สวัสดีครับ
ผมจะมาเล่าการเดินทางครั้งนี้ต่อจากตอนที่แล้วตามลิงค์นี้
https://pantip.com/topic/37758370
คราวที่แล้วเขียนจบลงตรงที่ วัดเชียงทอง ซึ่งมีสถาปัตยกรรมและภาพประดับผนังทำด้วยกระจกสีบนพื้นหลังสีชมพู ที่เล่าเรื่องราวทางพุทธศาสนาและวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ทำให้เราได้จินตนาการไปพร้อมๆกับกับประทับใจในความพยายามตกแต่งและความสร้างสรรค์ของศิลปินผ่านกระจกสีชิ้นเล็ก ๆ เหล่านี้ ผมว่า บางที เสน่ของการท่องเที่ยว อาจไม่อยู่ที่การได้รูปสวยๆกับสถานที่แปลกตาอลังการ แต่อาจอยู่ที่การรับรู้จากการพูดคุย และจินตนาการถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้คน ทั้งที่เป็นชาวบ้าน ศิลปิน คนชนชั้นสูง หรือใครก็ตามที่เกี่ยวข้อง แต่ก็อย่างว่านะครับ บางที นักท่องเที่ยวหลาย ๆคนก็มักเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆที่เราได้พบเจอ จนหลายครั้งทำให้เกิดการเหยียดหยามหรือประเมินคุณค่าคนอื่น...
หลังจากที่เดินเล่นถ่ายรูปที่วัดเชียงทองเสร็จแล้ว กลับมานอนเล่นที่พักครับ (ฮ่าๆ) กะว่าจะรอสักประมาณ 5 โมง แล้วค่อยออกไปที่วัดพูสี ซึ่งเป็นที่หมายของนักท่องเที่ยวแทบจะทุกคนที่ไปหลวงพระบาง รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติและจำนวนขั้นบันไดลองหาอ่านดูจาก review อื่น ๆที่มีอยู่มากอยู่แล้วนะครับ ปกติวัดพูสีจะมีทางขึ้นหลัก ๆ 2 ทางคือ ทางฝังน้ำคานกับทางฝั่งพระราชวังหลวงพระบางซึ่งคือบริเวณตลาดมืด แต่พอดีว่าตรงข้ามโรงแรมที่ผมพัก มันมีทางเดินขึ้นไป ซึ่งเป็นวัดศรีพุทธบาท ทิพทาราม จึงลองเดินขึ้นไป ถามพระสงฆ์ว่าทางนี้ขึ้นไปพระธาตุได้ไหม ท่านว่าเดินขึ้นไปได้ ระหว่างทางมีรอยพุทธบาทให้ชมด้วย สิ่งที่น่าสนใจของวัดศรีพุทธบาท คือ มีอุโบสถ ศาลา และอาคารที่ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย ดูเก่า ดูขลัง ผนวกกับเป็นช่วงแดดร่มลมตก ยิ่งทำให้ได้บรรยากาสที่แตกต่างออกไป ที่สำคัญคือ ไม่ค่อยมีคนเดินทางทางนี้ครับ เงียบดีจริง ๆ

