GPSC ต้นทุนแพงลิ่วของแชมเปี้ยน โดย อีหล่าน้อย เว็บ Share2Trade

    แล้วกรณีการขายหุ้นบริษัท โกลว์พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW ทิ้งของฟากผู้ขายคือกลุ่มทุนฝรั่งเศส Engie เพื่อถอนทุนบวกกำไรกลับบ้านที่มีความพยายามจากใครบางคนที่ต้องการล้มดีล ก็สามารถสรุปได้เร็วเกินคาด ชนิดที่ทำให้คนอยากล้มดีลหมดรูปทันควัน......
http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=2982
    ดีลตกลงให้ทั้งผู้ซื้อและขายลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับผู้ขายเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา แล้วจะมีผลสมบูรณ์ในเดือนตุลาคมปีนี้
    เหตุผลง่ายๆที่เข้าใจได้คือฝ่ายผู้ซื้ออย่าง บริษัทโกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ในเครือ ปตท.ที่มีแม่หนุนหลังเต็มตัว เกิดอาการ"กระสันซื้อ"เกินระดับปกตินั่นเอง ผลลัพธ์จึงง่ายดายและฉับไว"ยิ่งกว่ากามนิตหนุ่ม"
    ปฏิบัติการโตทางลัดของ GPSC นอกจากบริษัทใหญ่อย่าง ปตท.ที่ถือหุ้นทางอ้อมสนับสนุนแล้ว บริษัทใหญ่ที่ถือหุ้นโดยตรงอย่าง พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และ ไทยออยล์ (TOP)  ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน GPSC สนับสนุนให้บริษัทเข้าซื้อกิจการ GLOW ในครั้งนี้ ด้วยข้ออ้างว่า เป็นโอกาสสำคัญในการขยายธุรกิจ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการดำเนินงานและรองรับโอกาสในการเติบโตของธุรกิจในอนาคต ขณะที่การเข้าซื้อกิจการ GLOW จะทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าของ GPSC เพิ่มขึ้นราว 1.5 เท่า มาที่ระดับ 4,835 เมกะวัตต์ (MW)
    ทำไมผู้บริหารของ GPSC ถึงต้องการซื้อมากเกินปกติ มีคำตอบ 4 ข้อรองรับได้แก่ 1) จะทำให้ GPSC เป็นผู้นำในตลาดผลิตไฟฟ้าทางลัดจากพอร์ตของ GLOW ทางลัด 2) อัตรากำไรสุทธิของ GLOW ที่เหนือกว่า GPSC มาก จะเพิ่มเสน่ห์ให้ฝ่ายหลังเกินคุ้มต้นทุนที่จ่าย 3) จะสร้างพลังผนึกทางยุทธศาสตร์ให้กับ GPSC ที่อยู่ในธุรกิจที่ "ความใหญ่" คือเกณฑ์วัดธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ 4) ผลพลอยได้คือมีลูกค้าระยะยาวให้กับแก๊สธรรมชาติที่เครือ ปตท.ขุดและหามาได้ยาวนาน
    ดังที่ทราบกัน GLOW ถือเป็นกิจการที่มีฐานะเป็น "วัวให้น้ำนมทองคำ" เพราะเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าและผู้ให้บริการด้านสาธารณูปโภคทางอุตสาหกรรมในภาคเอกชนรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม2560 มีฐานการผลิตไฟฟ้าหลัก 8 แห่ง กำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้งทั้งสิ้น (Installed capacity) 3,207 เมกะวัตต์ และกำลังผลิตไอน้ำทั้งสิ้น 1,206 ตัน/ชั่วโมง กำลังผลิตน้ำเพื่อการอุตสาหกรรม 5,482 ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง และกำลังการผลิตน้ำเย็น 3,400 ตันความเย็น ดีลซื้อขายกิจการจึงไม่อาจเป็น"ซื้อของถูก" แต่เป็น"ซื้อของแพง และดีกว่า"
    เหตุผลทั้ง 4 ข้อข้างต้น ข้อ 3 เป็นข้ออ่อนที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ประเด็น เพราะได้ตัดสินใจไปแล้ว เพียงแต่มีเรื่องที่ใหญ่กว่ารอเป็นคำถามข้างหน้า สำหรับดีลที่จบในหลักการไปเรียบร้อย
    การซื้อขายกิจการของ GPSC กับ กลุ่ม Engie มีรายละเอียดคือ ผู้ซื้อตกลงซื้อหุ้นผู้ขายที่ถือทั้งหมดทั้งทางตรงและอ้อม 69.11% ใน GLOW ที่ราคาหุ้นละ 96.50 บาท สูงกว่าราคาตลาดในวันที่ประกาศต่อสาธารณะ เป็นการซื้อเงินสด
