สวัสดีครับ
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่ผมเขียน ดีไม่ดีอย่างไรขออภัยด้วยนะครับ และหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจบ้าง
ก่อนอื่น ของพูดถึงลักษณะเฉพาะของตัวเองก่อนนะครับ ผู้อ่านจะได้เข้าใจว่าทำไมการเที่ยวแบบคนอย่างผมถึงออกมาเป็นแบบนี้
ว่าด้วยเรื่องการท่องเที่ยว ผมชอบไปเที่ยวครับ และอยากจะมีเพื่อนไป แต่ถึงเวลาไปเที่ยวทีไร ต้องไปคนเดียวเกือบจะทุกที เพราะส่วนหนึ่ง ผมเป็นคนขี้รำคานและงานเยอะ ถ้าอยากไปเที่ยวต้องตัดสินใจเลยแล้วค่อยจัดการกับงานและเวลาทีหลัง และ90% ของการไปเที่ยว ต้องเอางานไปทำด้วย ผมอาจจะโชคดีหน่อยที่งานเป็นงานเอกสาร/งานวิชาการ และต้องใช้ความคิดในการเขียน ในอีกแง่มุมหนึ่ง ผมเป็นพวก Introvert คือ ชอบเก็บตัว มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก ทำอะไรคนเดียว ไม่ชอบอยู่ในสายตาหรือความสนใจคนอื่น ไม่ชอบสนุก ไม่ชอบปาตี้ รู้สึกอึดอัดถ้าต้องเจอกับคนเยอะๆ แต่ก็พูดคุยกับคนหน้าใหม่ ๆ ได้นะครับ
สำหรับการท่องเที่ยว หลาย ๆ คนต้องการได้พบเพื่อนใหม่ ประสบการณ์ใหม่ ได้รู้จักโลกกว้าง การมาเที่ยวของผมก็ได้เรื่องพวกนี้บ้างครับ แต่หลักๆแล้วการมาเที่ยวของผมมีวัตถุประสงค์ 2 อย่างคือ เรียนรู้ผู้อื่นและเรียนรู้ตัวเอง การมาเที่ยวทำให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ในขณะเที่ยวกันก็ทำให้เรารู้จักตัวเองมาขึ้นเช่นกัน ผมได้เรียนรู้ว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร คิดอย่างไร และจัดการอย่างไรในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างไร หลายๆที่ที่ไป มีสถานการณ์ วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต ที่แตกต่างกันออกไป ผมว่าประการณ์นี้ช่วยพัฒนาความเข้าใจตัวเองได้ดีกว่าการอยู่เฉย ๆ หรือไม่ออกไปไหนเลย
เนื่องจากผมไม่ใช่คนลุย การท่องเที่ยวจึงมีการวางแผนไว้พาสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนการเดินทางและที่พัก ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวหรือจุดสนใจต่าง ๆ จะไปหาหรือ search ข้อมูลเอาข้างหน้าครับ
ผมไปเที่ยวมาหลายที และไม่เคยได้เขียนถึงเลย เพราะอย่างที่บอก ว่าการเที่ยวของผมคือได้เรียนรู้คนอื่นและได้เรียนรู้ตัวเอง ส่วนคนอื่นจะได้เรียนรู้จากเราหรือไม่นั้นไม่เคยได้คิดถึง ซึ่งแบบนี้คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ที่ตัดสินใจเขียนคราวนี้ เพราะด้วยเหตุผลง่าย ๆ คือ ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับการเที่ยวเส้นทางนี้ไม่ค่อยมี หรือมีก็ไม่อัพเดด หรือที่อัพเดดที่สุดแล้วแต่พอได้มาเห็นของจริง อ้าว มันเปลี่ยนไปแล้วนี่นา จึงอยากจะมาอัพเดดไว้เผื่อคนที่สนใจ และเผื่อว่าวันนึงตัวเองจะได้กลับมาอ่านสิ่งที่ได้บันทึกนี้ไว้ด้วยครับ
