กีต้าร์ล่าวิญญาณ ตอนที่ 11

ตอนที่ผ่านมา

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้




กีต้าร์ล่าวิญญาณ


โดย...ล. วิลิศมาหรา


ฟรังโก้อยู่บนถนนบรอดเวย์ กำลังขับรถมุ่งหน้าไปย่านมิดทาวน์ดัวยหัวใจที่ร้อนรุ่ม เขาภาวนาให้ไปทันก่อนที่เอมี่จะตัดสินใจ

"อย่าเพิ่งเอมี่ รอฉันก่อน ฉันกำลังไปหาเธอเดี๋ยวนี้แล้ว" ระหว่างขับรถเขาก็ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เอมี่เล่ามาในโทรศัพท์ ก่อนตัวเองจะตัดสินใจคว้ากุญแจรถขับมาหาเธอในอะพาร์ตเม้นต์ของนิค

"มันอาจเป็นกลลวงของซาตาน ระวังตาแก่นั่นนะ เขาอาจไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา" ตอนนั้นเขาร้องห้ามเธอไปตามสายเสียงลั่น อ้อนวอนขอให้เชื่อเขาสักครั้ง

เพราะเรื่องที่เธอเล่าทำให้เขานึกไปถึงเรื่องของอัลแบโต้เมื่อหลายปีก่อน พี่ชายของเขาก็เคยสารภาพว่าแอบไปทำสัญญาบางอย่างกับชายแก่เจ้าของร้านขายของเก่ามา ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเป็นนักกีต้าร์ฝีมือฉกาจฉกรรจ์เพียงชั่วข้ามคืนอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งฟรังโก้มั่นใจว่ามันต้องเป็นสัญญาของซาตานเพื่อแลกกับการเล่นดนตรีอันเยี่ยมยอดของพี่ชายเขา เหมือนที่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้ของนักกีต้าร์ชื่อก้องโลกอย่างโรเบิร์ต จอห์นสัน

ก็คนธรรมดาที่ไหนจะพัฒนาการเล่นกีต้าร์ได้รวดเร็วราวกับเนรมิตแบบนั้น เขาต้องไปให้เห็นกับตาถึงรูปร่างหน้าตา ตลอดจนเบาะแสของซาตานในตัวเจ้าของร้านขายของเก่าว่ามีหรือเปล่า อย่างเช่นกลิ่นสาบหรือสัญลักษณ์อย่างอื่นของซาตาน เขาสงสัยว่าชายแก่จะเป็นคนเดียวกันกับที่ให้กีต้าร์อัลแบโต้มา เอมี่เล่าให้ฟังอีกว่า

"เขาว่ามันเป็นแค่สัญญาซื้อขายพรสวรรค์เท่านั้นนะฟรั้ง...บางทีมันอาจเป็นข้อตกลงที่ไม่อันตรายอะไร ฉันอยากช่วยนิคจัง ถ้าเธอมาเห็นนิคตอนนี้เธอก็จะเข้าใจ ตาแก่นั่นบอกว่าที่นิคแต่งเพลงไม่ได้เป็นเพราะพรสวรรค์ด้านนี้ของเขาหายไป จากอาถรรพ์ของกีต้าร์สีแดงตัวนั้น มันคงเป็นกีต้าร์ของพวกวูดู มันโกรธที่เขาไม่ยอมเล่นมัน และถ้าเขาไม่ได้รับพรสวรรค์เพิ่มจากฉัน อีกหน่อยเขาก็จะลืมการร้องเพลงจนร้องไม่ได้อีกเลย ฟรั้ง...ฉันควรทำไงดี"

"ใจเย็นก่อนเอมี่ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน"

"อยู่บนห้องกับนิค แต่ฉันไม่ได้เล่าให้นิคฟังหรอก คิดว่าตอนนี้เขาคงไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น นิคหัวเสียมากที่คิดเนื้อเพลงไม่ออก บอกว่าลืมทำนองไปเสียเฉยๆ ต้องเค้นสมองคิด เขาปิดประตูห้องใส่หน้าฉันด้วยซ้ำ"

"รอเดี๋ยวนะ เธอรอฉันก่อน อย่าเพิ่งตกลงอะไรกับตาแก่นั่น ฉันกำลังไป"

แล้วเขาก็ขับรถมาด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่กฎหมายกำหนด ต้องรีบไปช่วยเอมี่ก่อนที่พวกมันจะไหวตัวทันว่าเขาเริ่มรู้ตัวแล้วจากสิ่งที่พบในตู้เสื้อผ้าวันนี้...บ้าฉิบ!

