สวัสดีครับ
มีโอกาสได้ฟังสัมมนา Money Talk@SET วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2561
ในหัวข้อ
"ทำไมวิกฤตถึงจะมา? และหากวิกฤตมาต้องทำไง?"
จขกท เห็นว่ามีประโยชน์ เลยขอสรุปให้เพื่อนๆ ชาวพันทิปได้อ่านกันครับ
รับชมย้อนหลังได้ที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เข้าใจวงจรเศรษฐกิจ โดย ดร. สมจินตร์ ศรไพศาล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1.จะเข้าใจการเกิดวิกฤต เราต้องรู้ว่าเราอยู่ตรงไหนของวงจรทางเศรษฐกิจ ผ่านการเปลี่ยนแปลงของ 3 ปัจจัย ได้แก่
-การเติบโตทางเศรษฐกิจ
-การเปลี่ยนแปลงของ “เงินเฟ้อ”
-การเปลี่ยนแปลงของ “อัตราดอกเบี้ย”
2. มองภาพวงจรทางเศรษฐกิจตามนาฬิกาแขวน กำหนดให้
-ที่ 12 นาฬิกา : “เงินเฟ้อต่ำ”
-ที่ 3 นาฬิกา : “เศรษฐกิจขยายตัว”
-ที่ 6 นาฬิกา : “เงินเฟ้อสูง”
-ที่ 9 นาฬิกา : “เศรษฐกิจหดตัว”
3.เมื่อเราเริ่มจาก 12 นาฬิกา ซึ่งเป็นจุดที่เศรษฐกิจไม่ดี การผลิต การบริโภคต่ำ แม่ว่าธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วก็ตาม
4. เมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินเรื่อยมาจาก 12 นาฬิกา จนถึง 3 นาฬิกา สินทรัพย์ที่เริ่มปรับตัวขึ้นคือ “หุ้น” ในช่วงนี้หลายคนจะแปลกใจเพราะทั้งๆที่บรรยากาศทางเศรษฐกิจไม่ดี แต่หุ้นกลับขึ้นซึ่งค้านกับความรู้สึกของหลายคน ที่หุ้นขึ้นมาได้เพราะปัจจัยมหภาคต่างๆ เริ่มสนับสนุนการเติบโตของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน เช่น ภาวะดอกเบี้ยที่ต่ำ ทำให้บริษัทมีต้นทุนในกู้ยืมเพื่อทำธุรกิจต่ำลงมาก นักลงทุนจึง “คาดว่า” ในอนาคต ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะปรับตัวดีขึ้น ดังนั้นหุ้นจึงเป็นดัชนี “ชี้นำ” ทางเศรษฐกิจหมายความว่า หุ้นขึ้นก่อนแล้วเศรษฐกิจถึงค่อยดีตามหลังในช่วงเวลานี้
5. จาก 3 นาฬิกา ไปจนถึง 6 นาฬิกา การผลิต การบริโภคขยายตัว เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง เงินเฟ้อเริ่มกลับมา ในช่วงนี้เอาธนาคารกลางก็อาจจะเริ่มส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเพื่อชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ
6.จาก 6 นาฬิกา ไปจนถึง 9 นาฬิกา เป็นช่วงนี้เงินเฟ้อสูงหรือเร่งตัว เศรษฐกิจยังคงขยายตัวต่อแต่การขยายตัวทำได้ไม่มากแล้วเนื่องจาก ข้าวของแพง ในช่วงนี้ ทรัพย์สินต่างๆ ทั้ง หุ้น พันธบัตร สินทรัพย์ทางเลือก จะผันผวนอย่างมาก เนื่องจากเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง
7. จาก 9 นาฬิกา ไปจนถึง 12 นาฬิกา เป็นช่วงที่เศรษฐกิจหดตัว ธนาคารกลางเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในช่วงนี้ สินทรัพย์ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ “ตราสารหนี้” เพราะอัตราดอกเบี้ยในตลาดเริ่มปรับตัวลดลงทำให้มูลค่าตราสารหนี้ (ซึ่งผกผันกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย) ปรับตัวสูงขึ้น
8.แล้ววิกฤตจะมาตอนไหน?