ทริบนี้ เป็นทริบที่ไม่ไกลจากบ้านเรานัก ผมวางแผนการเดือนทางอย่างคร่าว ๆ ล่วงหน้าราย ๆ 3 เดือน แผนที่ว่าคือการจองตั๋วเครื่องบินครับ ส่วนเรื่องที่พักและการเดินทางระหว่างเมือง ผมมีเวลามาจัดการมันสัก 1-2 อาทิตย์ก่อนเดินทาง ซึ่งสำหรับบางคนอาจะใช้เวลาน้อยกว่านี้ แต่เผอิญผมไม่ใช่สายลุยก็เลยอาจต้องใช้เวลาพิจารณานานหน่อยว่าจะเลือกที่ไหนดี
สำหรับเส้นทางที่ผมเลือกเดินทางคราวนี้คือ
บินจากเชียงใหม่ (ผมอยู่เชียงใหม่) ไปกรุงเทพ
-> บินจากกรุงเทพไปหลวงพระบาง
-> นั่งรถ mini bus จากหลวงพระบางไปเมืองเดียนเบียน ประเทศเวียดนาม
-> แล้วนั่งรถ mini bus จากเดียนเบียนไปเมืองซาปา
-> แล้วนั่งรถ VIP Bus จากซาปาไป ฮานอย
-> แล้วบินจากฮานอยกลับกรุงเทพ
จริงๆสิ่งที่สนใจในเส้นทางนี้ ก็คือ อยากจะไปดูให้เห็นวัฒนธรรมที่ถือว่าเป็นรากเง่าของเรา คนลาวชัดเจนว่าเป็นพวกเดียวกันกับเราเพราะเราใช้ภาษาเดียวกัน มีวิถีชีวิตการอยู่การกินและความเชื่อเหมือนกัน จะต่างกันก็แค่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ส่วนเดียนเบียนนั้น เป็นถิ่นฐานเดิมของคนไท (ไทดำ ไทขาว) และในตำนานเกี่ยวการกำเนิดคนไท เมืองเดียนเบียน หรือ สิบสองจุไท รวมไปถึงพื้นที่ทางเหนือของเวียนนามก็มีถือเป็นแหล่งกำเนิดของคนไทเช่นกัน ทานไหนสนใจหาอ่านงานของอ.สุจิตต์ วงษ์เทศ และงานเขียนเชิงประวัติศาสตร์โบราณคดีของนักวิชาการหลาย ๆ ท่านได้ครับ ซึ่งทริบนี้ผมเองก็หวังว่าจะได้เห็นและเรียนรู้อะไรเหล่านี้บางไม่มากก็น้อย
การเที่ยวคราวนี้ ผมเริ่มจากการจองตั๋วเครื่องบินโปรโมชั่นของสายการบินหางแดง จากกทม.ไปหลวงพระบาง และจากฮานอยกลับมากทม. ได้ราคาที่น่าพอใจคือ ไม่ถึงสามพันบาท จากนั้น ผมจึงเริ่มรีวิว ว่าการเดินทางระหว่างเมืองนั้น เขาไปกันอย่างไร ซึ่งเท่าที่รีวิวดูจากหลายๆที ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาเรื่องการเดินทางอยู่พอสมควร ซึ่งผมก็ได้ทำใจไว้แล้วบ้างครับ
4 มิ.ย. ผมเดินทางจาก กทม.ไปหลวงพระบาง
สำหรับที่หลวงพระบาง ผมวางแผนว่าจะอยู่ที่นั่น 3 คืนครับ
ผมบินจากกทม. เครื่องออกราว ๆ เกือบบ่ายสาม และไปถึงราว ๆ บ่ายสี่โมงเย็น เมื่อไปถึงและผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว เมื่อเดินออกมาจะพบเค้าเตอร์ Taxi บอกชื่อโรงแรมเขาและจ่ายค่ารถคนละ 50,000 กีบ (192 บาท) ราคานี้โอเค เพราะรถดี ทั้งนี้ผมสอบถามไปทางโรงแรมแล้วว่าถ้ามีรถมารับโรมแรมคิดราคาเท่าไหร่ คำตอบคือ 300 บาท (รถโรงแรมก็ต้องแพงกว่าอยู่แล้วเนอะ) พ่อได้ตั๋วผมก็ไปรอที่รถ รอไม่เกิน 10 นาที คนเต็ม ( 4-5 คน) รถก็ออกครับ ราว ๆ 15 นาที ก็ถึงโรงแรมแล้ว ระหว่างทางคนขับบอกว่า ฝนไม่ตกมาหลายวัน ฝนพึ่งจะตกวันนี้เอง ฮ่าๆ โชคดีชะมัด ระหว่างอยู่บนรถนั้น มีการพูดคุยกันของผู้โดยสารคนไทย ว่า ใครมีแผนไปเที่ยวที่ไหนบ้าง จะแชร์ค่าเหมารถกันดีไหม ซึ่งคนขับรถให้ข้อมูลว่า ถ้าเหมารถจะตกอยู่ประมาณ 1,000 บาทสำหรับครึ่งวัน (ไปน้ำตกกวางสี) แต่ด้วยความที่ผมไปคนเดียวและไม่ค่อยอยากยุ่งกับใคร จึงไม่ได้พูดตอบอะไร นั่งฟังเฉย ๆ ครับ