อุโบสถวัดศรีพุทธบาท

ศาลาวัดศรีพุทธบาท น่าจะมีไว้ให้พระฉันท์ครับ

หอกลองวัดศรีพุทธบาท

กุฏิวัดศรีพุทธบาท

อาคารนี้ไม่น่าใจว่าเรียกว่าอะไร ในวัดศรีพุทธบาทเช่นกัน

ทางขึ้นไปพระธาตุพูสี ขึ้นทางวัดศรีพุทธบาท เก่าเชียว
การขึ้นไปพระธาตุพูสี จะขึ้นทางไหนก็ต้องจ่ายค่าขึ้น 20,000 กีบครับ
ดูท่าเหมือนฝนจะตก ต้องเร่งฝีเท้าหน่อย ช่วงเย็นแบบนี้มีนักท่องเที่ยวเดินขึ้นมากทีเดียว เพราะทุกคนหวังจะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตก แต่สำหรับวันนี้ ไม่ได้ชมครับ เพราะเมฆบังหมด จินตนาการเอาก็แล้วกัน (ฮ่า) ขึ้นไปถึงจุดสูงสุด มีนักท่องเที่ยวมากทีเดียว ถ่ายรูปกัน บ้างก็นั่งเล่นชมวิวข้างบนนั้น มันสวยจริง ๆ มองลงข้างล่างเป็นบ้านเรื่อน มีฉากหลังเป็นแม่น้ำโขง แม่น้ำคาน และภูเขาสลับทับซ้อนกันไป เอาจริง ๆ น้ำโขงก็ไหลผ่านบ้านเรา แต่แน่นอนว่ามุมมองและองค์ประกอบภาพแตกต่างกันไป

วิวจากพระธาตุพูสี ฝั่งน้ำคาน

วิวจากพระธาตุพูสี ฝั่งน้ำคานเช่นกัน

วิวจากพระธาตุพูสี ฝั่งน้ำโขง

วิวจากพระธาตุพูสี ฝั่งน้ำโขงเช่นกัน
ขึ้นไปได้สักพัก ฝนทำท่าจะตก ลมแรง จีงรีบเดินกลับมาทางเดิมเพื่อเข้าโรงแรม เท่าที่อ่านรีวิว หลาย ๆ รีวิวแนะนำให้ขึ้นฝั่งน้ำคานแล้วลงฝั่งตลาดมืด เพื่อจะได้เดินเที่ยวต่อเลย อันนี้ก็ตามสะดวกนะครับ แต่ผมกลัวฝน เมื่อวานโดนฝนไปตอนค่ำ ๆ รู้สึกอาการแปลก ๆ กลัวจะไม่สบาย

ที่พักมองจากทางลงพระธาตุครับ
กลับมาถึงโรงแรมฝนก็เทลงมาพอดี นอนเล่นฟังเสียงฝนสักพัก ฝนซาแล้วค่อยออกไปเดินเล่นอีกสักรอบ
รอจนฝนซา จึงออกไปเดินเล่น ดูว่าตลาดมืดมีอะไร เพราะเมื่อวานยังไม่ได้เดินเท่าไหร่ ก่อนจะออกไป ผมถาม จนท.โรงแรม ว่า อีกสองวันจะไปเดียนเบียน เลยอยากรู้ว่า สถานีรถนาหลวงอยู่ที่ไหน เพราะเท่าที่อาจจากรีวิว เขาว่า ให้ไปซื้อที่ช่องขายตั๋วเลย และควรจองล่วงหน้า คำตอบ จนท.โรงแรมแนะนำให้ซื้อตามเอเจนซี่ก็ได้ มีเยอะเลยแถว ๆ นั้น ผมคิดในใจว่า ก็ดีเหมือนกัน ง่ายดี แต่ลืมคิดไปว่า สรุป ยังไม่ได้คำตอบ ว่าสถานนีรถที่อยู่ที่ไหน (ฮ่าๆ)
ออกไปเดิน ผ่านเอเจนซี่หลายเจ้า เยอะจนเลือกไม่ถูก เลยตัดสินใจว่าเจ้านี้ก็แล้วกัน เพราะเห็นว่า มีฝรั่งสองคนกำลังจองตั๋วอะไรสักอย่าง คิดในใจว่า อย่างน้อยก็มีเพื่อน (ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย) เขาไปรอสักพัก ได้พูดคุยกับคนขาย ได้ความว่า ราคาตั๋วจากหลวงพระบางไปเดียนเบียน ราคา 220,000 กีบ (แต่ถ้าไปซื้อที่สถานี ราคา 180,000 กีบ ค่ารถสามล้อ 30,000 กีบต่อเที่ยว อันนี้มารู้ทีหลัง หลังจากไปที่สถานีแล้ว แต่คิดว่า ยังไงซื้อกับเอเจนซี่ตรงนี้ก็คุ้มกว่าครับ ฮ๋าๆ) รถออกหกโมงครึ่ง ใช้เวลาเดินทาง 14 ชั่วโมง แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว (ฮ่าๆ) แต่ก็จองไว้แล้วครับ อีกสองวันถึงจะเดินทาง...คืนนี้กลับห้องมือเปล่า เพราะลาบไก่ ส้มตำ และไข่เจียวที่กินไปเมื่อบ่ายยังไม่ย่อยเลย กลับมาห้อง นอนพักผ่อน พร้อมกับอาการคลั่นเนื้อคลั่นตัว
6 มิ.ย. 62
เช้านี้ตืนมาพร้อมกับอาการเจ็บคอ (จนได้สินาาา) วันนี้โปรแกรมเที่ยวหลวมมาก ๆ คือ ยังไม่ได้คิดว่าจะไปไหนเลย ฮ่าๆ กะว่าช่วงเช้านี้จะออกไปเดินเล่นสักหน่อย แล้วค่อยกลับมานั่งทำงาน ตอนบ่าย ๆอาจจะไปดูพิพิธภัณฑ์ก็คือตรงพระราชวังนั่นแหละครับ ... ออกมาเดินเล่นตอนเช้า คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย สิ่งปลูกสร้างบ้านเรือน (จริง ๆ คือร้านค้าและโรงแรม) ก็ดูสวยดี อาจเป็นเพราะการควบคุมตามกฎระเบียนของความเป็นเมืองมรดกโลก ที่ต้องรักษาไว้หรือถ้าจะปรับปรุงสร้างใหม่ก็คงต้องให้มีรูปแบบและลักษณะทางสถาปัตยกรรมและการตกแต่งที่สอดคล้องกับสภาพเดิม