ยกตัวอย่างวิกฤตปี 2008 ของอเมริกา
-ก่อนปี 2008 ธนาคารกลางสหรัฐกดดอกเบี้ยให้ต่ำใกล้ 0% เป็นเวลานานหลายปี
-ทำให้ราคาสินทรัพย์โดยเฉพาะอสังหาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
-พบว่าในช่วงปี 2007 - 2008 เกิดการกู้เพื่อมาเก็งกำไรในตลาดอสังหามากขึ้น
-สิ่งที่ซ้ำเติมสถานการณ์ คือ การประดิษฐ์ตราสารที่ซับซ้อนและทำให้การกู้เงินมาเก็งกำไรในตลาดอสังหากลับทำได้ง่ายดาย
ทำนองเดียวกับวิกฤต 1997 ของไทย
-ตลาดหุ้นในตอนนั้นในช่วงปี 1994 ค่า P/E ที่วัดความถูกความแพงของตลาดหุ้นที่จุดสูงสุดคิดเป็นประมาณ 33 เท่า
-เมื่อลองกลับเศษส่วนเป็น E/P เพื่อวัดว่านักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนประมาณเท่าไหร่จากตลาดหุ้น คิดเป็นประมาณ 3%
-ในขณะที่ผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลคิดเป็นประมาณ 7-8%
-ความหมายคือมันไม่สมเหตุสมผลมากๆ เพราะว่าพันธบัตรรัฐบาลซึ่งไม่มีความเสี่ยงได้ 8% แต่ตลาดหุ้นซึ่งเสี่ยงกว่าได้ผลตอบแทนแค่ 3%
-สิ่งที่ซ้ำเติมสถานการณ์ คือ การลอยตัวค่าเงินบาท ซึ่งเป็นตัวจุดชนวนวิกฤต

วิกฤตจะมากับเลข 7 ? โดย คุณ มนตรี ศรไพศาล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1.ข้อมูลย้อนหลังของตลาดหุ้นไทย
ปี 1987 เราเจอ Black Monday หุ้นไทยลงเกือบ 50% จากจุดสูงสุด
ปี 1997 เราเจอวิกฤตต้มยำกุ้ง หุ้นไทยลงเกือบ 80% จากจุดสูงสุด
ปี 2007 เราเจอวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ หุ้นไทยลงเกือบ 50% จากจุดสูงสุด
2.เมื่อขยายความตอนเราเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ในตอนนั้นเรากู้เงินเกินตัว ธนาคารปล่อยกู้อสังหาง่ายดาย คนกู้มาจองคอนโดเป็นสิบๆ ห้อง หุ้นก็เหมือนกันคนกู้มาลงทุนหรือที่เรียกว่าใช้มาจิ้นคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งตลาดหุ้นในขณะนั้นมีขนาดประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่มีคนใช้มาจิ้นประมาณ 7 หมื่นล้านบาท แต่ในปัจจุบันปี 2018 ตลาดหุ้นมีขนาดประมาณ 17 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าเดิมประมาณ 5 เท่า แปลว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน เม็ดเงินที่กู้มาลงทุนน้อยลงกว่าเดิม และตลาดก็ใหญ่กว่าเดิมมาก
3. ลองเทียบตัวเลขใน 2 ช่วงเวลา
-- ปี 1997
เงินทุนสำรอง 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขนาดของตลาดหุ้น 3.5 ล้านล้านบาท
คนใช้มาจิ้นมาลงทุน 1.2 แสนล้านบาท
หนี้สิ้นต่อทุนของบริษัทจดทะเบียน 2 - 3 เท่า
ดอกเบี้ยเงินกู้ในบริษัท 12-13%
--- ปี 2018
เงินทุนสำรอง 210,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขนาดของตลาดหุ้น 17 ล้านล้านบาท