ผมพักที่โรงแรมสายน้ำคาน ริเวอร์วิว ราคาราว ๆ คืนละ 4-500 บาท ไม่มีอาหารเช้า (ปกติผมไม่กินข้าวเช้า) พอมาถึงโรงแรมเช็คอินเสร็จ จนท.ก็ถามเลยว่า พรุ่งนี้พี่ไปเที่ยวไหน ก็บอกเขาไปว่า "ยังไม่รู้เลย" เขาจึงแนะนำว่าไปน้ำตกไหม ถ้าเหมารถไป 1,000 บาท แต่ถ้าไปคนเดียว (รวมกับนักท่องเที่ยวคนอื่น) ราคา 50,000 กีบ ออกเก้าโมง กลับมาราว ๆ เที่ยว ผมตอบตกลงและจ่ายเงินทันที เพราะราคานี้ ผมโอเค...โรงแรมนี้ห้องดีทีเดียว จนท.ก็อัธยาศัยดี ฝนยังตกอยู่ ผมเกิดอยากกินกาแฟพร้อมกับนั่งทำงานรอฝนหยุด จึงลงมาข้างล่างถามจนท.ว่ามีกาแฟขายไหม เขาบอกว่าไม่มีขาย แต่มีให้กินฟรี ...โห ขอบใจหลาย
นั่งทำงานรอฝนหยุด
ค่ำๆฝนซา ผมออกไปหาอะไรกิน เดินจากโรงแรม 50 เมตรก็ถึงถนนหลักที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร บริษัททัวร์ และตลาดมืดแล้ว เท่าที่เดินดูอาหาร ราคาก็ใช้ได้สำหรับเมืองท่องเที่ยว มีหลากหลายประเภท ทั้งอาหารลาว อาหารฝรั่ง ผมยังไม่ได้เลือกขอเดินดูก่อน เพราะจริง ๆ ด้วยความเป็นพวก intervert จึงชอบซื้อของกลับไปกินที่ห้องหรือที่บ้านตัวเองมากกว่า...เดินไปหน่อย เห็นว่ามีร้านของแซนวิชหลายเจ้า ราคาอันละ 10,000 กีบ (38 บาท) แค่นั้นเอง ปกติผมไม่กินแซนวิช เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่อาหาร (ฮ่าๆๆ) แต่ก็ขอลองสักหน่อย ให้สมกับมาเมืองอาณานิคมของฝรั่งเศล สั่งใส้ทูนา + ชีชไป เขา เขาคิด 15,000 กีบ โอเคครับ ... เอ๊ะ อร่อยดีแหะ ฮ่าๆ ข้างๆ. ร้านแซนวิชนั้น มีร้านขายกับข้าวถุง เห็นคนลาวหลายคนยืนเลือกอยู่ ก็เลยเข้าไปดู ถามว่า อันนี้อะไร เขาบอกว่า มีซ่า (ลักษะเหมือนน้ำตก ซึ่งทางภาคเหนือก็เรียกอาหารประเภทนี้ว่าซ่าเหมือนกัน) มีสามชั้นแดดเดียว (อร่อยมาก) มีเนื้อแดดเดียว มีหมูปั้น (อารมลาบทอดตามร้านเหล้า) ที่ผมว่า ผมซื้อมาหมด รวมๆกัน 13,000 กีบ ... อร่อยดีทุกอย่างเลยครับ ฮ่าๆ
ราคาไส้แซนวิช
ขนมปังดูแข็ง ๆ แต่อร่อยดีครับ
หมูปั้น กับสามชั้นแดดเดียว
วันรุ่งขึ้น วันนี้ลุกขึ้นมาปั่นงานแต่เช้า ปั่นไปได้สักหน่อยจึงเดินออกไปสำรวจ (ปกติ คนไปหลวงพระบางชอบตื่นเช้าไปตักบาตรเข้าเหนียว) ผมเดินสำรวจโดยเลาะไปตามแม่น้ำคานไปทะลุแม่น้ำโขง เห็นว่าริมโขงมีร้านอาหารเยอะเลย แต่จะเปิดขายช่วงค่ำ ๆ ถ้ามาช่วงนั้นบรรยากาศริมโขงจะดีมากเลยครับ เดินอยู่สักพักจึงกลับมาโรงแรมและเตรียมตัวไปเที่ยวน้ำตก ซึ่งแน่นอน ผมแค่อยากจะไปดูและถ่ายรูปเท่านั้นเอง แต่หลาย ๆคนตัวจะไปเล่นน้ำด้วยครับ ซึ่งก็มีคนเล่นน้ำเยอะเหมือนกัน แต่แหม ไปคนเดียว จะให้ไปเล่นน้ำมันก็กะไรอยู่