คนหาปลา ฝั่งน้ำโขง
เดินไปเรื่อย ๆ ครับ จนเดินวนมาถึงพระราชวังเดิม ซึ่งข้างร้วตรงนั้นคือตลาดเช้า ว่ากันว่าอยากรู้วิถีชีวิตคนท้องถิ่น ต้องเดินตลาดครับ แถวนั้นของกิน อาหารเช้ามีหลายเจ้าทีเดียว เผอญผมไม่กินอาหารเช้าเลยไม่ได้เข้าไปดูว่ามีอะไรบ้าง ลองหาดูจากรีวิวอื่นๆ ก็แล้วกันนะครับ ที่ตลาดเช้านี้ ไม่ค่อยมีรูปครับ รู้สึกว่าการถ่ายรูปคนที่เขากำลังใช้ชีวิตอยู่ มันเป็นการรบกวนวิถีชีวิตเขา อันนี้เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานนะครับ (ฮ่าๆ) เราคงจะอึดอัดที่มีคนมาถ่ายรูป ส่วนใหญ่ถ้าจะถ่ายรูปร้านค้าเขา ผมก็จะซื้อของเขาก่อน (ฮ่าๆ) ตลาดที่นี่น่ารัก น่าสนใจ มีของพื้นเมืองหลายอย่างที่ไม่เคยเห็นในเมืองไทย และก็มีหลายอย่างที่เป็นสิ่งเดียวกันหรือเป็นวัฒนธรรมเดียวกันกับบ้านเรา เช่นพืชผักหลาย ๆ ชนิด รวมถึงอาหารทั้งคาวหวาน ก็เป็นสิ่งเดียวกันกับที่บ้านเรา ใครสนใจอยากรู้รสชาติก็ลองซื้อชิมกันเองก็แล้วกันเนอะ ส่วนพวกสิ่งอุปโภคบริบริโภคก็เป็นสินค้าจากไทยครับ สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้จากตลาดนี้คือ ของขายเป็นของที่มากจากชาวบ้าน ซึ่งหลากหลาย ไม่ได้เป็นของที่ซ้ำๆกันหลายๆ ร้านแบบบ้านเรา อีกอย่าง ตลาดที่นี่ดูสะอาดสะอ้าน แม้จะเป็นหน้าฝนก็ไม่ได้เฉอะแฉะครับ