คนใช้มาจิ้นมาลงทุน 7 หมื่นล้านบาท
หนี้สิ้นต่อทุนของบริษัทจดทะเบียน 1.2-1.3 เท่า
ดอกเบี้ยเงินกู้ในบริษัท 5-6%
4.ความหมายก็คือบริษัทจดทะเบียนในปี 2018 แข็งแกร่งกว่าในปี 1997 มาก หนี้ไม่เยอะ ดอกเบี้ยเงินกู้ก็ไม่แพงเท่าแต่ก่อน ธนาคารกลางมีเงินทุนสำรองเยอะ คนกู้มาลงทุนน้อยกว่าเดิม วิกฤตจึงไม่น่าจะมา หรือถ้ามาก็ไม่ได้มาจากประเทศเรา

ละตินอเมริกาเริ่มส่งสัญญาณ โดย คุณ ปริญญ์ พานิชภักดิ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1.ทุกๆ ครั้งที่วิกฤตมาเราจะคาดไม่ถึง ดังนั้น มันจึงไม่มี check-list ว่าพอมีปัจจัยพวกนี้แล้ววิกฤตจะมา จุดเริ่มเห็นสัญญาณมาจากละตินอเมริกา เริ่มจากเวเนซุเอลา ก็เริ่มลามมาที่อาร์เจนตินา และบราซิล
2.ปี 2018 สิ่งที่เป็นอยู่คือ เศรษฐกิจโลกแตกแยกรุนแรง เกิดความขัดแย้ง แต่ละประเทศดำเนินนโยบายเพื่อประโยชน์ของประเทศตนเองก่อน
3.การแก้ปัญหาวิกฤตรอบที่ผ่านมาก็เหมือนไม่ได้แก้ปัญหาจริงๆ อเมริกาแก้ปัญหาวิกฤต ปี 2008 ต่างจากที่เราแก้ปัญหาวิกฤตปี 1997 โดยสิ้นเชิง ในปี 1997 เราโดน IMF บอกให้รัดเข็มขัด สั่งปิดสถาบันการเงิน แต่ในปี 2008 อเมริกากลับพิมพ์เงินออกมามหาศาล ซึ่งไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาจริงๆ และก็ควบคุมไม่ได้ด้วยว่าเงินจะไปที่ไหน เงินก็วิ่งที่ไปตราสารทางการเงินต่างๆ จนเกิดภาวะฟองสบู่ ที่น่าตกใจคือผ่านมา 10 ปี ในปี 2018 หนี้ครัวเรือนของอเมริกาก็ยังสูง ทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่คนอเมริกันใช้จ่าย 90% มาจากหนี้ ที่แย่ไปกว่านั้นคือ หนี้ภาครัฐก็สูง เกิด Government Shutdown เป็นว่าเล่น อเมริกาเค้าคิดว่ามีหนี้ท่วมหัวแล้ว เค้าเอาตัวรอดได้

Irrational Exuberance โดย อ. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1.โดยปกติแล้วการคาดการณ์วิกฤตในสมัยก่อนๆ จะเกิดเมื่อ
1) ราคาหุ้นแพงมากๆ
2) ฐานะทางการเงิน/การคลังของประเทศไม่ดี เรียกว่าปัจจัยพื้นฐานไม่ดี
2. แต่มีอีกทฤษฎีของ Robert Shiller บอกไว้ว่าวิกฤตจะเกิดเมื่อ
1) ราคาหุ้นแพงมากๆ
2) พื้นฐานไม่เกี่ยว แต่เกิดจาก Irrational Exuberance หรือ “ความตื่นตูมอยากไม่มีเหตุผล”
3.ยกตัวอย่างเช่น เวลาหุ้นปรับตัวขึ้นแล้วอยู่ในโซนที่แพงกว่าพื้นฐานมากแล้ว นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนกลับพบว่ายิ่งซื้อหุ้นก็ยิ่งขึ้น เกิดเป็นวงจร feedback ไปเรื่อยๆ คล้ายๆ แชร์ลูกโซ่ และพอมาถึงจุดๆ หนึ่งที่มีคนเริ่มขายออกมา นักลงทุนก็เกินการตื่นกลัว ก็จะเริ่มขายทุกราคา
4.การคาดการ์วิกฤตโดยวิธีที่ 2 เค้าประเมินจากว่ามีคนตื่นเต้นกับหุ้นมากแค่ไหนในเวลานั้น เช่น ข่าวหุ้นในทีวี ในที่สาธารณะ รวมไปถึงคนนอกวงการหุ้นเช่น แม่บ้าน คนขับ Taxi เป็นต้น