ถึงเวลานัด ลงมาข้างล่าง คนขับรอมารออยู่แล้ว ผมจึงถามแกว่า วันนี้มีไปด้วยกันกี่คนครับ เขาบอกว่า 18 คน (คิดในใจ รถมินิบัสเหรอ?) โอเค เดินไปขึ้นรถ ตายระหว่าง รถตู้ 12 ที่นั่ง แล้วที่พี่บอก 18 คนเมื่อกี้คืออะไร เห้อ สงสัยจะเบียดเบียนๆกันไป แต่เอาเหอะ แค่ 30 โล ชิว ๆ บนรถได้เจอพี่คนไทยสองคน ถามไถพูดคุยกันตามประสาครับ จากนั้น รถออกตะเวรรับคนจากโรงแรมต่างๆ คนเต็มรถพอดี นับได้ 12 คน เขาไปจอดรอคนอีกกลุ่มซึ่งจะมาสมทบอีก 6 คน (อันนี้คนขับรถบอก) รออยู่สักพักมีโทรศัพท์เข้ามา เขาพูดอะไรไม่รู้ก็ออกรถไป คิดในใจ สงสัยจะไปกันแค่นี้แหละ ซึ่งก็ไปกันแค่นี้แหละครับ ดีจริง ๆ
ใช้เวลาแป็บเดียวก็ไปถึงน้ำตก ราว ๆ 10 โมง คนขับรถบอกว่า ขากลับเจอกัน เที่ยงครึ่ง ... เราต้องจ่ายค่าเข้าเพิ่มอีกคนละ 20,000 กีบครับ คนขับรถเขาจะถามเก็บจากเราเลย เข้าไปข้างในก่อนถึงน้ำตกมีหมีให้ดู เดินไปอีกหน่อยก็เป็นน้ำตกคับ มันตกกวงสี สวยมาก น้ำเขียวใส เดินขึ้นไปจะได้เห็นน้ำตกชั้นต่าง ๆ ถ่ายรู้กันเพลินเลย อย่างที่บอก ผมคงไม่เล่นน้ำ จึงเดินขึ้นไปตามทางและบันไดที่มีอยู่ ขึ้นไปเรื่อย ๆครับ ปรากฎว่า มันเป็นทางขึ้นไปถึงข้างบนที่เป็นเหมือนแอ่งน้ำก่อนที่จะตกลงมาเป็นน้ำตก (ไม่ใช่ต้นน้ำนะครับ ต้นน้ำคงต้องเข้าไปในป่าอีก) เดินขึ้นไปไม่ยากแต่สูงชะมัดเลย แต่ก็เดินไปเรื่อย ๆ เส้นทางมันจะเป็นวงกลม เราเดินไปจะกลับมาที่เดิมครับ ข้างบนสวยมาก ใครไม่เล่นน้ำ ก็เดินขึ้นไปดูครับ
ผมเดินเสร็จ ลงมานั่งรถสมาชิกที่ร้านกาแฟแถวนั้น ซึ่งมีของฝากของกินหลายอย่างขายไม่ต้องกลัวอดเลยครับ กาแฟอาเมริกาโน แก้วละ 10,000 กีบ รสชาติดีที่เดียว ถึงเวลาก็กลับครับ กลับมาถึงโรงแรม ขึ้นไปพักหน่อย และหยิบของจะไปหาร้านกาแฟนั่งทำงาน เดินเลยจากโรงแรมไปมีร้านกาแฟน่านั่งบรรยากาศดี บริการดี คือ ร้าน JOMA เข้าใจว่ามีหลายสาขานะครับ สั่งกาแฟไป นั่งทำงาน กะว่ารอแดดร่มลมตก ค่อยเดินสำรวจตอนเย็นครับอีกทีครับ

วิวจากร้านกาแฟ
นั่งทำงานไปสักพักใหญ่ ๆ จึงเดินออกมาหาอะไรกิน และเดินไปเจอร้านส้มตำครับ จริง ๆ ที่เชียงใหม่ก็มีร้านส้มตำหลวงพระบางนะครับ จึงอยากรู้ว่าที่หลวงพระบางจะเป็นยังไง สั่งส้มตำไป ลาบไก่ และไข่เจียว ฮ่าๆ กินคนเดียวหมดนี่แหละครับ ได้พูดคุยกับแม่ค้าสนุกดี เล่าสู่กันฟังว่าอาหารไทยเป็นยังไง อาหารลาวเป็นยังไง ทานเสร็จเดินไปนิดเดียวก็ถึงวัดเชียงทอง ซึ่งถือว่า เป็นวัดไฮไลค์ที่ทุกคนต้องไปชม หารายละเอียดอ่านกันเองก็แล้วกันเนอะ เสียค่าเข้า 20,000 กีบ สวยมากจริง ๆ โดยเฉพาะงานสถาปัตยกรรมล้านช้า และการติดกระจกประดับเป็นเรื่องราววิถีชีวิตของชาวหลวงพระบาง

ต่อตอน 2 นะครับ...
