#ความอภิมหาความซวยมาเยือน! หาครูบาอาจารย์ไม่เป็น เที่ยวไปฟังโมฆะบุรุษอลัชชีอามิสทายาท
ผู้มีปฏิภาณเป็นอย่างไร?
บทว่า พหุสฺสุตํ คือ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ พวก
คือผู้เป็นพหูสูตในปริยัติ ในพระไตรปิฎกโดยเนื้อความทั้งสิ้น ๑
และผู้เป็นพหูสูตในปฏิเวธ เพราะแทงตลอดมรรคผล วิชชาและอภิญญา ๑.
ผู้มีอาคมอันมาแล้ว โดยการทรงจำไว้ได้ ชื่อว่าผู้ทรงธรรม.
ส่วนท่านผู้ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรมอันโอฬาร ชื่อว่าผู้มีคุณยิ่ง.
ท่านผู้มีปฏิภาณอันประกอบแล้ว ผู้มีปฏิภาณอันพ้นแล้ว และผู้มีปฏิภาณทั้งประกอบแล้วทั้งพ้นแล้ว ชื่อว่าผู้มีปฏิภาณ.
อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบผู้มีปฏิภาณ ๓ พวก คือปริยัตติปฏิภาณ ๑ ปริปุจฉาปฏิภาณ ๑ อธิคมปฏิภาณ ๑.
ผู้แจ่มแจ้งในปริยัติ ชื่อว่าปริยัตติปฏิภาณ
#ผู้มีปฏิภาณในปริยัติ.
ผู้แจ่มแจ้งคำสอบถาม เมื่อเขาถามถึงอรรถ ไญยธรรม ลักษณะ ฐานะ อฐานะ ชื่อว่าปริปุจฉาปฏิภาณ
#ผู้มีปฏิภาณในการสอบถาม.
ผู้แทงตลอดคุณวิเศษทั้งหลายมีมรรคเป็นต้น ชื่อว่าปฏิเวธปฏิภาณ
#ผู้มีปฏิภาณในปฏิเวธ.
อรรถกถา ขุททกนิกาย จูฬนิทเทสขัคควิสาณสุตตนิทเทส
บุคคลพึงระลึกถึงเทวดาทั้งหลายว่า เทวดาชั้นจาตุมหาราชมีอยู่ เทวดาชั้นดาวดึงส์มีอยู่ เทวดาชั้นยามามีอยู่ เทวดาชั้นดุสิตมีอยู่ เทวดาชั้นนิมมานรดีมีอยู่ เทวดาชั้นปรนิมมิตสวัสดีมีอยู่ เทวดาชั้นพรหมกายมีอยู่ เทวดาชั้นที่สูงขึ้นไปกว่านั้นมีอยู่
เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ แม้เราก็มีศรัทธาเช่นนั้นอยู่
เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศีลเช่นใดจุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ แม้เราก็มีศีลเช่นนั้น
เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยสุตะเช่นใดจุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆแม้เราก็มีสุตะเช่นนั้น
เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยจาคะเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ แม้เราก็มีจาคะเช่นนั้น
เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยปัญญาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ แม้เราก็มีปัญญาเช่นนั้น
เมื่อเธอระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของตนกับของเทวดาเหล่านั้นอยู่
#จิตย่อมผ่องใสเกิดความปราโมทย์ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้
อนุสสติสูตร พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อที ๒๘๐ หน้า ๒๖๓
เทวตานุสสติกถา
เจริญเทวตานุสสติกัมมัฏฐาน
ก็แหละ โยคีบุคคลผู้มีความประสงค์เพื่อจะเจริญเทวตานุสสติกัมมัฏฐาน พึงเป็นผู้ประกอบด้วยคุณทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้น อันสำเร็จมาด้วยอำนาจอริยมรรค แต่นั้นพึงไปในที่ลับ หลีกเร้นอยู่ ณ เสนาสนะอันสมควร พึงระลึกอยู่เนือง ๆ ถึงคุณทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้นของตน โดยตั้งเทวดาทั้งหลาย ไว้ในฐานะเป็นพยานอย่างนี้ว่า –
เทวดาชาวจาตุมหาราชิกา มีอยู่จริง เทวดาชาวดาวดึงส์ มีอยู่จริง เทวดาชาวยามา มีอยู่จริง เทวดาชาวดุสิต มีอยู่จริง เทวดาชาวนิมมานรดี มีอยู่จริง เทวดาชาวปรนิมมิตวสวัตดี มีอยู่จริง เทวดาชั้นพรหมกายิกา มีอยู่จริง เทวดาชั้นสูงขึ้นไปกว่านั้น ก็มีอยู่จริง เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยศรัทธาชนิดใด ครั้นจุติจากโลกนี้แล้วจึงไปบังเกิดในภพนั้น ๆ ศรัทธาชนิดนั้นแม้ในเราก็มี
เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยศีลชนิดใด ประกอบด้วยสุตะชนิดใด ประกอบด้วยจาคะชนิดใด ประกอบด้วยปัญญาชนิดใด ครั้นจุติจากโลกนี้ไปแล้วจึงไปบังเกิดในภพนั้น ๆ ศีล, สุตะ, จาคะ และปัญญาชนิดนั้น ๆ แม้ในเราก็มีอยู่ ฉะนี้
แต่ว่าในพระสูตร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูก่อนมหานามะ ในสมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกเนือง ๆ ถึงศรัทธา, ศีล, จาคะ และปัญญาของตนและของเทวดาเหล่านั้น ในสมัยนั้น จิตของเธอก็จะไม่ถูกราคะรบกวน ดังนี้ ถึงจะตรัสไว้ดังนั้นก็ตาม แต่นักศึกษา
พึงทราบว่า พระพุทธพจน์นั้นตรัสไว้เพื่อประสงค์จะทรงแสดงถึงคุณอันเสมอกัน ทั้งของเทวดาที่ตั้งไว้ในฐานะเป็นพยาน ทั้งของตน โดยคุณทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้น จริงอยู่ ในอรรถกถาท่านก็กล่าวไว้อย่างมั่นเหมาะว่า ย่อมระลึกเนือง ๆ ถึงคุณทั้งหลายของตน โดยตั้งเทวดาทั้งหลายในฐานะเป็นพยาน
องค์ฌาน ๕ เกิด
เพราะเหตุนั้น เมื่อโยคีบุคคลระลึกอยู่เนือง ๆ ถึงคุณทั้งหลายของเหล่าเทวดา ในภาคต้นแล้ว จึงระลึกเนือง ๆ ถึงคุณทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้นอันมีอยู่ของตนในภายหลังในสมัยนั้น จิตของเธอก็จะไม่ถูกราคะรบกวน จะไม่ถูกโทสะรบกวน จะไม่ถูกโมหะรบกวน ในสมัยนั้น จิตของเธอก็จะปรารภตรงดิ่งถึงเทวดาทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้ องค์ฌานทั้งหลายย่อมบังเกิดขึ้นแก่เธอผู้ข่มนิวรณ์ได้แล้วในขณะเดียวกัน โดยนัยก่อนนั่นแล ก็แหละ เพราะเหตุที่คุณทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้นเป็นสภาพที่ล้ำลึกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุที่โยคีบุคคลน้อมจิตไปในอันระลึกถึงคุณอย่างนานาประการอย่างหนึ่ง ฌานจึงขึ้นไม่ถึงขั้นอัปปนา ขึ้นถึงเพียงขั้นอุปจาระเท่านั้น ฌานนี้นั้นย่อมถึงซึ่งอันนับว่า เทวานุสสติฌาน ก็โดยที่ระลึกถึงคุณมีศรัทธาเป็นต้นเช่นเดียวกับคุณของเทวดาทั้งหลายนั่นเอง
อานิสงส์การเจริญเทวตานุสสติกัมมัฏฐาน
ก็แหละ ภิกษุผู้ประกอบเทวตานุสสติกัมมัฏฐานนี้อยู่เนือง ๆ ย่อมเป็นที่รักใคร่เป็นที่ชอบใจของเทวดาทั้งหลาย ย่อมจะประสบความไพบูลย์ด้วยคุณมีศรัทธาเป็นต้น โดยประมาณยิ่ง เป็นผู้มากล้นด้วยปีติและปราโมทย์ ก็แหละ
#เมื่อยังไม่ได้แทงตลอดคุณวิเศษชั้นสูงขึ้นไป (ในชาตินี้ ) #ก็จะเป็นผู้มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้าเพราะเหตุฉะนั้นแล โยคาวจรบุคคลผู้มีปัญญาดี พึงบำเพ็ญความไม่ประมาทในเทวตานุสสติภาวนา ซึ่งมีอานุภาพอันยิ่งใหญ่ ดังพรรณนามานี้ ในกาลทุกเมื่อ เทอญ
กถามุขพิศดารในเทวตานุสสติกัมมัฏฐาน
ยุติลงเพียงเท่านี้
อานาปานสติ วิปัสสนาญาณ
วิธีกำหนดนามรูป
ก็ภิกษุทำฌาน ๔ และฌาน ๕ ให้บังเกิดแล้วอย่างนี้ ประสงค์จะเจริญกรรมฐาน ด้วยสามารถแห่งสัลลักขณา (คือวิปัสสนา) และวิวัฏฏนา (คือมรรค) และบรรลุความบริสุทธิ์ (คือผล) ในอานาปานสติภาวนานี้ ย่อมทำฌานนั้นแล ให้ถึงภาวะเป็นวสีด้วยอาการ ๕ ให้คล่องแคล่ว
#แล้วกำหนดนามรูปเริ่มตั้งแต่วิปัสสนาอย่างไร?
