[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"สมมติ ฉุดวังวน"
-----------------------------------------------------
บทนำ : https://pantip.com/topic/37668769
ตอนที่ 1 แม่ : https://pantip.com/topic/37672331
ตอนที่ 2 กัลยาณมิตร : https://m.pantip.com/topic/37677286
ตอนที่ 3 กายละเอียด : https://m.pantip.com/topic/37683661
ผ่านมาแล้ว 2 วัน วันนี้ย่างเข้าวันที่ 3 ไม่นับวันที่เราเดินทางมาถึง
จิตใจฉันเริ่มสงบลงอย่างบอกไม่ถูก หลังจากที่ได้เอาสิ่งที่ป้าดาสอนมาทำความเข้าใจในวิธีคิดของฉัน อีกทั้งการเดินจงกรม เอาจิตไปกำหนดที่การเคลื่อนไหวของเท้า ย่างก้าวเดินอย่างมีสติ ท่ามกลางป่าไม้ใหญ่รอบๆวัดทำให้สงบและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก แม้จะยังมีความรู้สึกแอบกลัวนิดๆเวลาเดินคนเดียว
หลังจากที่สวดมนตร์ทำวัตรเย็นแล้ว คืนนี้ฉันว่าจะเข้านอนแต่หัวค่ำ ฉันจะลองนอนดูลมหายใจขณะหายใจเข้าออก ว่าฉันจะหลับไปตอนหายใจเข้าหรือหายใจออก ตามหนังสือเล่มหนึ่งที่ฉันได้มาโดยบังเอิญตรงซุ้มหนังสือในโบสถ์เมื่อช่วงเย็น
คืนที่แล้วฉันได้พยายามนอนดูลมหายใจไปด้วย แต่มาตกม้าตายเพราะเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ในหนังสือบอกว่า ลองดูลมก่อนนอนสิ ดูไปเรื่อยๆเผลอบ้างก็ช่างมัน แต่อย่าไปเพ่งเกินไปจนเครียด
การนอนดูลม จิตจะทิ้งคิดเรื่องต่างๆได้ง่ายกว่าการนั่งดูลมหายใจ เพราะการนอนทำให้ร่างกายผ่อนคลายพร้อมที่จะตกภวังค์เพื่อหลับไป เมื่อจุดที่ใกล้ตกภวังค์นี่แหล่ะคือจุดปราบเซียน ถ้าเผลอก็จะหลับแบบไร้สติได้โดยง่ายเหมือนทุกๆวัน
การรู้ลม ตามลมหายใจจะเริ่มละเอียดขึ้นเหมือนไม่มีลมผ่านปลายจมูก ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะสุดท้ายแล้วลมก็คือของที่หนัก ที่จิตไม่จำเป็นต้องประคองไป ท้ายที่สุดลมตรงนั้นจะสว่างใส เข้าสู่สมาธิขั้นลึก(อัปปนาสมาธิ) โดยไม่เผลอตกภวังค์
ความสุขความสงบจะปรากฎจนอธิบายได้ยาก และสุขตรงนั้นก็ละเอียดเกินไปที่จะเอาไปพิจารณาในสิ่งต่างๆเช่น พิจารณาธรรม (เพราะการพิจารณาธรรมด้วยปัญญาจะไม่ใช้สมาธิระดับลึก) ในหนังสือกำชับว่า เราไม่ควรยึดติดสุขจากสมาธิเพราะจะไม่เกิดปัญญา จะไม่พ้นทุกข์ ส่วนอภิญญาที่ได้จากการเข้าฌาน (หูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติได้ อ่านใจคนได้ ถอดจิตได้) นั้นคือของแถม อย่าไปยึดติด และอย่าไปอยากได้ เพราะไม่ได้ช่วยให้เราพ้นทุกข์หรือพ้นนรกได้เลย
การทำสมาธิที่ดีนั้นให้ถอนกำลังจากสมาธิแบบลึก ลงมาที่สมาธิแบบกลาง เพราะช่วงสมาธินี้เหมาะสมในการพิจารณาสิ่งต่างๆให้เกิดปัญญาหรือคลายความสงสัยได้ จะสามารถเห็นตามจริงของโลก มีเกิดมีดับมีความไม่เที่ยง