5.กลับมาดูที่หุ้นไทยว่าแพงหรือยัง ณ ปัจจุบัน P/E ของ ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 17 เท่า ซึ่งต้องระวังในการใช้ตัวเลขนี้เพราะ ค่า E หรือกำไรของบริษัทจดทะเบียน อันนี้ใช้แค่ย้อนหลัง 1 ปี ซึ่งเป็นไปได้ว่าในปีที่แล้วกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตดีมาก โดยเฉพาะบริษัทน้ำมันโตเป็นแสนล้าน ค่า P/E ที่ได้อาจจะทำให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ที่ถูกต้องใช้ค่าเฉลี่ยย้อนหลังไปนานๆ
6. Robert Shiller จึงใช้ค่าใหม่แทนการวัดค่า P/E แบบเดิมๆ โดยการใช้ค่าเฉลี่ยของกำไรย้อนหลัง 10 ปี เรียกว่า Cyclically adjusted P/E (ค่า CAPE เรียกว่า ค่าเคป) เพื่อสะท้อนกำไรโดยเฉลี่ยของกิจการในวงจรเศรษฐกิจทั้งหมด
7. ปี 2018 ค่า CAPE ของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 26 เท่า ถือว่าสูงพอสมควร เทียบเท่าตลาดหุ้นอเมริกาก็ 26 เท่า เรียกว่าต้องลงทุนด้วยความระมัดระวัง
8. สรุปก็คือเราไม่รู้ว่าวิกฤตจะเกิดหรือไม่เกิด ณ ตอนนี้ที่ดอกเบี้ยต่ำมาก ต่ำให้หุ้นไม่ขึ้นเลย แต่ลงทุนในบริษัทที่พื้นฐานดี ได้ปันผลสัก 3% ก้คุ้มแล้ว

หากวิกฤตมาจะทำยังไง?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ดร. สมจินตร์ ศรไพศาล
1. คำถามที่สำคัญกว่าคือตอนที่วิกฤตยังไม่มาต้องเตรียมตัวยังไง เพราะที่สุดแล้วเราไม่รู้ว่าวิกฤตจะมาเมื่อไหร่
2.จากที่แสดงในวงจรทางเศรษฐกิจ เราจะพบว่าทรัพย์สินแต่ละประเภทจะให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงเวลาที่ต่างกัน ให้เรามองตัวเราเองเป็นเจ้าของสวนผลไม้ ถ้าเรามีผลไม้ที่หลากผลายผลัดกันออกผลตามฤดูกาล เราก็จะมีผลไม้กินทุกฤดู การลงทุนก็เช่นกัน
3. ก่อนวิกฤตจะมาให้เราเตรียมตัวจัดทัพลงทุนตามวัตถุประสงค์เป็น 3 กอง
-กองหน้า : มุ่งสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว คาดหวังผลตอบแทน 8-12% เน้นลงทุนในหุ้น เงินในส่วนนี้ต้องผ่านวงจรเศรษฐกิจอย่างน้อย 7-10 ปี
-กองกลาง : มุ่งไว้ให้ชนะเงินเฟ้อ เอาไว้เติมกองหน้ากับกองหลัง ระยะเวลาลงทุน 1 - 7 ปี เน้นลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐาน ตราสารหนี้ระยะยาว ให้ผลแทนเป็นรายได้ประจำเข้ามา
-กองหลัง : มุ่งไว้เพื่อสภาพคล่อง ความเสี่ยงต่ำ ระยะเวลาลงทุนประมาณ 1 ปี เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น
4. นอกจากการจัดทัพลงทุนตามวัตถุประสงค์แล้ว สิ่งสำคัญคือมีการกระจายความเสี่ยงที่ดีระหว่างตราสาร และทั้งในและต่างประเทศ
คุณ มนตรี ศรไพศาล