เพราะพระโยคาวจรนั้นออกจากสมาบัติแล้ว
ย่อมเห็นได้ว่า กรัชกายและจิตเป็นแดนเกิดแห่งลมหายใจออกหายใจเข้า เปรียบเหมือนอย่างว่าอาศัยหลอดแห่งสูบของนายช่างทองที่กำลังพ่นอยู่ และความพยายามอันเหมาะสมแก่หลอดสูบนั้นของบุรุษ ลมจึงสัญจรไปได้ ฉันใด ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ต้องอาศัยกายและจิตจึงสัญจรไปได้ ลำดับนั้นพระโยคาวจร
#ย่อมกำหนดลมหายใจออกเข้าและกายว่าเป็นรูป
#และกำหนดจิตและธรรมอันสัมปยุตกับจิตนั้นว่าเป็นนาม
นี้เป็นความสังเขปในการกำหนดนามรูปซึ่งจักมีแจ้งข้างหน้า
ครั้นกำหนดนามรูปอย่างนี้แล้ว จึงแสวงหาปัจจัยของนามรูปนั้น และเมื่อแสวงหาก็เห็นนามรูปนั้น ปรารภความเป็นไปแห่งนามรูป ข้ามความสงสัยในกาลทั้ง ๓ เสียได้ เป็นผู้ข้ามความสงสัยได้
#แล้วยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์โดยพิจารณาเป็นกลาปะ
ละวิปัสสนูกิเลส ๑๐ ประการมีโอภาสเป็นต้น
อันเกิดขึ้นในส่วนเบื้องต้นแห่งอุทยัพยานุปัสสนาญาณ กำหนดปฏิปทาญาณอันพ้นจากอุปกิเลสแล้วว่าเป็นมรรค ละนามรูปที่เกิดขึ้น บรรลุการตามเห็น ความดับแห่งนามรูป แล้วเบื่อหน่ายคลายความกำหนัดหลุดพ้นในสังขารทั้งปวงที่ปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เพราะเห็นแต่นามรูปที่ดับไปหาระหว่างคั่นมิได้ บรรลุอริยมรรค ๔ ตามลำดับ ดำรงอยู่ในอรหัตผลถึงที่สุดแห่งปัจจเวกขณญาณ ๑๙ ประการ เป็นพระทักขิไณยผู้เลิศของโลกพร้อมทั้งเทวโลก
ก็ด้วยอันดับคำเพียงเท่านี้ เป็นอันจบการเจริญอานาปานสติสมาธิแห่งพระโยคาวจรนั้น นับตั้งต้นแต่การนับจนมีปัจจเวกขณะเป็นที่สุด ฉะนี้แล
วิสุทธิมรรค เล่ม ๒ ภาคสมาธิ ปริเฉทที่ ๘ อนุสสติกัมมัฏฐานนิเทศ หน้าที่ ๖๖ - ๗๐
#รีบสั่งสมสุตตะ!อย่างถูกต้อง อย่าอยู่อย่างขาดทุน สั่งสมสุตตะอย่างผิดๆ
ผู้สั่งสมสุตตะแบบปริยัติงูพิษ สั่งสมสุตตะกับสัทธรรมปฎิรูป สั่งสมการสร้างสัทธรรมปฎิรูป มีทุคคติภูมิมีอบายเป็นที่ไป
ผู้มีปฏิภาณเป็นอย่างไร?