รูปตรงทางเข้าตลาด
เดินเสร็จ ผมเดินกับโรงแรมมานั่งทำงานต่อ
ตอนนี้ขอไป Check-in เตรียมกลับไทยก่อนนะครับ พอดีมีเวลาเลยนั่งเขียนรีวิวนี้ อยู่ที่สนามบินที่ฮานอยครับ
เอาไว้ต่อตอน 3 นะครับ
[CR] เที่ยวหลวงพระบาง เดียนเบียน ซาปา ฮานอย (สำหรับคนประเภท Introvert และไม่ใช่สายลุย) 2
ผมจะมาเล่าการเดินทางครั้งนี้ต่อจากตอนที่แล้วตามลิงค์นี้
https://pantip.com/topic/37758370
คราวที่แล้วเขียนจบลงตรงที่ วัดเชียงทอง ซึ่งมีสถาปัตยกรรมและภาพประดับผนังทำด้วยกระจกสีบนพื้นหลังสีชมพู ที่เล่าเรื่องราวทางพุทธศาสนาและวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ทำให้เราได้จินตนาการไปพร้อมๆกับกับประทับใจในความพยายามตกแต่งและความสร้างสรรค์ของศิลปินผ่านกระจกสีชิ้นเล็ก ๆ เหล่านี้ ผมว่า บางที เสน่ของการท่องเที่ยว อาจไม่อยู่ที่การได้รูปสวยๆกับสถานที่แปลกตาอลังการ แต่อาจอยู่ที่การรับรู้จากการพูดคุย และจินตนาการถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้คน ทั้งที่เป็นชาวบ้าน ศิลปิน คนชนชั้นสูง หรือใครก็ตามที่เกี่ยวข้อง แต่ก็อย่างว่านะครับ บางที นักท่องเที่ยวหลาย ๆคนก็มักเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆที่เราได้พบเจอ จนหลายครั้งทำให้เกิดการเหยียดหยามหรือประเมินคุณค่าคนอื่น...
หลังจากที่เดินเล่นถ่ายรูปที่วัดเชียงทองเสร็จแล้ว กลับมานอนเล่นที่พักครับ (ฮ่าๆ) กะว่าจะรอสักประมาณ 5 โมง แล้วค่อยออกไปที่วัดพูสี ซึ่งเป็นที่หมายของนักท่องเที่ยวแทบจะทุกคนที่ไปหลวงพระบาง รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติและจำนวนขั้นบันไดลองหาอ่านดูจาก review อื่น ๆที่มีอยู่มากอยู่แล้วนะครับ ปกติวัดพูสีจะมีทางขึ้นหลัก ๆ 2 ทางคือ ทางฝังน้ำคานกับทางฝั่งพระราชวังหลวงพระบางซึ่งคือบริเวณตลาดมืด แต่พอดีว่าตรงข้ามโรงแรมที่ผมพัก มันมีทางเดินขึ้นไป ซึ่งเป็นวัดศรีพุทธบาท ทิพทาราม จึงลองเดินขึ้นไป ถามพระสงฆ์ว่าทางนี้ขึ้นไปพระธาตุได้ไหม ท่านว่าเดินขึ้นไปได้ ระหว่างทางมีรอยพุทธบาทให้ชมด้วย สิ่งที่น่าสนใจของวัดศรีพุทธบาท คือ มีอุโบสถ ศาลา และอาคารที่ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย ดูเก่า ดูขลัง ผนวกกับเป็นช่วงแดดร่มลมตก ยิ่งทำให้ได้บรรยากาสที่แตกต่างออกไป ที่สำคัญคือ ไม่ค่อยมีคนเดินทางทางนี้ครับ เงียบดีจริง ๆ