[CR] เที่ยวหลวงพระบาง เดียนเบียน ซาปา ฮานอย (สำหรับคนประเภท Introvert และไม่ใช่สายลุย)
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่ผมเขียน ดีไม่ดีอย่างไรขออภัยด้วยนะครับ และหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจบ้าง
ก่อนอื่น ของพูดถึงลักษณะเฉพาะของตัวเองก่อนนะครับ ผู้อ่านจะได้เข้าใจว่าทำไมการเที่ยวแบบคนอย่างผมถึงออกมาเป็นแบบนี้
ว่าด้วยเรื่องการท่องเที่ยว ผมชอบไปเที่ยวครับ และอยากจะมีเพื่อนไป แต่ถึงเวลาไปเที่ยวทีไร ต้องไปคนเดียวเกือบจะทุกที เพราะส่วนหนึ่ง ผมเป็นคนขี้รำคานและงานเยอะ ถ้าอยากไปเที่ยวต้องตัดสินใจเลยแล้วค่อยจัดการกับงานและเวลาทีหลัง และ90% ของการไปเที่ยว ต้องเอางานไปทำด้วย ผมอาจจะโชคดีหน่อยที่งานเป็นงานเอกสาร/งานวิชาการ และต้องใช้ความคิดในการเขียน ในอีกแง่มุมหนึ่ง ผมเป็นพวก Introvert คือ ชอบเก็บตัว มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก ทำอะไรคนเดียว ไม่ชอบอยู่ในสายตาหรือความสนใจคนอื่น ไม่ชอบสนุก ไม่ชอบปาตี้ รู้สึกอึดอัดถ้าต้องเจอกับคนเยอะๆ แต่ก็พูดคุยกับคนหน้าใหม่ ๆ ได้นะครับ
สำหรับการท่องเที่ยว หลาย ๆ คนต้องการได้พบเพื่อนใหม่ ประสบการณ์ใหม่ ได้รู้จักโลกกว้าง การมาเที่ยวของผมก็ได้เรื่องพวกนี้บ้างครับ แต่หลักๆแล้วการมาเที่ยวของผมมีวัตถุประสงค์ 2 อย่างคือ เรียนรู้ผู้อื่นและเรียนรู้ตัวเอง การมาเที่ยวทำให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ในขณะเที่ยวกันก็ทำให้เรารู้จักตัวเองมาขึ้นเช่นกัน ผมได้เรียนรู้ว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร คิดอย่างไร และจัดการอย่างไรในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างไร หลายๆที่ที่ไป มีสถานการณ์ วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต ที่แตกต่างกันออกไป ผมว่าประการณ์นี้ช่วยพัฒนาความเข้าใจตัวเองได้ดีกว่าการอยู่เฉย ๆ หรือไม่ออกไปไหนเลย
เนื่องจากผมไม่ใช่คนลุย การท่องเที่ยวจึงมีการวางแผนไว้พาสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนการเดินทางและที่พัก ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวหรือจุดสนใจต่าง ๆ จะไปหาหรือ search ข้อมูลเอาข้างหน้าครับ
ผมไปเที่ยวมาหลายที และไม่เคยได้เขียนถึงเลย เพราะอย่างที่บอก ว่าการเที่ยวของผมคือได้เรียนรู้คนอื่นและได้เรียนรู้ตัวเอง ส่วนคนอื่นจะได้เรียนรู้จากเราหรือไม่นั้นไม่เคยได้คิดถึง ซึ่งแบบนี้คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ที่ตัดสินใจเขียนคราวนี้ เพราะด้วยเหตุผลง่าย ๆ คือ ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับการเที่ยวเส้นทางนี้ไม่ค่อยมี หรือมีก็ไม่อัพเดด หรือที่อัพเดดที่สุดแล้วแต่พอได้มาเห็นของจริง อ้าว มันเปลี่ยนไปแล้วนี่นา จึงอยากจะมาอัพเดดไว้เผื่อคนที่สนใจ และเผื่อว่าวันนึงตัวเองจะได้กลับมาอ่านสิ่งที่ได้บันทึกนี้ไว้ด้วยครับ