การนอนดูลมหายใจของฉันในคืนนี้ ไม่ได้ทำด้วยความตั้งใจมากจนเกินไป ฉันนึกเพียงว่า เพราะลมหายใจคือส่วนหนึ่งของร่างกายมาแต่ไหนแต่ไร มันคือธรรมชาติ ฉันดูลมไปแบบซื่อๆ ไม่คิดอะไร ไม่อยากรู้อะไร ไม่สงสัยในอะไร ช่วงนั้นสมองฉันเริ่มสลึมสลือสลับกับตื่นรู้ ฉันเร่งภาวนาและตั้งจิตไว้ที่ลมหายใจไม่ได้ขาดตอน ลมเริ่มสว่างใสแวววาว ความปีติ ความสุขแผ่เข้ามาอย่างบอกไม่ถูก ฉันประคองอารมณ์ไว้ไม่ไหวติง ดั่งลมพัดเย็นมาก็รู้และนิ่งเฉย ดังสุขมากระทบแค่ไหนก็นิ่งเฉย คำภาวนาต่างๆหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿
"ท่านๆ ลืมตาได้แล้ว" เสียงชายหนุ่มปลุกฉัน
ฉันลืมตาขึ้นมา "เอ้ยยย คุณคือใคร เข้ามาได้ยังไง" ฉันหันไปมองหาแจง เพราะนึกว่าแจงพาชายหนุ่มคนนี้เข้ามา แต่กลับไม่มีแจงในห้องเลย
"สวัสดี เราชื่อ รพี ท่านอย่าเพิ่งตกใจนะ ท่านหันไปดูตัวท่านสิ"
ฉันงงที่ชายหนุ่มคนนี้บอก ฉันกำลังนอนอยู่และหันหัวไปทางขวาตามที่เขาบอก
"ว้ายยยย คืออะไร นี่ฉันตายไปแล้วเหรอ" ฉันมองเห็นร่างฉันกำลังนอนอยู่ข้างๆ
"ฉันต้องกำลังฝันไปแน่" ฉันหยิกแขนตัวเองกลับรู้สึกเจ็บเบาๆ
"ท่านๆใจเย็นๆก่อน ท่านสร้างกายละเอียดออกมาเองนะ ไม่เป็นไรนะ เราจะช่วยดูแลให้" ชายหนุ่มคนนั้นพูดพลางหัวเราะ
"นี่ฉันไม่ขำด้วยนะคะ แล้วคุณคือใคร ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้" ฉันกำลังพิจารณาชายหนุ่มที่ชื่อรพี อายุราว 20ปี หน้าตาหล่อคม และแต่งกายด้วยเสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีขาว ดูเรียบร้อย
"เราคือ ระพี เรามาช่วยดูแลท่านนะ การสร้างกายละเอียดของท่านจะยังมีสายใยแห่งภพเชื่อมกับกายหยาบอยู่ การทำแบบนี้ในคนที่เริ่มต้นจะอันตรายมาก เพราะโลกวิญญาณนั้น ก็มีสิ่งหลอกลวงและร้ายกาจมากกว่าโลกมนุษย์อีก เช่น พวกมาร อมนุษย์ อสูรกาย เปรตและอื่นๆอีกมาก ถ้ายิ่งเป็นนายเวรเก่าของท่านเดี๋ยวจะแย่เอา ถ้าไม่มีเทวดาคอยดูแล เวลากลับเข้าร่าง อาจเพี้ยนภายหลังได้ ท่านอย่าลืมขอบารมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆพระองค์ช่วยคุ้มครองด้วยนะก่อนที่จะทำแบบนี้ในคราวหลัง"
"อ่อคะ แต่ฉันงงมาก แล้วฉันทำไมอยู่ดีๆกายละเอียดมันออกมาเองหล่ะคะ เป็นแค่จิตตื่นในฝันหรือเปล่าคะ" ฉันถามแบบงงๆ
"ท่านภาวนาตื่นรู้จนดิ่งวูบตกภวังค์นั้น เปรียบเสมือนการเข้าฌานนั่นหละ ท่านได้ฌาน 4 เร็วมากเพราะบุญฤทธิ์แต่ครั้งเก่าก่อนจึงสร้างกายละเอียดให้สามารถเข้าไปสัมผัสโลกอีกมิติได้ตามที่ท่านเคยอธิษฐานไว้" ท่านรพียิ้มและพูดต่อว่า
"จิตมีความเป็นอมตะนะ เพราะตกอยู่ภายใต้กฎแห่งการเกิดดับตลอดเวลา จิตเป็นแค่สภาวะที่รู้อารมณ์ เกิดที่ช่องทวารไหน(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ก็ดับที่ช่องทวารนั้น จิตไม่สามารถออกจากร่างได้เวลานอนหลับนะท่านเตย การสร้างกายละเอียดนั้นปกติ สามารถทำได้โดยอาศัยสติ พลังจิต และอิทธิฤทธิ์ วิธีแยกความแตกต่างคือ การสร้างกายละเอียดจะยังเห็นกายหยาบของตนเองได้และมีสติจดจำรายละเอียดต่างๆได้ครบถ้วน แต่การตื่นในฝันจะไม่สามารถเห็นกายหยาบได้และรายละเอียดที่ไปพบเจอมานั้นอาจจำได้บ้างไม่ได้บ้าง มีสภาพไม่ต่อเนื่อง ท่านเห็นกายหยาบท่านมั้ยหล่ะ ที่นอนข้างๆนั่น" เขาถาม พร้อมพยักหน้าไปทางร่างฉันที่กำลังนอนอยู่