1.วิกฤตจะเกิดเพราะคนเนี่ยแหละ จากทฤษฎีมหภาคสมัยใหม่จะบอกไว้ว่าสิ่งที่จะผลักดันให้เกิดการเติบโต คือ “การคาดการณ์ว่าจะเกิดการเติบโต”
2.ความหมายคือ ตัวขับเคลื่อนในวงจรขาขึ้นคือ “ความโลภ” ตัวขับเคลื่อนในวงจรขาลงคือ “ความกลัว”
3.สิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุนคือ ไม่โลภและไม่กลัว จนเกินกว่าเหตุ ไม่โลภหมายความว่าไม่กู้จนเกินตัวมาลงทุน ไม่กลัวหมายความว่าไม่ตื่นตูมไปกว่าเหตุ
คุณ ปริญญ์ พานิชภักดิ
1.มองว่าการกระจ่ายความเสี่ยงคือสิ่งที่สำคัญ
2.ในตอนนี้มองว่าดอลลาร์แข็งกว่าที่ควรจะเป็น และอาจจะทำให้เงินทุนน่าจะไหลกลับเข้าตลาดเกิดใหม่ในช่วงหลังของปี
อ.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
1.ให้มองกว่าถ้าเกิดวิกฤตขึ้นมาจริงๆ บริษัทที่เราถืออยู่ เราจะถือมันอยู่ไหม อย่างเวลาเกิดวิกฤตหุ้นอาจจะลงต่อเนื่อง 2-3 ปีก็เป็นได้
2.หุ้นที่พื้นฐานดีจริงจะลงไม่เยอะ
3.ในตอนนี้ก็มีการถือเงินสดบางส่วนรอจังหวะลงทุนอยู่เหมือนกัน
หวังว่าสรุปนี้จะมีประโยชน์กับทุกท่านในการรับมือกับวิกฤตนะครับ

จขกท จะพยายามเข้ามาอัพเดทสาระเกี่ยวกับการเงินการลงทุนเรื่อยๆ นะครับ
หากเพื่อนๆ ต้องการติดตามสาระเกี่ยวกับการเงินการลงทุนแบบย่อยง่ายๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ฝากติดตาม https://www.facebook.com/wealthmeplease/ ด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ
สรุปเนื้อหาสัมมนา Money Talk@SET "ทำไมวิกฤตถึงจะมา? และหากวิกฤตมาต้องทำไง?"
มีโอกาสได้ฟังสัมมนา Money Talk@SET วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2561
ในหัวข้อ "ทำไมวิกฤตถึงจะมา? และหากวิกฤตมาต้องทำไง?"
จขกท เห็นว่ามีประโยชน์ เลยขอสรุปให้เพื่อนๆ ชาวพันทิปได้อ่านกันครับ
รับชมย้อนหลังได้ที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เข้าใจวงจรเศรษฐกิจ โดย ดร. สมจินตร์ ศรไพศาล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วิกฤตจะมากับเลข 7 ? โดย คุณ มนตรี ศรไพศาล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ละตินอเมริกาเริ่มส่งสัญญาณ โดย คุณ ปริญญ์ พานิชภักดิ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Irrational Exuberance โดย อ. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หากวิกฤตมาจะทำยังไง?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หวังว่าสรุปนี้จะมีประโยชน์กับทุกท่านในการรับมือกับวิกฤตนะครับ
จขกท จะพยายามเข้ามาอัพเดทสาระเกี่ยวกับการเงินการลงทุนเรื่อยๆ นะครับ
หากเพื่อนๆ ต้องการติดตามสาระเกี่ยวกับการเงินการลงทุนแบบย่อยง่ายๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้