ทริบนี้ เป็นทริบที่ไม่ไกลจากบ้านเรานัก ผมวางแผนการเดือนทางอย่างคร่าว ๆ ล่วงหน้าราย ๆ 3 เดือน แผนที่ว่าคือการจองตั๋วเครื่องบินครับ ส่วนเรื่องที่พักและการเดินทางระหว่างเมือง ผมมีเวลามาจัดการมันสัก 1-2 อาทิตย์ก่อนเดินทาง ซึ่งสำหรับบางคนอาจะใช้เวลาน้อยกว่านี้ แต่เผอิญผมไม่ใช่สายลุยก็เลยอาจต้องใช้เวลาพิจารณานานหน่อยว่าจะเลือกที่ไหนดี
สำหรับเส้นทางที่ผมเลือกเดินทางคราวนี้คือ
บินจากเชียงใหม่ (ผมอยู่เชียงใหม่) ไปกรุงเทพ
-> บินจากกรุงเทพไปหลวงพระบาง
-> นั่งรถ mini bus จากหลวงพระบางไปเมืองเดียนเบียน ประเทศเวียดนาม
-> แล้วนั่งรถ mini bus จากเดียนเบียนไปเมืองซาปา
-> แล้วนั่งรถ VIP Bus จากซาปาไป ฮานอย
-> แล้วบินจากฮานอยกลับกรุงเทพ
จริงๆสิ่งที่สนใจในเส้นทางนี้ ก็คือ อยากจะไปดูให้เห็นวัฒนธรรมที่ถือว่าเป็นรากเง่าของเรา คนลาวชัดเจนว่าเป็นพวกเดียวกันกับเราเพราะเราใช้ภาษาเดียวกัน มีวิถีชีวิตการอยู่การกินและความเชื่อเหมือนกัน จะต่างกันก็แค่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ส่วนเดียนเบียนนั้น เป็นถิ่นฐานเดิมของคนไท (ไทดำ ไทขาว) และในตำนานเกี่ยวการกำเนิดคนไท เมืองเดียนเบียน หรือ สิบสองจุไท รวมไปถึงพื้นที่ทางเหนือของเวียนนามก็มีถือเป็นแหล่งกำเนิดของคนไทเช่นกัน ทานไหนสนใจหาอ่านงานของอ.สุจิตต์ วงษ์เทศ และงานเขียนเชิงประวัติศาสตร์โบราณคดีของนักวิชาการหลาย ๆ ท่านได้ครับ ซึ่งทริบนี้ผมเองก็หวังว่าจะได้เห็นและเรียนรู้อะไรเหล่านี้บางไม่มากก็น้อย
การเที่ยวคราวนี้ ผมเริ่มจากการจองตั๋วเครื่องบินโปรโมชั่นของสายการบินหางแดง จากกทม.ไปหลวงพระบาง และจากฮานอยกลับมากทม. ได้ราคาที่น่าพอใจคือ ไม่ถึงสามพันบาท จากนั้น ผมจึงเริ่มรีวิว ว่าการเดินทางระหว่างเมืองนั้น เขาไปกันอย่างไร ซึ่งเท่าที่รีวิวดูจากหลายๆที ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาเรื่องการเดินทางอยู่พอสมควร ซึ่งผมก็ได้ทำใจไว้แล้วบ้างครับ
4 มิ.ย. ผมเดินทางจาก กทม.ไปหลวงพระบาง
สำหรับที่หลวงพระบาง ผมวางแผนว่าจะอยู่ที่นั่น 3 คืนครับ
ผมบินจากกทม. เครื่องออกราว ๆ เกือบบ่ายสาม และไปถึงราว ๆ บ่ายสี่โมงเย็น เมื่อไปถึงและผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว เมื่อเดินออกมาจะพบเค้าเตอร์ Taxi บอกชื่อโรงแรมเขาและจ่ายค่ารถคนละ 50,000 กีบ (192 บาท) ราคานี้โอเค เพราะรถดี ทั้งนี้ผมสอบถามไปทางโรงแรมแล้วว่าถ้ามีรถมารับโรมแรมคิดราคาเท่าไหร่ คำตอบคือ 300 บาท (รถโรงแรมก็ต้องแพงกว่าอยู่แล้วเนอะ) พ่อได้ตั๋วผมก็ไปรอที่รถ รอไม่เกิน 10 นาที คนเต็ม ( 4-5 คน) รถก็ออกครับ ราว ๆ 15 นาที ก็ถึงโรงแรมแล้ว ระหว่างทางคนขับบอกว่า ฝนไม่ตกมาหลายวัน ฝนพึ่งจะตกวันนี้เอง ฮ่าๆ โชคดีชะมัด ระหว่างอยู่บนรถนั้น มีการพูดคุยกันของผู้โดยสารคนไทย ว่า ใครมีแผนไปเที่ยวที่ไหนบ้าง จะแชร์ค่าเหมารถกันดีไหม ซึ่งคนขับรถให้ข้อมูลว่า ถ้าเหมารถจะตกอยู่ประมาณ 1,000 บาทสำหรับครึ่งวัน (ไปน้ำตกกวางสี) แต่ด้วยความที่ผมไปคนเดียวและไม่ค่อยอยากยุ่งกับใคร จึงไม่ได้พูดตอบอะไร นั่งฟังเฉย ๆ ครับ
