ทุกวันนี้รู้สึกแย่กับตัวเองมาก ไม่อยากไปไหน ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากคุยกับใคร ไม่อยากรับรู้อะไร ใช้ชีวิตแบบวนลูปเดิม ๆ
มันเริ่มมาจากเราที่เป็นคนไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบอยู่กับคนเยอะ ๆ อึดอัดทุกครั้งเวลาอยู่กับคนมาก ๆ หรือต้องมีปฏิสัมพันธ์พูดคุยกับคนที่ไม่สนิท ไม่เข้าหาใครก่อน และไม่มีความรู้สึกอยากรู้จักผู้คนใหม่ ๆ กลับกัน เรากลับมีความรู้สึกอยากอยู่คนเดียวมากกว่า
ทุกครั้งที่จะพูดคุยกับใครจะคิดเสมอว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรถึงพูดแบบนี้ อีกฝ่ายมีเจตนาอะไรถึงพูดแบบนี้ จนบางครั้งความสนใจเหล่านี้กลบเนื้อหาที่อีกฝ่ายพูดจนเราต่อบทสนทนาไม่ถูก
เราไม่อยากคุยกับใคร ยิ่งไม่สนิทยิ่งไม่อยากคุย ความรู้สึกมันมากขึ้นจนทำให้เราไม่อยากที่จะออกจากบ้านเพราะต้องเจอผู้คนซึ่งบางคนอาจจะเข้ามาพูดคุยทักทายกับเราแต่เราไม่อยากที่จะพูดคุยกับใคร ไม่ว่าจะเป็นญาติ เพื่อน คนรู้จัก
ทุกๆวันเราทำแต่สิ่งเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เราใช้เวลาให้หมดไปวัน ๆ โดยไร้ความรู้สึกของวันข้างหน้า อยู่กับชีวิตเดิม ๆ ฟังเพลงเดิม ๆ ทานอาหารเดิม ๆ อยู่ในที่เดิม ๆ มันรู้สึกเหมือนเป็นที่ของเรา มันควรจะอบอุ่นแต่กลับว่างเปล่า
บางครั้งน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่มีเหตุผล มองทุกสิ่งทุกอย่างแล้วรู้สึกหดหู่ ลืมความร่าเริงในวัยเด็ก ลืมโลกแห่งจินตนาการที่เคยฝัน ความคิดเริ่มที่จะมีแต่ภาพความจริงที่มองเห็นความสุขน้อยลงไปทุก ๆ ที
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตัวเองเป็นคนที่ดูมืดมน พูดน้อย เก็บตัว จนบางครั้งคนรอบข้างก็เริ่มไม่พอใจหรือล้อเลียนเสียดสี ทั้ง ๆ เราอยู่เฉย ๆ ในพื้นที่ของเรา
ในหลาย ๆ ครั้งก็มีการรับรู้ความรู้สึกช้าลง ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแย่ บางครั้งเวลาผ่านไปสักพักถึงจะเข้าใจว่าตัวเองรู้สึกอะไร
เคยมีครั้งนึงที่รู้สึกแย่มากหลังจากนั่งรถเมล์กลับบ้าน เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงถึงรู้ตัวเองว่าทำไมมีอารมณ์ที่ดิ่งลง