บทว่า พหุสฺสุตํ คือ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ พวก
คือผู้เป็นพหูสูตในปริยัติ ในพระไตรปิฎกโดยเนื้อความทั้งสิ้น ๑
และผู้เป็นพหูสูตในปฏิเวธ เพราะแทงตลอดมรรคผล วิชชาและอภิญญา ๑.
ผู้มีอาคมอันมาแล้ว โดยการทรงจำไว้ได้ ชื่อว่าผู้ทรงธรรม.
ส่วนท่านผู้ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรมอันโอฬาร ชื่อว่าผู้มีคุณยิ่ง.
ท่านผู้มีปฏิภาณอันประกอบแล้ว ผู้มีปฏิภาณอันพ้นแล้ว และผู้มีปฏิภาณทั้งประกอบแล้วทั้งพ้นแล้ว ชื่อว่าผู้มีปฏิภาณ.
อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบผู้มีปฏิภาณ ๓ พวก คือปริยัตติปฏิภาณ ๑ ปริปุจฉาปฏิภาณ ๑ อธิคมปฏิภาณ ๑.
ผู้แจ่มแจ้งในปริยัติ ชื่อว่าปริยัตติปฏิภาณ
#ผู้มีปฏิภาณในปริยัติ.
ผู้แจ่มแจ้งคำสอบถาม เมื่อเขาถามถึงอรรถ ไญยธรรม ลักษณะ ฐานะ อฐานะ ชื่อว่าปริปุจฉาปฏิภาณ
#ผู้มีปฏิภาณในการสอบถาม.
ผู้แทงตลอดคุณวิเศษทั้งหลายมีมรรคเป็นต้น ชื่อว่าปฏิเวธปฏิภาณ
#ผู้มีปฏิภาณในปฏิเวธ.
อรรถกถา ขุททกนิกาย จูฬนิทเทสขัคควิสาณสุตตนิทเทส
บุคคลพึงระลึกถึงเทวดาทั้งหลายว่า เทวดาชั้นจาตุมหาราชมีอยู่ เทวดาชั้นดาวดึงส์มีอยู่ เทวดาชั้นยามามีอยู่ เทวดาชั้นดุสิตมีอยู่ เทวดาชั้นนิมมานรดีมีอยู่ เทวดาชั้นปรนิมมิตสวัสดีมีอยู่ เทวดาชั้นพรหมกายมีอยู่ เทวดาชั้นที่สูงขึ้นไปกว่านั้นมีอยู่
เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ แม้เราก็มีศรัทธาเช่นนั้นอยู่
เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศีลเช่นใดจุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ แม้เราก็มีศีลเช่นนั้น
เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยสุตะเช่นใดจุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆแม้เราก็มีสุตะเช่นนั้น
เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยจาคะเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ แม้เราก็มีจาคะเช่นนั้น
เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยปัญญาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ แม้เราก็มีปัญญาเช่นนั้น
เมื่อเธอระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของตนกับของเทวดาเหล่านั้นอยู่
#จิตย่อมผ่องใสเกิดความปราโมทย์ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้
อนุสสติสูตร พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อที ๒๘๐ หน้า ๒๖๓
เทวตานุสสติกถา
เจริญเทวตานุสสติกัมมัฏฐาน
ก็แหละ โยคีบุคคลผู้มีความประสงค์เพื่อจะเจริญเทวตานุสสติกัมมัฏฐาน พึงเป็นผู้ประกอบด้วยคุณทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้น อันสำเร็จมาด้วยอำนาจอริยมรรค แต่นั้นพึงไปในที่ลับ หลีกเร้นอยู่ ณ เสนาสนะอันสมควร พึงระลึกอยู่เนือง ๆ ถึงคุณทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้นของตน โดยตั้งเทวดาทั้งหลาย ไว้ในฐานะเป็นพยานอย่างนี้ว่า –
เทวดาชาวจาตุมหาราชิกา มีอยู่จริง เทวดาชาวดาวดึงส์ มีอยู่จริง เทวดาชาวยามา มีอยู่จริง เทวดาชาวดุสิต มีอยู่จริง เทวดาชาวนิมมานรดี มีอยู่จริง เทวดาชาวปรนิมมิตวสวัตดี มีอยู่จริง เทวดาชั้นพรหมกายิกา มีอยู่จริง เทวดาชั้นสูงขึ้นไปกว่านั้น ก็มีอยู่จริง เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยศรัทธาชนิดใด ครั้นจุติจากโลกนี้แล้วจึงไปบังเกิดในภพนั้น ๆ ศรัทธาชนิดนั้นแม้ในเราก็มี
เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยศีลชนิดใด ประกอบด้วยสุตะชนิดใด ประกอบด้วยจาคะชนิดใด ประกอบด้วยปัญญาชนิดใด ครั้นจุติจากโลกนี้ไปแล้วจึงไปบังเกิดในภพนั้น ๆ ศีล, สุตะ, จาคะ และปัญญาชนิดนั้น ๆ แม้ในเราก็มีอยู่ ฉะนี้
แต่ว่าในพระสูตร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูก่อนมหานามะ ในสมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกเนือง ๆ ถึงศรัทธา, ศีล, จาคะ และปัญญาของตนและของเทวดาเหล่านั้น ในสมัยนั้น จิตของเธอก็จะไม่ถูกราคะรบกวน ดังนี้ ถึงจะตรัสไว้ดังนั้นก็ตาม แต่นักศึกษา
พึงทราบว่า พระพุทธพจน์นั้นตรัสไว้เพื่อประสงค์จะทรงแสดงถึงคุณอันเสมอกัน ทั้งของเทวดาที่ตั้งไว้ในฐานะเป็นพยาน ทั้งของตน โดยคุณทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้น จริงอยู่ ในอรรถกถาท่านก็กล่าวไว้อย่างมั่นเหมาะว่า ย่อมระลึกเนือง ๆ ถึงคุณทั้งหลายของตน โดยตั้งเทวดาทั้งหลายในฐานะเป็นพยาน
องค์ฌาน ๕ เกิด
เพราะเหตุนั้น เมื่อโยคีบุคคลระลึกอยู่เนือง ๆ ถึงคุณทั้งหลายของเหล่าเทวดา ในภาคต้นแล้ว จึงระลึกเนือง ๆ ถึงคุณทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้นอันมีอยู่ของตนในภายหลังในสมัยนั้น จิตของเธอก็จะไม่ถูกราคะรบกวน จะไม่ถูกโทสะรบกวน จะไม่ถูกโมหะรบกวน ในสมัยนั้น จิตของเธอก็จะปรารภตรงดิ่งถึงเทวดาทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้ องค์ฌานทั้งหลายย่อมบังเกิดขึ้นแก่เธอผู้ข่มนิวรณ์ได้แล้วในขณะเดียวกัน โดยนัยก่อนนั่นแล ก็แหละ เพราะเหตุที่คุณทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้นเป็นสภาพที่ล้ำลึกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุที่โยคีบุคคลน้อมจิตไปในอันระลึกถึงคุณอย่างนานาประการอย่างหนึ่ง ฌานจึงขึ้นไม่ถึงขั้นอัปปนา ขึ้นถึงเพียงขั้นอุปจาระเท่านั้น ฌานนี้นั้นย่อมถึงซึ่งอันนับว่า เทวานุสสติฌาน ก็โดยที่ระลึกถึงคุณมีศรัทธาเป็นต้นเช่นเดียวกับคุณของเทวดาทั้งหลายนั่นเอง
อานิสงส์การเจริญเทวตานุสสติกัมมัฏฐาน
ก็แหละ ภิกษุผู้ประกอบเทวตานุสสติกัมมัฏฐานนี้อยู่เนือง ๆ ย่อมเป็นที่รักใคร่เป็นที่ชอบใจของเทวดาทั้งหลาย ย่อมจะประสบความไพบูลย์ด้วยคุณมีศรัทธาเป็นต้น โดยประมาณยิ่ง เป็นผู้มากล้นด้วยปีติและปราโมทย์ ก็แหละ
#เมื่อยังไม่ได้แทงตลอดคุณวิเศษชั้นสูงขึ้นไป (ในชาตินี้ ) #ก็จะเป็นผู้มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้าเพราะเหตุฉะนั้นแล โยคาวจรบุคคลผู้มีปัญญาดี พึงบำเพ็ญความไม่ประมาทในเทวตานุสสติภาวนา ซึ่งมีอานุภาพอันยิ่งใหญ่ ดังพรรณนามานี้ ในกาลทุกเมื่อ เทอญ
กถามุขพิศดารในเทวตานุสสติกัมมัฏฐาน
ยุติลงเพียงเท่านี้
อานาปานสติ วิปัสสนาญาณ
วิธีกำหนดนามรูป
ก็ภิกษุทำฌาน ๔ และฌาน ๕ ให้บังเกิดแล้วอย่างนี้ ประสงค์จะเจริญกรรมฐาน ด้วยสามารถแห่งสัลลักขณา (คือวิปัสสนา) และวิวัฏฏนา (คือมรรค) และบรรลุความบริสุทธิ์ (คือผล) ในอานาปานสติภาวนานี้ ย่อมทำฌานนั้นแล ให้ถึงภาวะเป็นวสีด้วยอาการ ๕ ให้คล่องแคล่ว
#แล้วกำหนดนามรูปเริ่มตั้งแต่วิปัสสนาอย่างไร?