ผมพักที่โรงแรมสายน้ำคาน ริเวอร์วิว ราคาราว ๆ คืนละ 4-500 บาท ไม่มีอาหารเช้า (ปกติผมไม่กินข้าวเช้า) พอมาถึงโรงแรมเช็คอินเสร็จ จนท.ก็ถามเลยว่า พรุ่งนี้พี่ไปเที่ยวไหน ก็บอกเขาไปว่า "ยังไม่รู้เลย" เขาจึงแนะนำว่าไปน้ำตกไหม ถ้าเหมารถไป 1,000 บาท แต่ถ้าไปคนเดียว (รวมกับนักท่องเที่ยวคนอื่น) ราคา 50,000 กีบ ออกเก้าโมง กลับมาราว ๆ เที่ยว ผมตอบตกลงและจ่ายเงินทันที เพราะราคานี้ ผมโอเค...โรงแรมนี้ห้องดีทีเดียว จนท.ก็อัธยาศัยดี ฝนยังตกอยู่ ผมเกิดอยากกินกาแฟพร้อมกับนั่งทำงานรอฝนหยุด จึงลงมาข้างล่างถามจนท.ว่ามีกาแฟขายไหม เขาบอกว่าไม่มีขาย แต่มีให้กินฟรี ...โห ขอบใจหลาย
ค่ำๆฝนซา ผมออกไปหาอะไรกิน เดินจากโรงแรม 50 เมตรก็ถึงถนนหลักที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร บริษัททัวร์ และตลาดมืดแล้ว เท่าที่เดินดูอาหาร ราคาก็ใช้ได้สำหรับเมืองท่องเที่ยว มีหลากหลายประเภท ทั้งอาหารลาว อาหารฝรั่ง ผมยังไม่ได้เลือกขอเดินดูก่อน เพราะจริง ๆ ด้วยความเป็นพวก intervert จึงชอบซื้อของกลับไปกินที่ห้องหรือที่บ้านตัวเองมากกว่า...เดินไปหน่อย เห็นว่ามีร้านของแซนวิชหลายเจ้า ราคาอันละ 10,000 กีบ (38 บาท) แค่นั้นเอง ปกติผมไม่กินแซนวิช เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่อาหาร (ฮ่าๆๆ) แต่ก็ขอลองสักหน่อย ให้สมกับมาเมืองอาณานิคมของฝรั่งเศล สั่งใส้ทูนา + ชีชไป เขา เขาคิด 15,000 กีบ โอเคครับ ... เอ๊ะ อร่อยดีแหะ ฮ่าๆ ข้างๆ. ร้านแซนวิชนั้น มีร้านขายกับข้าวถุง เห็นคนลาวหลายคนยืนเลือกอยู่ ก็เลยเข้าไปดู ถามว่า อันนี้อะไร เขาบอกว่า มีซ่า (ลักษะเหมือนน้ำตก ซึ่งทางภาคเหนือก็เรียกอาหารประเภทนี้ว่าซ่าเหมือนกัน) มีสามชั้นแดดเดียว (อร่อยมาก) มีเนื้อแดดเดียว มีหมูปั้น (อารมลาบทอดตามร้านเหล้า) ที่ผมว่า ผมซื้อมาหมด รวมๆกัน 13,000 กีบ ... อร่อยดีทุกอย่างเลยครับ ฮ่าๆ
วันรุ่งขึ้น วันนี้ลุกขึ้นมาปั่นงานแต่เช้า ปั่นไปได้สักหน่อยจึงเดินออกไปสำรวจ (ปกติ คนไปหลวงพระบางชอบตื่นเช้าไปตักบาตรเข้าเหนียว) ผมเดินสำรวจโดยเลาะไปตามแม่น้ำคานไปทะลุแม่น้ำโขง เห็นว่าริมโขงมีร้านอาหารเยอะเลย แต่จะเปิดขายช่วงค่ำ ๆ ถ้ามาช่วงนั้นบรรยากาศริมโขงจะดีมากเลยครับ เดินอยู่สักพักจึงกลับมาโรงแรมและเตรียมตัวไปเที่ยวน้ำตก ซึ่งแน่นอน ผมแค่อยากจะไปดูและถ่ายรูปเท่านั้นเอง แต่หลาย ๆคนตัวจะไปเล่นน้ำด้วยครับ ซึ่งก็มีคนเล่นน้ำเยอะเหมือนกัน แต่แหม ไปคนเดียว จะให้ไปเล่นน้ำมันก็กะไรอยู่