ถนนเส้นหลักข้างหน้ามียวดยานค่อนข้างหนาแน่น ตึกสูงสองข้างทางไหลเรื่อยไปตามการเคลื่อนที่ผ่านของรถ มันกำลังพาเขาทะยานเข้าสู่ย่านมิดทาวน์ ต่อไปเขาจะต้องตัดเข้าเอวีนิวสายรองเพื่อไปยังอะพาร์ตเม้นท์ของนิค ฟรังโก้เหยียบคันเร่งส่งเมื่อรถเลี้ยวผ่านโค้งมุมถนนมาแล้ว

หง๊าววว กรรส์!

แต่ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็อุทานเสียงหลงสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ ผงะหงายไปข้างหลัง เมื่อร่างสีดำโผล่พรวดออกมาจากใต้ขาบนเบาะนั่งแบบกะทันหัน เขาปล่อยมือจากพวงมาลัยรถมาตะปบร่างขนปุกปุยที่กระโจนเข้าใส่ใบหน้าอย่างมุ่งร้าย เท้าเหยียบเข้าที่เบรกเต็มแรงตามสัญชาตญาณมากกว่าจะตั้งใจหยุดรถ เสียงล้อบดผิวถนนดังเสียดประสาท รถเสียหลักหลุดพ้นการควบคุม หมุนคว้างเอาด้านข้างรถพุ่งเข้ากระแทกตึกข้างทางดังสนั่น

โครม!



เอมี่กับนิคพาเพื่อนสาวกลับมาห้องชุดของฟรังโก้หลังไปดูศพของแฟนหล่อนมาแล้ว เมลานีนั่งลงบนเตียงในห้องนอนด้วยสภาพของคนที่ยังไม่หายจากอาการช็อค หล่อนนั่งเหม่อลอยสักพักก่อนร้องไห้โฮออกมา เล่าทั้งน้ำตาว่านิคเสียชีวิตคาซากรถซึ่งพังยับเยิน ร่างไร้วิญญาณของเขาตอนนี้ยังอยู่ในโรงพยาบาลรอผลชันสูตรจากแพทย์ พ่อแม่ของฟรังโก้ทราบข่าวของลูกชายแล้ว และกำลังบินมารับศพไปทำพิธีที่บ้านเกิดในอิตาลี

เอมี่มองเพื่อนอย่างแสนสงสาร โอบร่างสะอื้นไห้ของเมลานีเข้ามากอด หล่อนหันมาซบไหล่เธอคร่ำครวญถึงคนรักที่จากไปเหมือนใจจะขาด ความหวังความฝันของเพื่อนเธอได้พังทลายลงไปหมดสิ้นพร้อมกับลมหายใจของฟรังโก้

"ทำไมเธอถึงทิ้งฉันไปแบบนี้ ฟรั้ง เรากำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้ว แต่เธอก็มาด่วนจากฉันไป ฉันตั้งตัวไม่ทัน"

"โธ่...เมล ทำใจดีๆ เพื่อนรัก"

เอมี่ลูบหลังไหล่ปลอบเพื่อน เธอเองก็ตีบตันในลำคอพูดอะไรไม่ออก เหตุร้ายมันเกิดขึ้นรวดเร็วเสียจนยากจะยอมรับได้ว่าคือเรื่องจริง นิคถอนใจเฮือกใหญ่ เขานั่งก้มหน้าเอาสองมือกุมขมับ ท่าทางเศร้าซึมไปตามๆ กัน

"แล้วนี่เธอจะทำไงต่อล่ะเมล" เอมี่ถามเพื่อนอย่างหดหู่ เมลานีเพิ่งย้ายมาอยู่ด้วยกันกับฟรังโก้ไม่นาน เสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทางยังเอาออกมาแขวนในตู้ไม่หมดเลยด้วยซ้ำ

