซึ่งเมื่อภาคครัวเรือนมีกำลังซื้อ ภาคเอกขนมีกำลังผลิต ย่อมส่งผลให้รายได้
ของรัฐซึ่งอยู่ในรูปแบบของภาษี และเมื่อรัฐบาลมีรายได่มาก ก็นำไปสู่การลงทุน การจ้างงาน ซึ่งจะลงไปสู่ภาคธุรกิจและ
ภาคครัวเรื่อน ต่อไป
และเมื่อเรามีระบบ เราก็ย่อมต้องมีกติกา กฎเกณฑ์ เพื่อให้การแลกเปลี่ยนเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย เรามีหน่วยงาน
ที่เข้ามาดูแลระบบการเงิน ดังนี้
องค์กรที่กำกับดูแลระบบการเงินของไทย
1. รัฐบาล
โดยหน้าที่ของรัฐบาลคือ การกำหนดนโยบาย, กำกับดูและ และ แทรกแทรงกรณีจำเป็น(เท่านั้น)
2.กระทรวงการคลัง
บทบาทหน้าที่ของกระทรวงการคลัง คือ
การกำหนดนโยบาย และ ดำเนินนโยบายการคลัง
กำกับดูแลองค์กรผู้กำกับตลาดเงิน
จัดหารายได้ให้รัฐบาล(สรรพากร)
เป็นบัญชีของรัฐบาล(กรมบัญชีกลาง)
โดยส่วนหลักที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับตลาด คือ การกำหนดและดำเนินนโยบายการคลัง แล้ว
นโยบายการคลังมีอะไรบ้าง ดังนี้ครับ
นโยบายการคลัง แบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆคือ
1.นโยบายด้านรายรับ คือ นโยบายเกี่ยวกับภาษี (ปรับเพิ่ม ลด เปลี่ยนแปลงภาษี เป็นต้น)
2.นโยบายด้านรายจ่าย คือ การจัดสรรงบประมาณภาครัฐ คือ
1. เมื่อรัฐบาลมีรายได้ขาดดุล คือ รายจ่ายสูงกว่ารายรับ
รัฐบาลจะทำการกระตุ้นเศรฐกิจให้ขยายตัว โดย การออกพันธบัตร
กู้เงิน เป็นต้น คือการกระตุ้นให้นำเงินออกมาซื้อพันธบัตรทำให้รัฐบาล
มีเงินมากขึ้น และเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุน
2.เมือรัฐบาลมีรายได้เกินดุล คือ รายได้สูงกว่ารายรับ
รัฐบาลจะชลอการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ ชลอการเพิ่มขึ้นของ
เงินเฟ้อ โดยการทำให้ประชาชนลดการลงทุน และเก็บออมมากขึ้น
เพื่อดึงเงินออกจากระบบ โดยผ่านนโยบายด้านภาษี เพิ่มอัตราดบ
อย่างไรก็ดี ข้อเสียหนึ่งของการใช้นโยบายการคลัง คือ มีผลต่อพฤติกรรมช้า คือ จะไม่ส่งผล
ให้เห็นชัดแบบทันทีทันใด
3.ธนาคารแห่งประเทศไทย
บทบาทหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย คือ
1.ให้คำปรีกษากับรัฐบาล (ซึ่งรัฐบาลจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้)
2.กำกับดูแลตลาดเงิน
3.พิมพ์พันธบัตร
4.ดูแลเงินเฟ้อ
5.เป็นตัวแทนการเงินของรัฐบาล
หน้าที่ที่เกี่ยวของกับระบบการเงินคือ การออกนโยบายการเงิน เพื่อควบคุมดูแล คือ
นโยบายการเงิน
การดำเนินนโยบายการเงิน มีเป้าหมายหลักคือ
1. ควบคุมเงินเฟ้อ
2.มีผลต่อพฤติกรรมเฉียบพลัน
3.ธนาคารแห่งประเทศไทย จะส่งสัญญานในการเปลี่ยนอแปลง โดยใช้
"อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร ระยะ 1 วัน"
โดยการดำเนินนโยบายการเงินมีลักษณะคือ
1. ถ้า ธปท ต้องการกระตุ้นให้มีการเพิ่มเงินเข้ามาในระบบ ธปท จะประกาศลด
อัตราดอกเบี้ยเพื่อจูงใจให้คนนำเงินมาลงทุน เพราะเมื่อดอกเบี้ยต่ำ คนจะไม่ค่อยออมเพราะไม่มี
กำไร และนำเงินจากการออม ออกมาลงทุนนั้นเอง
2. ถ้า ธปท ต้องการชลอ หรือ ทำเงินออกจากระบบ ก็ในทางกลับกันคือ การเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ย เพราะถ้า ดอกเบี้ยดีอยู่แล้ว คนบางส่วนก็จะชลอการลงทุน และนำเงินไปฝาก
3.ประกาศเพิ่ม / ลด อัตราสำรอง เพื่อ เพิ่ม/ ลด เงินในระบบ
4.ประกาศเพิ่ม / ลด Repurchase Rate(REPO) เพื่อ เพิ่ม / ลด เงินในระบบ
5.การซื้อ / ขาย พันธบัตรแบงค์ชาติ
ซื้อพันธบัตร คือลดเงิน (ซื้อคืน)
ขายพันธบัตร คือ เพิ่มเงิน (ขายออก) ได้เงินเข้ามาในระบบ
4. กลต. (คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หน้าที่หลักสำคัญเลย คือ กลต. ทำหน้าที่เป็น "ผู้คุมกฎ" นั้นเอง โดยหน้าที่หลักมี
1.เป็นองค์กรอิสระที่ดูแลการออก และเสนอขายหลักทรัพย์
2.ดูแล และสร้างประสิทธิภาพของตลาดหลักทรัพย์
3.สร้างความเชื่อมั่น
4.อย่างที่บอกแต่ต้นคือ เป็นผู้คุมกฎ และเป็นผู้ลงโทษนั้นเอง
Part 1
https://pantip.com/topic/37795073
Part 3
https://pantip.com/topic/38913213