ฉันพยักหน้าหงึกๆ " แล้วเวลาออกมาทำไมออกมาครบทั้งตัวทั้งเสื้อผ้าเดิมมีหมดเลยหละคะ"
"ปกติการถอดกายละเอียดจะต้องมีกำลังสมาธิจากอำนาจฌาน ขณะที่กายละเอียดออกมาจิตท่านที่คุ้นเคยกับรูปนามขันต์จะสร้างรูปสมมติขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทวารทั้ง6(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ได้อาศัย ได้รับอารมณ์เหมือนกายหยาบได้ เหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว ยังยึดติดกับรูปกายเดิม เสื้อผ้าแบบเดิมๆ ปรุงแต่งเป็นรูปสมมติขึ้นมาให้เหมือนก่อนตายเลย ถ้าปรุงแต่งดีก็จะสวยหล่อ แต่ถ้าไปยึดจับภาพที่ไม่ดีของตัวเองตอนตาย ก็ออกมาเหมือนตอนที่จากโลกนี้มาเลยหละ เวลาใครเผลอไปพบเห็นโดยบังเอิญก็นึกว่าพวกเขาเนรมิตรกายมาหลอก แต่เปล่าเลย เขายังไม่รู้เลยว่าจิตเขาปรุงแต่งรูปสมมติไว้แบบนั้นตั้งแต่ตอนที่ตายแล้ว"
"ขอโทษนะคะ ท่านเป็นเทพหรือเป็นอะไร พวกไหนคะถึงได้มาอยู่กับฉันในตอนนี้ ถ้าป้าดามาเห็นนี่ฉันโดนแน่ๆเลย มีผู้ชายอยู่ในห้องกับฉันสองต่อสอง" ฉันมีความกังวล
เขาหัวเราะเบาๆ ในคอ "เรื่องนั้นเดี๋ยวเราจัดการเองไม่ต้องห่วง เราเป็นเทพชั้นยามา
เรามาช่วยดูแลท่านนั่นแหละอย่างที่บอกไป เราเฝ้าดูท่านมาสักพักแล้ว
เรามีวาสนาที่เกื้อกูลกันมาหลายครั้ง ครั้งนี้พอเห็นท่านมาปฏิบัติธรรมเราเลยตามมาดูแล ปกติชาวยามาไม่ค่อยลงมาสุงสิงกับมนุษย์เท่าไหร่เพราะกลิ่นกายเหม็นเหม็นศพเลยหละ" ท่านรพีอธิบาย
"อุ้ย เหม็นอะไรขนาดนั้นคะ แล้วนี่ตัวฉันเหม็นขนาดนั้นมั้ย" ฉันกังวล
"ไม่เลย กลิ่นกายท่านหอมมาก ยิ่งคนมีศีลธรรมจิตใจดี กลิ่นกายจะหอมมาก เราวัดกันที่คุณธรรมนะท่านถ้าเป็นโลกทิพย์"
"แล้วท่านใช่งูใหญ่ที่มาปรากฏกายให้ฉันเห็นบ่อยๆรึเปล่าคะ ฉันขอร้องนะ ฉันกลัวงูมากๆเลย" ฉันกำลังสงสัยว่าเขาคือพญานาคจำแลงกายมารึเปล่า
ท่านรพีหัวเราะเสียงกังวาล "ไม่มีทางหรอก เราไม่ใช่พญานาคนะท่าน จริงๆท่านพญานาคท่านนั้นก็รับทราบและฝากฝังเราให้ดูแลท่านด้วยเช่นกัน"
"อะ อะไรนะ ท่านรู้จักกันด้วยเหรอ ท่านช่วยบอกเขาทีนะว่าอย่ามาหาฉันเลย ฉันกลัวเขามากจริงๆ"
"เรื่องนั้นเราจะบอกเขาให้ แต่เราไม่รับปากท่านหรอกนะว่าจะสำเร็จหรือไม่ เพราะท่านนั้นห้าวหาญเอาการอยู่" ท่านรพีทำสีหน้าเคร่งเครียด
"ท่านรพี ท่านว่าท่านมาจากยามา ยามานี่คือที่ไหนเหรอคะ"
"ยามาเป็นสวรรค์ชั้นที่สาม ท่านรู้จักชื่อสวรรค์อะไรมาก่อนบ้างหรือยัง"
"คุ้นๆว่ามี จาตุมหาราชิกา ชั้นแรกสุดที่ใกล้โลกเราใช่มั้ยคะ แล้วชั้นอื่นๆหละเป็นอย่างไรบ้าง ท่านพอเล่าให้เตยฟังได้มั้ยคะ"
"ได้สิ เราเล่าให้ท่านฟังแล้ว ก็ฟังหูไว้หูนะ อย่าไปยึดติดมากมาย
จริงๆภพภูมิที่เหนือมนุษย์ขึ้นไป มี 3 ชั้นด้วยกันคือ