ในตอนนั้น จำได้ว่านั่งรถเมล์ในช่วงกลางคืน ใส่หูฟังฟังเพลงและมองออกไปนอกหน้าต่าง มองเห็นป้ายรถเมล์ป้ายหนึ่ง เป็นป้ายที่ไม่มีคน เรามองภาพนั้นเพียงไม่กี่วินาทีแต่กลับรู้สึกแย่ไปหลายชั่วโมง เสียงเพลงดังอยู่ในหูแต่เราฟังไม่รู้เรื่องเลย ในตอนนั้นเสียงความคิดของเราดังขึ้นมา ดังมาก ดังมากกว่าเสียงเพลงที่เปิดจนเกือบสุด เราคิดว่ามันเป็นภาพที่ดูว่างเปล่า หว่าเว้ เงียบเหงา เป็นภาพที่หากสมมติว่าเป็นภาพถ่ายภาพหนึ่ง ภาพที่เห็นนั้นคงเป็นภาพที่สื่อถึงความเศร้า มันช่างเป็นภาพที่ดูเหงา ๆ ในสายตาของเรา พอกลับมาถึงบ้าน ภาพนั้นยังคงติดตา เราร้องไห้ออกมาเพราะสงสารป้ายรถเมล์ที่ไร้ผู้คน เราคิดว่ามันคงเหงามากแน่ ๆ เราตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเรารู้สึกแย่มากหลังจากที่เห็นภาพนั้น เรานั่งทบทวนตัวเองอยู่นาน หลายชั่วโมงผ่านไปเราถึงรู้ตัว... ที่จริงภาพที่เราเห็น ภาพนั้นเป็นแค่ป้ายรถเมล์ธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ความรู้สึกที่ว่ามันดูเหงา มันเป็นความรู้สึกของเราเอง เราเพียงแค่ต้องการที่จะเห็นบางสิ่งบางอย่างมาเติมเต็มภาพที่เราเห็น เราแค่ไม่อยากเห็นป้ายรถเมล์นั้นไร้ผู้คน เราไม่ต้องการให้ป้ายรถเมล์เหงา แต่ทั้งหมดนั่นไม่ใช่เลย ที่เหงาคือตัวเราเอง... ในตอนนั้นเราเพิ่งรู้สึกตัวว่าเรากำลังเหงา ความรู้สึกในตอนนั้นคือ ความเหงา
มีอีกหลายครั้งที่อยู่ ๆ เราก็รู้สึกแย่ขึ้นมา อยู่ ๆ ก็ร้องไห้ อยู่ ๆ เสียงความคิดก็ดังขึ้นมา ทุกอย่างดูหดหู่ โลกกลายเป็นสีเทา ทำอะไรก็ไม่สนุก ทานอะไรก็ไม่อร่อย มีความสุขได้แต่ไม่สุด เหมือนมีจุดเล็ก ๆ ในใจที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ยังคงมีความหดหู่อยู่เสมอ มุมเล็ก ๆ ในใจที่ไม่ว่าใครก็เข้าไปไม่ได้ พื้นที่เล็ก ๆ ในใจที่ไม่มีใครเข้าใจ แม้แต่ตัวเราเอง
เราอยากจะเป็นคนที่ร่าเริง อยากจะมองโลกอย่างมีความสุข อยากที่จะพูดคุยกับคนอื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ อยากที่จะเลิกกดดันตัวเอง อยากจะยิ้มให้กว้างที่สุดด้วยความสุข อยากจะหายหดหู่
พอจะมีวิธีที่จะทำให้กลับมามองโลกในแง่ดีมากขึ้นบ้างไหมคะ?
พอจะมีวิธีที่สามารถทำให้กลับมามองโลกในแง่ดีไหมคะ?