"ฉันจะย้ายกลับไปห้องเก่า ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก ใจฉันเหมือนจะขาดเวลาเห็นข้าวของของฟรั้ง ฉันว่าจะย้ายกลับวันนี้เลย วานเธอช่วยเอาชุดแต่งงานในตู้เสื้อผ้าไปไว้ที่อะพาตเม้นท์เธอทีนะเอมี่ ฉันไม่กล้ามองมันอีก"

เมลานีพูดพลางสะอื้นฮัก น้ำตาไหลเป็นทางอย่างน่าเวทนา เอมี่มองชุดวิวาห์หรูหราที่แขวนในตู้แล้วถอนหายใจยาว รู้สึกเจ็บปวดไปด้วยกับเจ้าสาวผู้ร้างงานแต่ง

"ได้สิ เดี๋ยวฉันจัดการให้"

"ฉันกับเอมี่จะช่วยเธอย้ายห้อง ดูเหมือนข้าวของเธอไม่เยอะเท่าไหร่เลยนี่" นิคเงยหน้าขึ้นบอก

"ขอบใจพวกเธอมาก ฉันจะเก็บของกลับวันนี้เลย ห้องนี้พ่อแม่ของฟรั้งคงมาจัดการเอง" เมลานีเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นโผเผไปลากกระเป๋าเดินทางจากในตู้มาเปิดออก เอมี่กับนิคช่วยเพื่อนเก็บของใส่ลงในกระเป๋า ทั้งสามลงมือกันเงียบๆ ท่ามกลางบรรยากาศซึมเศร้า



หลังช่วยเมลานีขนของกลับห้องเก่าของหล่อนที่เขตอัปเปอร์อีสต์ไซด์ พอกลับมาที่อะพาร์ตเม้นต์ตัวเอง นิคก็แยกตัวไปนั่งทำงานต่อที่โต๊ะเขียนเพลงของเขา ปล่อยให้เอมี่นั่งมองด้านข้างเขาเงียบๆ อยู่บนเตียง มันผิดปกติไปมากที่เขาไม่ค่อยมีท่าทีเสียใจกับการจากไปอย่างกะทันหันของฟรังโก้เท่าไหร่ ทั้งที่นักเขียนหนุ่มเป็นเพื่อนรักของพวกเธอคนหนึ่ง เขาควรเข้ามาปลอบใจเธอจากเรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้น มากกว่าจะมีแก่ใจไปนั่งแต่งเพลงแบบนั้น

"ฟรั้งตายเพราะฉัน" เธอพึมพำเบาๆ เห็นว่านิคชะงักไปนิดเดียว แล้วเขาก็ก้มลงง่วนกับแผ่นกระดาษบนโต๊ะต่อ ทำท่าเหมือนไม่ค่อยสนใจ

"ฉันเป็นคนโทรบอกเขาให้มาหาเอง" เอมี่รำพันต่อด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย น้ำตารื้นหัวตาเมื่อนึกถึงเรื่องที่คุยทางโทรศัพท์กับฟรังโก้เมื่อเช้านี้ อดโทษตัวเองไม่ได้ที่เป็นต้นเหตุให้เขารีบร้อนมาหา

"หยุดบ่นเสียทีเถอะน่า" สายตาของนิคยังอยู่ที่แผ่นกระดาษ ขณะตวัดเสียงดังเหมือนเอ็ดกับเธอ เอมี่สะดุ้ง ขมวดคิ้วมองหน้าเขา เริ่มแปลกใจกับปฏิกิริยาของนิคมากขึ้นทุกที เขาดูเปลี่ยนไป...เปลี่ยนไปมากจริงๆ จนคล้ายเป็นอีกคนที่ไม่ใช่นิคคนเก่า

"ฟรั้งตายนะนิค...ฟรั้งที่ให้กีต้าร์เธอมา ฟรั้งที่ช่วยแนะนำโปรดิวเซอร์ให้เธอรู้จัก เขาตายแล้ว...ที่เขาตายก็เพราะฉัน" เธอเสียงดังใส่เขาบ้าง