เทวดาชั้นกามาวจร คือ ผู้ที่ยังเกี่ยวข้องกับกาม กามในที่นี้หมายถึงความใคร่ในกามารมณ์ และหมายรวมถึงความปรารถนาในรูป รส กลิ่น เสียงและการสัมผัส ซึ่งมี 6 ชั้น คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนิมมิตสวัตดี
เทวดาชั้นรูปาวจรภูมิ หรือ รูปพรหม 16 ชั้น เป็นเทวดาที่ยังมีกายทิพย์อยู่ การเข้าฌาน 1-4 ก่อนตาย จิตจะปฏิสนธิ(กำเนิด)ในชั้นเหล่านี้ตามความละเอียดของกำลังฌานในแต่ละชั้น
เทวดาชั้นอรูปาวจรภูมิ หรือ อรูปพรหม เป็นเทวดาซึ่งไม่มีกายทิพย์ เพราะจิตเข้าสู่ อรูปฌาน
ทั้ง 3ภูมินั้นก็ยังหนีทุกข์ไม่พ้น เว้นแต่พรหมชั้นที่ 12-16 ส่วนที่เหลือเมื่อหมดบุญหมดอายุขัยก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อสร้างบุญหรือจะเผลอสร้างบาปได้อีก ยังมีอีกภูมิชื่อว่า โลกุตรภูมิ หรือภูมิที่พ้นโลก เป็นภูมิของพระอริยบุคคล น้อยคนนักที่จะได้ไปถึง (ฉันทำตาลุกวาว) มีภูมิย่อยๆ 4 ชั้นคือ
1.อรหัตโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นสูงสุด) มี 2ประเภท
ประเภทแรกคือ เจโตวิมุตติ เป็นผู้ปฎิบัติสมถกรรมฐานได้ฌานก่อน แล้วเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อจนสำเร็จพระอรหันต์ หรือ ผู้ที่ปฎิบัติเฉพาะวิปัสสนา เมื่อได้มรรคผลนั้นพร้อมกับได้วิชา3 อภิญญา6
ประเภทที่สองคือ ปัญญาวิมุตติ สำเร็จพระอรหันต์ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานล้วนๆ ไม่ได้บำเพ็ญสมถกรรมฐานมาก่อนเลย เรียกว่าสุกขวิปัสสกพระอรหันต์ คือ ผู้ปฏิบัติทำให้ฌานแห้งแล้ง ผู้ถึงภูมินี้เป็นผู้ที่สมควรแก่การบูชาของเหล่าเทพยาดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพราะสิ้นกิเลสด้วยโดยตัดสังโยชน์ 10 ประการได้ สามารถเข้าอรหันตผลสมาบัติ เสวยอารมณ์พระนิพพานได้ตามปรารถนา และไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกในวัฎสงสาร เมื่อถึงอายุขัยก็ดับขันธ์ปรินิพพาน
2.อนาคามีโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นที่ 3)
ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าพระอนาคามี จะไม่กลับมาเกิดในกามวจรภูมิอีก ส่วนใหญ่จะสถิตย์ในสุทธาวาสภูมิในพรหมโลกชั้นที่ 12-16โดยใช้ความเพียรมากน้อยตามกำลังที่สะสมมาเพื่อปรินิพพาน
3.สกทาคามีโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นที่ 2)
ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าถึงพระอริยบุคคลสกทาคามี ซึ่งจะเกิดอีกเพียงชาติเดียวเท่านั้น โดยอาจไปบรรลุอรหันต์ในภูมิมนุษย์หรือภูมิเทวดาตามกำลังบุญ
4.โสดาบันโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลกชั้นที่ 1)
ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าพระอริยะบุคคลโสดาบัน แบ่งเป็น 3 ระดับคือ
เอกพิซีโสดาบัน จะเกิดอีกชาติเดียว แล้วก็บรรลุพระอรหันตผล ปรินิพพาน
โกลังโกลโสดาบัน จะเกิดอีก 2-6 ชาติ เป็นอย่างมากแล้วก็บรรลุพระอรหันตผล ปรินิพพาน
สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน จะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน 7ชาติ แล้วก็จะบรรลุพระอรหันตผล ปรินิพพาน
สมมติฉุดวังวน - ตอนที่ 4 หอมในศีล
ผ่านมาแล้ว 2 วัน วันนี้ย่างเข้าวันที่ 3 ไม่นับวันที่เราเดินทางมาถึง
จิตใจฉันเริ่มสงบลงอย่างบอกไม่ถูก หลังจากที่ได้เอาสิ่งที่ป้าดาสอนมาทำความเข้าใจในวิธีคิดของฉัน อีกทั้งการเดินจงกรม เอาจิตไปกำหนดที่การเคลื่อนไหวของเท้า ย่างก้าวเดินอย่างมีสติ ท่ามกลางป่าไม้ใหญ่รอบๆวัดทำให้สงบและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก แม้จะยังมีความรู้สึกแอบกลัวนิดๆเวลาเดินคนเดียว
หลังจากที่สวดมนตร์ทำวัตรเย็นแล้ว คืนนี้ฉันว่าจะเข้านอนแต่หัวค่ำ ฉันจะลองนอนดูลมหายใจขณะหายใจเข้าออก ว่าฉันจะหลับไปตอนหายใจเข้าหรือหายใจออก ตามหนังสือเล่มหนึ่งที่ฉันได้มาโดยบังเอิญตรงซุ้มหนังสือในโบสถ์เมื่อช่วงเย็น
คืนที่แล้วฉันได้พยายามนอนดูลมหายใจไปด้วย แต่มาตกม้าตายเพราะเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ในหนังสือบอกว่า ลองดูลมก่อนนอนสิ ดูไปเรื่อยๆเผลอบ้างก็ช่างมัน แต่อย่าไปเพ่งเกินไปจนเครียด
การนอนดูลม จิตจะทิ้งคิดเรื่องต่างๆได้ง่ายกว่าการนั่งดูลมหายใจ เพราะการนอนทำให้ร่างกายผ่อนคลายพร้อมที่จะตกภวังค์เพื่อหลับไป เมื่อจุดที่ใกล้ตกภวังค์นี่แหล่ะคือจุดปราบเซียน ถ้าเผลอก็จะหลับแบบไร้สติได้โดยง่ายเหมือนทุกๆวัน
การรู้ลม ตามลมหายใจจะเริ่มละเอียดขึ้นเหมือนไม่มีลมผ่านปลายจมูก ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะสุดท้ายแล้วลมก็คือของที่หนัก ที่จิตไม่จำเป็นต้องประคองไป ท้ายที่สุดลมตรงนั้นจะสว่างใส เข้าสู่สมาธิขั้นลึก(อัปปนาสมาธิ) โดยไม่เผลอตกภวังค์
ความสุขความสงบจะปรากฎจนอธิบายได้ยาก และสุขตรงนั้นก็ละเอียดเกินไปที่จะเอาไปพิจารณาในสิ่งต่างๆเช่น พิจารณาธรรม (เพราะการพิจารณาธรรมด้วยปัญญาจะไม่ใช้สมาธิระดับลึก) ในหนังสือกำชับว่า เราไม่ควรยึดติดสุขจากสมาธิเพราะจะไม่เกิดปัญญา จะไม่พ้นทุกข์ ส่วนอภิญญาที่ได้จากการเข้าฌาน (หูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติได้ อ่านใจคนได้ ถอดจิตได้) นั้นคือของแถม อย่าไปยึดติด และอย่าไปอยากได้ เพราะไม่ได้ช่วยให้เราพ้นทุกข์หรือพ้นนรกได้เลย
การทำสมาธิที่ดีนั้นให้ถอนกำลังจากสมาธิแบบลึก ลงมาที่สมาธิแบบกลาง เพราะช่วงสมาธินี้เหมาะสมในการพิจารณาสิ่งต่างๆให้เกิดปัญญาหรือคลายความสงสัยได้ จะสามารถเห็นตามจริงของโลก มีเกิดมีดับมีความไม่เที่ยง
การนอนดูลมหายใจของฉันในคืนนี้ ไม่ได้ทำด้วยความตั้งใจมากจนเกินไป ฉันนึกเพียงว่า เพราะลมหายใจคือส่วนหนึ่งของร่างกายมาแต่ไหนแต่ไร มันคือธรรมชาติ ฉันดูลมไปแบบซื่อๆ ไม่คิดอะไร ไม่อยากรู้อะไร ไม่สงสัยในอะไร ช่วงนั้นสมองฉันเริ่มสลึมสลือสลับกับตื่นรู้ ฉันเร่งภาวนาและตั้งจิตไว้ที่ลมหายใจไม่ได้ขาดตอน ลมเริ่มสว่างใสแวววาว ความปีติ ความสุขแผ่เข้ามาอย่างบอกไม่ถูก ฉันประคองอารมณ์ไว้ไม่ไหวติง ดั่งลมพัดเย็นมาก็รู้และนิ่งเฉย ดังสุขมากระทบแค่ไหนก็นิ่งเฉย คำภาวนาต่างๆหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿
"ท่านๆ ลืมตาได้แล้ว" เสียงชายหนุ่มปลุกฉัน
ฉันลืมตาขึ้นมา "เอ้ยยย คุณคือใคร เข้ามาได้ยังไง" ฉันหันไปมองหาแจง เพราะนึกว่าแจงพาชายหนุ่มคนนี้เข้ามา แต่กลับไม่มีแจงในห้องเลย
"สวัสดี เราชื่อ รพี ท่านอย่าเพิ่งตกใจนะ ท่านหันไปดูตัวท่านสิ"
ฉันงงที่ชายหนุ่มคนนี้บอก ฉันกำลังนอนอยู่และหันหัวไปทางขวาตามที่เขาบอก
"ว้ายยยย คืออะไร นี่ฉันตายไปแล้วเหรอ" ฉันมองเห็นร่างฉันกำลังนอนอยู่ข้างๆ
"ฉันต้องกำลังฝันไปแน่" ฉันหยิกแขนตัวเองกลับรู้สึกเจ็บเบาๆ
"ท่านๆใจเย็นๆก่อน ท่านสร้างกายละเอียดออกมาเองนะ ไม่เป็นไรนะ เราจะช่วยดูแลให้" ชายหนุ่มคนนั้นพูดพลางหัวเราะ
"นี่ฉันไม่ขำด้วยนะคะ แล้วคุณคือใคร ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้" ฉันกำลังพิจารณาชายหนุ่มที่ชื่อรพี อายุราว 20ปี หน้าตาหล่อคม และแต่งกายด้วยเสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีขาว ดูเรียบร้อย
"เราคือ ระพี เรามาช่วยดูแลท่านนะ การสร้างกายละเอียดของท่านจะยังมีสายใยแห่งภพเชื่อมกับกายหยาบอยู่ การทำแบบนี้ในคนที่เริ่มต้นจะอันตรายมาก เพราะโลกวิญญาณนั้น ก็มีสิ่งหลอกลวงและร้ายกาจมากกว่าโลกมนุษย์อีก เช่น พวกมาร อมนุษย์ อสูรกาย เปรตและอื่นๆอีกมาก ถ้ายิ่งเป็นนายเวรเก่าของท่านเดี๋ยวจะแย่เอา ถ้าไม่มีเทวดาคอยดูแล เวลากลับเข้าร่าง อาจเพี้ยนภายหลังได้ ท่านอย่าลืมขอบารมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆพระองค์ช่วยคุ้มครองด้วยนะก่อนที่จะทำแบบนี้ในคราวหลัง"
"อ่อคะ แต่ฉันงงมาก แล้วฉันทำไมอยู่ดีๆกายละเอียดมันออกมาเองหล่ะคะ เป็นแค่จิตตื่นในฝันหรือเปล่าคะ" ฉันถามแบบงงๆ
"ท่านภาวนาตื่นรู้จนดิ่งวูบตกภวังค์นั้น เปรียบเสมือนการเข้าฌานนั่นหละ ท่านได้ฌาน 4 เร็วมากเพราะบุญฤทธิ์แต่ครั้งเก่าก่อนจึงสร้างกายละเอียดให้สามารถเข้าไปสัมผัสโลกอีกมิติได้ตามที่ท่านเคยอธิษฐานไว้" ท่านรพียิ้มและพูดต่อว่า
"จิตมีความเป็นอมตะนะ เพราะตกอยู่ภายใต้กฎแห่งการเกิดดับตลอดเวลา จิตเป็นแค่สภาวะที่รู้อารมณ์ เกิดที่ช่องทวารไหน(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ก็ดับที่ช่องทวารนั้น จิตไม่สามารถออกจากร่างได้เวลานอนหลับนะท่านเตย การสร้างกายละเอียดนั้นปกติ สามารถทำได้โดยอาศัยสติ พลังจิต และอิทธิฤทธิ์ วิธีแยกความแตกต่างคือ การสร้างกายละเอียดจะยังเห็นกายหยาบของตนเองได้และมีสติจดจำรายละเอียดต่างๆได้ครบถ้วน แต่การตื่นในฝันจะไม่สามารถเห็นกายหยาบได้และรายละเอียดที่ไปพบเจอมานั้นอาจจำได้บ้างไม่ได้บ้าง มีสภาพไม่ต่อเนื่อง ท่านเห็นกายหยาบท่านมั้ยหล่ะ ที่นอนข้างๆนั่น" เขาถาม พร้อมพยักหน้าไปทางร่างฉันที่กำลังนอนอยู่