ถึงเวลานัด ลงมาข้างล่าง คนขับรอมารออยู่แล้ว ผมจึงถามแกว่า วันนี้มีไปด้วยกันกี่คนครับ เขาบอกว่า 18 คน (คิดในใจ รถมินิบัสเหรอ?) โอเค เดินไปขึ้นรถ ตายระหว่าง รถตู้ 12 ที่นั่ง แล้วที่พี่บอก 18 คนเมื่อกี้คืออะไร เห้อ สงสัยจะเบียดเบียนๆกันไป แต่เอาเหอะ แค่ 30 โล ชิว ๆ บนรถได้เจอพี่คนไทยสองคน ถามไถพูดคุยกันตามประสาครับ จากนั้น รถออกตะเวรรับคนจากโรงแรมต่างๆ คนเต็มรถพอดี นับได้ 12 คน เขาไปจอดรอคนอีกกลุ่มซึ่งจะมาสมทบอีก 6 คน (อันนี้คนขับรถบอก) รออยู่สักพักมีโทรศัพท์เข้ามา เขาพูดอะไรไม่รู้ก็ออกรถไป คิดในใจ สงสัยจะไปกันแค่นี้แหละ ซึ่งก็ไปกันแค่นี้แหละครับ ดีจริง ๆ
ใช้เวลาแป็บเดียวก็ไปถึงน้ำตก ราว ๆ 10 โมง คนขับรถบอกว่า ขากลับเจอกัน เที่ยงครึ่ง ... เราต้องจ่ายค่าเข้าเพิ่มอีกคนละ 20,000 กีบครับ คนขับรถเขาจะถามเก็บจากเราเลย เข้าไปข้างในก่อนถึงน้ำตกมีหมีให้ดู เดินไปอีกหน่อยก็เป็นน้ำตกคับ มันตกกวงสี สวยมาก น้ำเขียวใส เดินขึ้นไปจะได้เห็นน้ำตกชั้นต่าง ๆ ถ่ายรู้กันเพลินเลย อย่างที่บอก ผมคงไม่เล่นน้ำ จึงเดินขึ้นไปตามทางและบันไดที่มีอยู่ ขึ้นไปเรื่อย ๆครับ ปรากฎว่า มันเป็นทางขึ้นไปถึงข้างบนที่เป็นเหมือนแอ่งน้ำก่อนที่จะตกลงมาเป็นน้ำตก (ไม่ใช่ต้นน้ำนะครับ ต้นน้ำคงต้องเข้าไปในป่าอีก) เดินขึ้นไปไม่ยากแต่สูงชะมัดเลย แต่ก็เดินไปเรื่อย ๆ เส้นทางมันจะเป็นวงกลม เราเดินไปจะกลับมาที่เดิมครับ ข้างบนสวยมาก ใครไม่เล่นน้ำ ก็เดินขึ้นไปดูครับ
ผมเดินเสร็จ ลงมานั่งรถสมาชิกที่ร้านกาแฟแถวนั้น ซึ่งมีของฝากของกินหลายอย่างขายไม่ต้องกลัวอดเลยครับ กาแฟอาเมริกาโน แก้วละ 10,000 กีบ รสชาติดีที่เดียว ถึงเวลาก็กลับครับ กลับมาถึงโรงแรม ขึ้นไปพักหน่อย และหยิบของจะไปหาร้านกาแฟนั่งทำงาน เดินเลยจากโรงแรมไปมีร้านกาแฟน่านั่งบรรยากาศดี บริการดี คือ ร้าน JOMA เข้าใจว่ามีหลายสาขานะครับ สั่งกาแฟไป นั่งทำงาน กะว่ารอแดดร่มลมตก ค่อยเดินสำรวจตอนเย็นครับอีกทีครับ
นั่งทำงานไปสักพักใหญ่ ๆ จึงเดินออกมาหาอะไรกิน และเดินไปเจอร้านส้มตำครับ จริง ๆ ที่เชียงใหม่ก็มีร้านส้มตำหลวงพระบางนะครับ จึงอยากรู้ว่าที่หลวงพระบางจะเป็นยังไง สั่งส้มตำไป ลาบไก่ และไข่เจียว ฮ่าๆ กินคนเดียวหมดนี่แหละครับ ได้พูดคุยกับแม่ค้าสนุกดี เล่าสู่กันฟังว่าอาหารไทยเป็นยังไง อาหารลาวเป็นยังไง ทานเสร็จเดินไปนิดเดียวก็ถึงวัดเชียงทอง ซึ่งถือว่า เป็นวัดไฮไลค์ที่ทุกคนต้องไปชม หารายละเอียดอ่านกันเองก็แล้วกันเนอะ เสียค่าเข้า 20,000 กีบ สวยมากจริง ๆ โดยเฉพาะงานสถาปัตยกรรมล้านช้า และการติดกระจกประดับเป็นเรื่องราววิถีชีวิตของชาวหลวงพระบาง
ต่อตอน 2 นะครับ...
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น