การขึ้นไปพระธาตุพูสี จะขึ้นทางไหนก็ต้องจ่ายค่าขึ้น 20,000 กีบครับ
ดูท่าเหมือนฝนจะตก ต้องเร่งฝีเท้าหน่อย ช่วงเย็นแบบนี้มีนักท่องเที่ยวเดินขึ้นมากทีเดียว เพราะทุกคนหวังจะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตก แต่สำหรับวันนี้ ไม่ได้ชมครับ เพราะเมฆบังหมด จินตนาการเอาก็แล้วกัน (ฮ่า) ขึ้นไปถึงจุดสูงสุด มีนักท่องเที่ยวมากทีเดียว ถ่ายรูปกัน บ้างก็นั่งเล่นชมวิวข้างบนนั้น มันสวยจริง ๆ มองลงข้างล่างเป็นบ้านเรื่อน มีฉากหลังเป็นแม่น้ำโขง แม่น้ำคาน และภูเขาสลับทับซ้อนกันไป เอาจริง ๆ น้ำโขงก็ไหลผ่านบ้านเรา แต่แน่นอนว่ามุมมองและองค์ประกอบภาพแตกต่างกันไป
ขึ้นไปได้สักพัก ฝนทำท่าจะตก ลมแรง จีงรีบเดินกลับมาทางเดิมเพื่อเข้าโรงแรม เท่าที่อ่านรีวิว หลาย ๆ รีวิวแนะนำให้ขึ้นฝั่งน้ำคานแล้วลงฝั่งตลาดมืด เพื่อจะได้เดินเที่ยวต่อเลย อันนี้ก็ตามสะดวกนะครับ แต่ผมกลัวฝน เมื่อวานโดนฝนไปตอนค่ำ ๆ รู้สึกอาการแปลก ๆ กลัวจะไม่สบาย
กลับมาถึงโรงแรมฝนก็เทลงมาพอดี นอนเล่นฟังเสียงฝนสักพัก ฝนซาแล้วค่อยออกไปเดินเล่นอีกสักรอบ
รอจนฝนซา จึงออกไปเดินเล่น ดูว่าตลาดมืดมีอะไร เพราะเมื่อวานยังไม่ได้เดินเท่าไหร่ ก่อนจะออกไป ผมถาม จนท.โรงแรม ว่า อีกสองวันจะไปเดียนเบียน เลยอยากรู้ว่า สถานีรถนาหลวงอยู่ที่ไหน เพราะเท่าที่อาจจากรีวิว เขาว่า ให้ไปซื้อที่ช่องขายตั๋วเลย และควรจองล่วงหน้า คำตอบ จนท.โรงแรมแนะนำให้ซื้อตามเอเจนซี่ก็ได้ มีเยอะเลยแถว ๆ นั้น ผมคิดในใจว่า ก็ดีเหมือนกัน ง่ายดี แต่ลืมคิดไปว่า สรุป ยังไม่ได้คำตอบ ว่าสถานนีรถที่อยู่ที่ไหน (ฮ่าๆ)
ออกไปเดิน ผ่านเอเจนซี่หลายเจ้า เยอะจนเลือกไม่ถูก เลยตัดสินใจว่าเจ้านี้ก็แล้วกัน เพราะเห็นว่า มีฝรั่งสองคนกำลังจองตั๋วอะไรสักอย่าง คิดในใจว่า อย่างน้อยก็มีเพื่อน (ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย) เขาไปรอสักพัก ได้พูดคุยกับคนขาย ได้ความว่า ราคาตั๋วจากหลวงพระบางไปเดียนเบียน ราคา 220,000 กีบ (แต่ถ้าไปซื้อที่สถานี ราคา 180,000 กีบ ค่ารถสามล้อ 30,000 กีบต่อเที่ยว อันนี้มารู้ทีหลัง หลังจากไปที่สถานีแล้ว แต่คิดว่า ยังไงซื้อกับเอเจนซี่ตรงนี้ก็คุ้มกว่าครับ ฮ๋าๆ) รถออกหกโมงครึ่ง ใช้เวลาเดินทาง 14 ชั่วโมง แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว (ฮ่าๆ) แต่ก็จองไว้แล้วครับ อีกสองวันถึงจะเดินทาง...คืนนี้กลับห้องมือเปล่า เพราะลาบไก่ ส้มตำ และไข่เจียวที่กินไปเมื่อบ่ายยังไม่ย่อยเลย กลับมาห้อง นอนพักผ่อน พร้อมกับอาการคลั่นเนื้อคลั่นตัว