เพราะพระโยคาวจรนั้นออกจากสมาบัติแล้ว
ย่อมเห็นได้ว่า กรัชกายและจิตเป็นแดนเกิดแห่งลมหายใจออกหายใจเข้า เปรียบเหมือนอย่างว่าอาศัยหลอดแห่งสูบของนายช่างทองที่กำลังพ่นอยู่ และความพยายามอันเหมาะสมแก่หลอดสูบนั้นของบุรุษ ลมจึงสัญจรไปได้ ฉันใด ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ต้องอาศัยกายและจิตจึงสัญจรไปได้ ลำดับนั้นพระโยคาวจร
#ย่อมกำหนดลมหายใจออกเข้าและกายว่าเป็นรูป
#และกำหนดจิตและธรรมอันสัมปยุตกับจิตนั้นว่าเป็นนาม
นี้เป็นความสังเขปในการกำหนดนามรูปซึ่งจักมีแจ้งข้างหน้า
ครั้นกำหนดนามรูปอย่างนี้แล้ว จึงแสวงหาปัจจัยของนามรูปนั้น และเมื่อแสวงหาก็เห็นนามรูปนั้น ปรารภความเป็นไปแห่งนามรูป ข้ามความสงสัยในกาลทั้ง ๓ เสียได้ เป็นผู้ข้ามความสงสัยได้
#แล้วยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์โดยพิจารณาเป็นกลาปะ
ละวิปัสสนูกิเลส ๑๐ ประการมีโอภาสเป็นต้น
อันเกิดขึ้นในส่วนเบื้องต้นแห่งอุทยัพยานุปัสสนาญาณ กำหนดปฏิปทาญาณอันพ้นจากอุปกิเลสแล้วว่าเป็นมรรค ละนามรูปที่เกิดขึ้น บรรลุการตามเห็น ความดับแห่งนามรูป แล้วเบื่อหน่ายคลายความกำหนัดหลุดพ้นในสังขารทั้งปวงที่ปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เพราะเห็นแต่นามรูปที่ดับไปหาระหว่างคั่นมิได้ บรรลุอริยมรรค ๔ ตามลำดับ ดำรงอยู่ในอรหัตผลถึงที่สุดแห่งปัจจเวกขณญาณ ๑๙ ประการ เป็นพระทักขิไณยผู้เลิศของโลกพร้อมทั้งเทวโลก
ก็ด้วยอันดับคำเพียงเท่านี้ เป็นอันจบการเจริญอานาปานสติสมาธิแห่งพระโยคาวจรนั้น นับตั้งต้นแต่การนับจนมีปัจจเวกขณะเป็นที่สุด ฉะนี้แล
วิสุทธิมรรค เล่ม ๒ ภาคสมาธิ ปริเฉทที่ ๘ อนุสสติกัมมัฏฐานนิเทศ หน้าที่ ๖๖ - ๗๐
#รีบสั่งสมสุตตะ!อย่างถูกต้อง อย่าอยู่อย่างขาดทุน สั่งสมสุตตะอย่างผิดๆ