ฉันพยักหน้าหงึกๆ " แล้วเวลาออกมาทำไมออกมาครบทั้งตัวทั้งเสื้อผ้าเดิมมีหมดเลยหละคะ"
"ปกติการถอดกายละเอียดจะต้องมีกำลังสมาธิจากอำนาจฌาน ขณะที่กายละเอียดออกมาจิตท่านที่คุ้นเคยกับรูปนามขันต์จะสร้างรูปสมมติขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทวารทั้ง6(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ได้อาศัย ได้รับอารมณ์เหมือนกายหยาบได้ เหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว ยังยึดติดกับรูปกายเดิม เสื้อผ้าแบบเดิมๆ ปรุงแต่งเป็นรูปสมมติขึ้นมาให้เหมือนก่อนตายเลย ถ้าปรุงแต่งดีก็จะสวยหล่อ แต่ถ้าไปยึดจับภาพที่ไม่ดีของตัวเองตอนตาย ก็ออกมาเหมือนตอนที่จากโลกนี้มาเลยหละ เวลาใครเผลอไปพบเห็นโดยบังเอิญก็นึกว่าพวกเขาเนรมิตรกายมาหลอก แต่เปล่าเลย เขายังไม่รู้เลยว่าจิตเขาปรุงแต่งรูปสมมติไว้แบบนั้นตั้งแต่ตอนที่ตายแล้ว"
"ขอโทษนะคะ ท่านเป็นเทพหรือเป็นอะไร พวกไหนคะถึงได้มาอยู่กับฉันในตอนนี้ ถ้าป้าดามาเห็นนี่ฉันโดนแน่ๆเลย มีผู้ชายอยู่ในห้องกับฉันสองต่อสอง" ฉันมีความกังวล
เขาหัวเราะเบาๆ ในคอ "เรื่องนั้นเดี๋ยวเราจัดการเองไม่ต้องห่วง เราเป็นเทพชั้นยามา
เรามาช่วยดูแลท่านนั่นแหละอย่างที่บอกไป เราเฝ้าดูท่านมาสักพักแล้ว
เรามีวาสนาที่เกื้อกูลกันมาหลายครั้ง ครั้งนี้พอเห็นท่านมาปฏิบัติธรรมเราเลยตามมาดูแล ปกติชาวยามาไม่ค่อยลงมาสุงสิงกับมนุษย์เท่าไหร่เพราะกลิ่นกายเหม็นเหม็นศพเลยหละ" ท่านรพีอธิบาย
"อุ้ย เหม็นอะไรขนาดนั้นคะ แล้วนี่ตัวฉันเหม็นขนาดนั้นมั้ย" ฉันกังวล
"ไม่เลย กลิ่นกายท่านหอมมาก ยิ่งคนมีศีลธรรมจิตใจดี กลิ่นกายจะหอมมาก เราวัดกันที่คุณธรรมนะท่านถ้าเป็นโลกทิพย์"
"แล้วท่านใช่งูใหญ่ที่มาปรากฏกายให้ฉันเห็นบ่อยๆรึเปล่าคะ ฉันขอร้องนะ ฉันกลัวงูมากๆเลย" ฉันกำลังสงสัยว่าเขาคือพญานาคจำแลงกายมารึเปล่า
ท่านรพีหัวเราะเสียงกังวาล "ไม่มีทางหรอก เราไม่ใช่พญานาคนะท่าน จริงๆท่านพญานาคท่านนั้นก็รับทราบและฝากฝังเราให้ดูแลท่านด้วยเช่นกัน"
"อะ อะไรนะ ท่านรู้จักกันด้วยเหรอ ท่านช่วยบอกเขาทีนะว่าอย่ามาหาฉันเลย ฉันกลัวเขามากจริงๆ"
"เรื่องนั้นเราจะบอกเขาให้ แต่เราไม่รับปากท่านหรอกนะว่าจะสำเร็จหรือไม่ เพราะท่านนั้นห้าวหาญเอาการอยู่" ท่านรพีทำสีหน้าเคร่งเครียด
"ท่านรพี ท่านว่าท่านมาจากยามา ยามานี่คือที่ไหนเหรอคะ"
"ยามาเป็นสวรรค์ชั้นที่สาม ท่านรู้จักชื่อสวรรค์อะไรมาก่อนบ้างหรือยัง"
"คุ้นๆว่ามี จาตุมหาราชิกา ชั้นแรกสุดที่ใกล้โลกเราใช่มั้ยคะ แล้วชั้นอื่นๆหละเป็นอย่างไรบ้าง ท่านพอเล่าให้เตยฟังได้มั้ยคะ"
"ได้สิ เราเล่าให้ท่านฟังแล้ว ก็ฟังหูไว้หูนะ อย่าไปยึดติดมากมาย
จริงๆภพภูมิที่เหนือมนุษย์ขึ้นไป มี 3 ชั้นด้วยกันคือ
เทวดาชั้นกามาวจร คือ ผู้ที่ยังเกี่ยวข้องกับกาม กามในที่นี้หมายถึงความใคร่ในกามารมณ์ และหมายรวมถึงความปรารถนาในรูป รส กลิ่น เสียงและการสัมผัส ซึ่งมี 6 ชั้น คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนิมมิตสวัตดี
เทวดาชั้นรูปาวจรภูมิ หรือ รูปพรหม 16 ชั้น เป็นเทวดาที่ยังมีกายทิพย์อยู่ การเข้าฌาน 1-4 ก่อนตาย จิตจะปฏิสนธิ(กำเนิด)ในชั้นเหล่านี้ตามความละเอียดของกำลังฌานในแต่ละชั้น
เทวดาชั้นอรูปาวจรภูมิ หรือ อรูปพรหม เป็นเทวดาซึ่งไม่มีกายทิพย์ เพราะจิตเข้าสู่ อรูปฌาน
ทั้ง 3ภูมินั้นก็ยังหนีทุกข์ไม่พ้น เว้นแต่พรหมชั้นที่ 12-16 ส่วนที่เหลือเมื่อหมดบุญหมดอายุขัยก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อสร้างบุญหรือจะเผลอสร้างบาปได้อีก ยังมีอีกภูมิชื่อว่า โลกุตรภูมิ หรือภูมิที่พ้นโลก เป็นภูมิของพระอริยบุคคล น้อยคนนักที่จะได้ไปถึง (ฉันทำตาลุกวาว) มีภูมิย่อยๆ 4 ชั้นคือ
1.อรหัตโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นสูงสุด) มี 2ประเภท
ประเภทแรกคือ เจโตวิมุตติ เป็นผู้ปฎิบัติสมถกรรมฐานได้ฌานก่อน แล้วเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อจนสำเร็จพระอรหันต์ หรือ ผู้ที่ปฎิบัติเฉพาะวิปัสสนา เมื่อได้มรรคผลนั้นพร้อมกับได้วิชา3 อภิญญา6
ประเภทที่สองคือ ปัญญาวิมุตติ สำเร็จพระอรหันต์ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานล้วนๆ ไม่ได้บำเพ็ญสมถกรรมฐานมาก่อนเลย เรียกว่าสุกขวิปัสสกพระอรหันต์ คือ ผู้ปฏิบัติทำให้ฌานแห้งแล้ง ผู้ถึงภูมินี้เป็นผู้ที่สมควรแก่การบูชาของเหล่าเทพยาดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพราะสิ้นกิเลสด้วยโดยตัดสังโยชน์ 10 ประการได้ สามารถเข้าอรหันตผลสมาบัติ เสวยอารมณ์พระนิพพานได้ตามปรารถนา และไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกในวัฎสงสาร เมื่อถึงอายุขัยก็ดับขันธ์ปรินิพพาน
2.อนาคามีโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นที่ 3)
ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าพระอนาคามี จะไม่กลับมาเกิดในกามวจรภูมิอีก ส่วนใหญ่จะสถิตย์ในสุทธาวาสภูมิในพรหมโลกชั้นที่ 12-16โดยใช้ความเพียรมากน้อยตามกำลังที่สะสมมาเพื่อปรินิพพาน
3.สกทาคามีโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นที่ 2)
ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าถึงพระอริยบุคคลสกทาคามี ซึ่งจะเกิดอีกเพียงชาติเดียวเท่านั้น โดยอาจไปบรรลุอรหันต์ในภูมิมนุษย์หรือภูมิเทวดาตามกำลังบุญ
4.โสดาบันโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลกชั้นที่ 1)
ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าพระอริยะบุคคลโสดาบัน แบ่งเป็น 3 ระดับคือ
เอกพิซีโสดาบัน จะเกิดอีกชาติเดียว แล้วก็บรรลุพระอรหันตผล ปรินิพพาน
โกลังโกลโสดาบัน จะเกิดอีก 2-6 ชาติ เป็นอย่างมากแล้วก็บรรลุพระอรหันตผล ปรินิพพาน
สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน จะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน 7ชาติ แล้วก็จะบรรลุพระอรหันตผล ปรินิพพาน