"แล้วไง เธอจะให้ฉันร้องไห้ฟูมฟายคร่ำครวญให้เขาฟื้นขึ้นมางั้นเหรอ คนก็ตายไปแล้วทำไงได้ หรือเธอจะให้ฉันนั่งโศกเศร้าจนไม่เป็นอันทำอะไร ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอกนะเอมี่" คราวนี้เขาหันมาจ้องตาแข็งกระด้างมองเธอ

"แล้วก็เลิกพูดโทษตัวเองเสียที คนถึงที่ตายยังไงก็ต้องตาย ต่อให้เขาไม่มาหาเธอฟรั้งก็ต้องตายอยู่ดี" เอมี่อ้าปากค้างเบิกตากว้างฟังคำพูดไม่แยแสของเขา เธอมองผู้ชายตรงหน้าเหมือนไม่เคยรู้จักมาก่อน

"ก็เพราะเธอเป็นแบบนี้ฉันถึงบอกให้ฟรั้งมาดู นิค เดี๋ยวนี้เธอเปลี่ยนไปมาก" พูดเสียงสะท้านขึ้นจมูก น้ำตาปริ่มอยู่ที่ขอบตา

"อ้าว! นี่เธอแอบนินทาฉันเหรอ ฉันเป็นอะไรมันก็เรื่องของฉัน เธอแล่นไปบอกคนอื่นทำไมห๊ะ นังบ้า! รีบไปไกลๆ ฉันเลย"

พระช่วย เขาด่าเธอ!

"นะ...นิค..."

เอมี่นั่งตะลึงตัวแข็ง นี่มันเรื่องจริงใช่ไหม เมื่อกี้ได้ยินเขาด่าหยาบคายกับเธอว่านังบ้า...พลันก็นึกถึงคำพูดของชายแก่เจ้าของร้านขายของเก่าตอนที่ยื่นกระดาษแผ่นนั้นมาให้อ่าน

"อ่านมันให้ละเอียด มันคือสิ่งที่จะช่วยทำให้นิคหายจากอาการที่เป็นอยู่ ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปมากใช่ไหมล่ะ สมองเสื่อม เขียนเพลงต่อไม่ได้ ก้าวร้าวดุร้าย ถ้าหากเธออ่านแล้วยินดีรับข้อเสนอ แฟนเธอก็จะหายเป็นปกติ และจะประสบความสำเร็จ ได้เป็นนักร้องดังอย่างที่หวัง"

เอมี่กัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้น ลุกพรวดขึ้นยืน เธอตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง



"กลับไปคิดมาดีแล้วสินะ" น้ำเสียงเย็นชาพอกันกับหน้าตาเฉยเมยของร่างซูบผอมเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นหญิงสาวก้าวเข้ามาในร้าน ชายชรานั่งรออยู่ราวกับรู้ว่ายังไงเธอก็ต้องกลับมา

"ฉันต้องการความช่วยเหลือ"

เธอบอกเสียงเบา ก้าวเข้ามานั่งตรงกันข้ามกับเจ้าของร้าน ดวงตาหมองหม่นมองหน้าเหี่ยวย่นอย่างยอมจำนน รู้สึกคล้ายใบหน้าของแกดูเลือนรางชอบกล อาจเพราะอาการประสาทเสียอย่างหนักจากเรื่องร้ายๆ ที่ประดังเข้ามา เลยทำให้สมองของเธอมีปัญหาจนส่งผลมาถึงสายตาก็ได้ หญิงสาวยกมือขึ้นขยี้ตาสองสามครั้ง แต่ภาพตรงหน้าก็ยังพร่าเลือนเหมือนเดิม

"ไม่อยากจะซ้ำเติมหรอกนะ ฉันเคยเตือนแล้วว่าอย่าทอดทิ้งมัน...กีต้าร์ตัวนั้น แต่พวกเธอกลับเอามันไปเก็บไว้เฉยๆ ไม่สนใจคำเตือนของฉัน ก็สมควรแล้วที่จะโดนมันโกรธ" ชายชราพูดเสียงต่ำในลำคอ ดวงตาฝังในกระบอกลึกฉายแววคล้ายสมเพช...เหมือนเยาะหยันสมน้ำหน้าอยู่ในที