    แม้จะมีเงื่อนไขในสัญญา (ที่คาดว่า น่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคมปีนี้)ระบุว่า ราคาซื้อขายดังกล่าวอาจมีการปรับลดลงได้เป็นจำนวนเท่ากับเงินปันผลจ่ายต่อหุ้น หาก GLOW มีการจ่ายเงินปันผลก่อนเงื่อนไขบังคับก่อนเสร็จสิ้นลง แต่ก็เป็นแค่ประเด็นปลีกย่อยทางเทคนิคเท่านั้น เพราะมีเงื่อนไขข้ออื่นมาหักกลบ เช่น กำหนดให้GPSC ต้องนำเงินปันผลรับสุทธิที่ได้รับจาก GLOW ในช่วงระยะเวลา 12 เดือนมาชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นด้วย
    ถ้าไม่รวมรายละเอียดของการทำดีลที่มีวงเงินเพิ่มเติม (รวมทั้งค่าจ้าง บริษัท อวานการ์ด แคปปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระของบริษัท เพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับการเข้าทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้นและการทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดแก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท) วงเงินซื้อขายหุ้นแบบจ่ายเงิน GLOW ครั้งนี้ นอกจากทำให้ GPSC ต้องเตรียมใช้เงินมาจ่ายลงทุน 97,559 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อหุ้นบมจ.โกลว์ พลังงาน (GLOW) จำนวน 69.11% จาก Engie ยังต้องเตรียมเงินสดอีกก้อนหนึ่งเพื่อที่จะทำคำเสนอซื้อหุ้น GLOW ที่เหลือ 30.89% ในราคาที่ 96.50 บาทตามกติกา
    หากการทำคำเสนอซื้อหรือ เทนเดอร์ออฟเฟอร์ มีผู้ถือหุ้นGLOW ทุกรายที่เหลืออยู่ตอบรับการซื้อหุ้น 100% ก็จะทำให้ต้องใช้เงินซื้อกิจการครั้งนี้จำนวน 141,166 ล้านบาท
    แม้ในทางปฏิบัติวงเงินที่เตรียมไว้ อีกประมาณ 4.4 หมื่นล้านบาท อาจจะไม่ถูกใช้ทั้งหมด (เพราะถ้าใช้หมด เท่ากับ GLOW จะต้องหมดสภาพเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนโดยปริยาย) แต่การเตรียมให้พร้อมเต็มที่ก็เป็นกติกาสำคัญที่เลี่ยงไม่พ้น
    งานนี้ ทำให้ในระยะสั้น GPSC จำต้องพึ่ง"สะพานเงินกู้" หรือ bridge loan ซึ่งเป็นเงินกู้ระยะสั้นอายุไม่เกิน 12 เดือน วงเงินไม่เกิน 142,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการเข้าทำธุรกรรมครั้งนี้
    ผลของการออกสะพานเงินกู้ ทำให้ GPSC ต้องยอมรับในเงื่อนไขของสินเชื่อระยะสั้นที่กำหนดให้บริษัทต้องปรับโครงสร้างเงินทุน เบื้องต้นอาจพิจารณาเพิ่มทุนไม่เกิน 74,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นภายในเดือนเมษายน 2562  
    การเพิ่มทุนจากทุนจดทะเบียนเดิม 1.498 หมื่นล้านบาท อีก 7.40 หมื่นล้านบาท หรือเกือบ 5 เท่าตัว ให้กลายเป็นทุนจดทะเบียน 8.898 หมื่นล้านบาท  สามารถพิจารณาได้หลายมุมทั้งบวกและลบ
    ในแง่บวก กำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น เพราะอัตรากำไรสุทธิระดับ 20% ของ GLOW สูงกว่า 15% ของ GPSCก่อนดีลจะเกิดขึ้น  จะสามารถบรรเทาผลเสียหายจากกำไรสุทธิต่อหุ้น และปันผลต่อหุ้นที่จะลดลงในระยะสั้น
    นอกจากนั้น มาร์เก็ตแค็ปของ GPSC จะเพิ่มพูนมากขึ้น ดึงดูดให้บรรดานักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนมากขึ้น
    สำหรับแง่ลบ เพียงแค่ไดลูทชั่นของราคาหุ้นอย่างเดียวก็ทำให้กลบแง่บวกจนหมดสิ้น..จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พอมีข่าวดังกล่าว ราคาหุ้น GPSC จึงร่วงแรงต่อเนื่อง เพราะคงไม่มีนักลงทุนรายไหนอยาก"ถูกจับเป็นตัวประกัน"และ"ติดยอดดอย"ยาวนาน
    ลาภก้อนใหญ่ของเครือ ปตท. และ GPSC จากดีลซื้อกิจการ GLOW เพื่อโตเป็นที่หนึ่งทางลัด จึงเลี่ยงไม่พ้นที่จะเป็นทุกขลาภ สำหรับผู้ถือหุ้น GPSC คนอื่นๆ
    ช่างตรงกันข้ามเสียเหลือเกิน กับผู้ถือหุ้น GLOW ที่กำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นไปเรียบร้อย ก่อนเข้าสู่อนาคตใหม่ใต้ร่มเงาเครือปตท. ปลายปีนี้
///////////////////////////////////
ขอบคุณบทความจาก www.facebook.com/Share2Trade/  www.share2trade.com
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  หุ้น การลงทุน การเงิน PTT (หุ้น)
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่