6 มิ.ย. 62
เช้านี้ตืนมาพร้อมกับอาการเจ็บคอ (จนได้สินาาา) วันนี้โปรแกรมเที่ยวหลวมมาก ๆ คือ ยังไม่ได้คิดว่าจะไปไหนเลย ฮ่าๆ กะว่าช่วงเช้านี้จะออกไปเดินเล่นสักหน่อย แล้วค่อยกลับมานั่งทำงาน ตอนบ่าย ๆอาจจะไปดูพิพิธภัณฑ์ก็คือตรงพระราชวังนั่นแหละครับ ... ออกมาเดินเล่นตอนเช้า คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย สิ่งปลูกสร้างบ้านเรือน (จริง ๆ คือร้านค้าและโรงแรม) ก็ดูสวยดี อาจเป็นเพราะการควบคุมตามกฎระเบียนของความเป็นเมืองมรดกโลก ที่ต้องรักษาไว้หรือถ้าจะปรับปรุงสร้างใหม่ก็คงต้องให้มีรูปแบบและลักษณะทางสถาปัตยกรรมและการตกแต่งที่สอดคล้องกับสภาพเดิม
เดินไปเรื่อย ๆ ครับ จนเดินวนมาถึงพระราชวังเดิม ซึ่งข้างร้วตรงนั้นคือตลาดเช้า ว่ากันว่าอยากรู้วิถีชีวิตคนท้องถิ่น ต้องเดินตลาดครับ แถวนั้นของกิน อาหารเช้ามีหลายเจ้าทีเดียว เผอญผมไม่กินอาหารเช้าเลยไม่ได้เข้าไปดูว่ามีอะไรบ้าง ลองหาดูจากรีวิวอื่นๆ ก็แล้วกันนะครับ ที่ตลาดเช้านี้ ไม่ค่อยมีรูปครับ รู้สึกว่าการถ่ายรูปคนที่เขากำลังใช้ชีวิตอยู่ มันเป็นการรบกวนวิถีชีวิตเขา อันนี้เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานนะครับ (ฮ่าๆ) เราคงจะอึดอัดที่มีคนมาถ่ายรูป ส่วนใหญ่ถ้าจะถ่ายรูปร้านค้าเขา ผมก็จะซื้อของเขาก่อน (ฮ่าๆ) ตลาดที่นี่น่ารัก น่าสนใจ มีของพื้นเมืองหลายอย่างที่ไม่เคยเห็นในเมืองไทย และก็มีหลายอย่างที่เป็นสิ่งเดียวกันหรือเป็นวัฒนธรรมเดียวกันกับบ้านเรา เช่นพืชผักหลาย ๆ ชนิด รวมถึงอาหารทั้งคาวหวาน ก็เป็นสิ่งเดียวกันกับที่บ้านเรา ใครสนใจอยากรู้รสชาติก็ลองซื้อชิมกันเองก็แล้วกันเนอะ ส่วนพวกสิ่งอุปโภคบริบริโภคก็เป็นสินค้าจากไทยครับ สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้จากตลาดนี้คือ ของขายเป็นของที่มากจากชาวบ้าน ซึ่งหลากหลาย ไม่ได้เป็นของที่ซ้ำๆกันหลายๆ ร้านแบบบ้านเรา อีกอย่าง ตลาดที่นี่ดูสะอาดสะอ้าน แม้จะเป็นหน้าฝนก็ไม่ได้เฉอะแฉะครับ
เดินเสร็จ ผมเดินกับโรงแรมมานั่งทำงานต่อ
ตอนนี้ขอไป Check-in เตรียมกลับไทยก่อนนะครับ พอดีมีเวลาเลยนั่งเขียนรีวิวนี้ อยู่ที่สนามบินที่ฮานอยครับ
เอาไว้ต่อตอน 3 นะครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น