พูดบ้าๆ อีกแล้ว...เอมี่นึกไม่ชอบใจ ร่ำๆ จะลุกเดินกลับออกไป ถ้าไม่ได้ยินสิ่งที่แกทักขึ้น

"ไม่กลัวเขาพลาดการเป็นนักร้องบริษัทเพลงเหรอ...เขาแต่งเพลงนั้นไม่ได้แล้วนี่ ถ้าเพลงยังแต่งไม่จบ บริษัทไม่รับเขาเข้าสังกัดแน่ เธออยากช่วยเขาไหมล่ะ" เอมี่ชะงัก ชายชราโบกหลังมือ เมื่อเห็นเธอขยับปากจะถาม

"ไม่ต้องถามว่าฉันรู้ได้ยังไง เอาเป็นว่ารู้ก็แล้วกัน ฉันเองก็มีพรสวรรค์บางอย่าง ที่มันทำให้เกมสนุกสนานยิ่งขึ้น"

"คุณพูดถึงเกม...นี่คุณกำลังเล่นเกมกับพวกเราอยู่เหรอ คุณหลอกให้กีต้าร์ตัวนั้นกับนิคงั้นสิ"

"เหลวไหล ฉันไม่ได้หลอกพวกเธอ เพราะแฟนเธออยากได้กีต้าร์ฉันถึงยกให้ บอกสิ่งที่ต้องระวังให้แล้วด้วย แต่พวกเธอไม่ทำตามเองจะมาโทษฉันไม่ได้ ใช่ มันเป็นเกม...เกมชีวิตแม่หนูน้อย เมื่อพวกเธอเลือกกีต้าร์เกมก็เริ่มขึ้นแล้ว พวกเธอเหมาะสมที่จะเล่นเกมของฉัน และฉันก็ชอบพวกเธอมาก ฉันจึงจะช่วยแก้อาถรรพ์กีต้าร์ให้ ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันมีตัวช่วยให้เธอ..."

มือเหี่ยวซีดหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมาวางบนโต๊ะ มันคือสัญญาซื้อขายพรสวรรค์ระหว่างเธอกับเจ้าของร้านเพื่อยกพรสวรรค์ของเธอให้กับนิค ที่ชายแก่เคยให้เธอดูก่อนหน้า

"มาพูดเรื่องแฟนเธอดีกว่า เธอรักเขามากล่ะสิ" ถามอะไรโง่ๆ...เอมี่ชำเลืองมองหน้าคนถาม แต่เพราะอยากช่วยนิคเลยต้องข่มความไม่พอใจเอาไว้ พยักหน้ารับ

"อย่างที่บอก...พ่อหนุ่มนั่นแต่งเพลงต่อไม่ได้ เป็นเพราะพรสวรรค์ทางด้านประพันธ์เพลงของเขา หายไปกะทันหันจากมนต์ดำของกีต้าร์ และนี่คือสิ่งที่จะช่วยเขาได้" ชายชรายื่นกระดาษให้ เอมี่นิ่วหน้า ลังเลคิด แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าคร่ำเคร่งบูดบึ้ง พร้อมท่าทางร้ายกาจของนิค ในที่สุดจึงตัดสินใจรับกระดาษมา

"หมายความว่า ฉันต้องยอมยกพรสวรรค์ของตัวเองทดแทนที่หายไปให้กับนิค แล้วเขาก็จะกลับมาแต่งเพลงได้เหมือนเดิมอย่างนั้นเหรอ"

"ใช่"

"นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ ฉันจะเชื่อเรื่องเหลือเชื่อแบบนี้ได้ยังไง"

"เธอเคยเห็นอิทธิฤทธิ์ของกีต้าร์ตัวนั้นแล้วนี่ มันช่วยทำให้นิคเล่นดนตรีดีขึ้นมากในพริบตาไม่ใช่เหรอ หรือเธอดูไม่ออก แล้วสำหรับสัญญาฉบับนี้ ถ้าอยากรู้ว่าจริงหรือไม่ ก็ทำไมไม่ลองดูล่ะ แค่เซ็นชื่อแกร๊กเดียว แล้วเธอก็กลับไปดูผลของมันบนห้องพวกเธอตอนนี้ได้เลย"



(มีต่อ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่