มันเริ่มมาจากเราที่เป็นคนไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบอยู่กับคนเยอะ ๆ อึดอัดทุกครั้งเวลาอยู่กับคนมาก ๆ หรือต้องมีปฏิสัมพันธ์พูดคุยกับคนที่ไม่สนิท ไม่เข้าหาใครก่อน และไม่มีความรู้สึกอยากรู้จักผู้คนใหม่ ๆ กลับกัน เรากลับมีความรู้สึกอยากอยู่คนเดียวมากกว่า
ทุกครั้งที่จะพูดคุยกับใครจะคิดเสมอว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรถึงพูดแบบนี้ อีกฝ่ายมีเจตนาอะไรถึงพูดแบบนี้ จนบางครั้งความสนใจเหล่านี้กลบเนื้อหาที่อีกฝ่ายพูดจนเราต่อบทสนทนาไม่ถูก
เราไม่อยากคุยกับใคร ยิ่งไม่สนิทยิ่งไม่อยากคุย ความรู้สึกมันมากขึ้นจนทำให้เราไม่อยากที่จะออกจากบ้านเพราะต้องเจอผู้คนซึ่งบางคนอาจจะเข้ามาพูดคุยทักทายกับเราแต่เราไม่อยากที่จะพูดคุยกับใคร ไม่ว่าจะเป็นญาติ เพื่อน คนรู้จัก
ทุกๆวันเราทำแต่สิ่งเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เราใช้เวลาให้หมดไปวัน ๆ โดยไร้ความรู้สึกของวันข้างหน้า อยู่กับชีวิตเดิม ๆ ฟังเพลงเดิม ๆ ทานอาหารเดิม ๆ อยู่ในที่เดิม ๆ มันรู้สึกเหมือนเป็นที่ของเรา มันควรจะอบอุ่นแต่กลับว่างเปล่า
บางครั้งน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่มีเหตุผล มองทุกสิ่งทุกอย่างแล้วรู้สึกหดหู่ ลืมความร่าเริงในวัยเด็ก ลืมโลกแห่งจินตนาการที่เคยฝัน ความคิดเริ่มที่จะมีแต่ภาพความจริงที่มองเห็นความสุขน้อยลงไปทุก ๆ ที
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตัวเองเป็นคนที่ดูมืดมน พูดน้อย เก็บตัว จนบางครั้งคนรอบข้างก็เริ่มไม่พอใจหรือล้อเลียนเสียดสี ทั้ง ๆ เราอยู่เฉย ๆ ในพื้นที่ของเรา
ในหลาย ๆ ครั้งก็มีการรับรู้ความรู้สึกช้าลง ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแย่ บางครั้งเวลาผ่านไปสักพักถึงจะเข้าใจว่าตัวเองรู้สึกอะไร
เคยมีครั้งนึงที่รู้สึกแย่มากหลังจากนั่งรถเมล์กลับบ้าน เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงถึงรู้ตัวเองว่าทำไมมีอารมณ์ที่ดิ่งลง
ในตอนนั้น จำได้ว่านั่งรถเมล์ในช่วงกลางคืน ใส่หูฟังฟังเพลงและมองออกไปนอกหน้าต่าง มองเห็นป้ายรถเมล์ป้ายหนึ่ง เป็นป้ายที่ไม่มีคน เรามองภาพนั้นเพียงไม่กี่วินาทีแต่กลับรู้สึกแย่ไปหลายชั่วโมง เสียงเพลงดังอยู่ในหูแต่เราฟังไม่รู้เรื่องเลย ในตอนนั้นเสียงความคิดของเราดังขึ้นมา ดังมาก ดังมากกว่าเสียงเพลงที่เปิดจนเกือบสุด เราคิดว่ามันเป็นภาพที่ดูว่างเปล่า หว่าเว้ เงียบเหงา เป็นภาพที่หากสมมติว่าเป็นภาพถ่ายภาพหนึ่ง ภาพที่เห็นนั้นคงเป็นภาพที่สื่อถึงความเศร้า มันช่างเป็นภาพที่ดูเหงา ๆ ในสายตาของเรา พอกลับมาถึงบ้าน ภาพนั้นยังคงติดตา เราร้องไห้ออกมาเพราะสงสารป้ายรถเมล์ที่ไร้ผู้คน เราคิดว่ามันคงเหงามากแน่ ๆ เราตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเรารู้สึกแย่มากหลังจากที่เห็นภาพนั้น เรานั่งทบทวนตัวเองอยู่นาน หลายชั่วโมงผ่านไปเราถึงรู้ตัว... ที่จริงภาพที่เราเห็น ภาพนั้นเป็นแค่ป้ายรถเมล์ธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ความรู้สึกที่ว่ามันดูเหงา มันเป็นความรู้สึกของเราเอง เราเพียงแค่ต้องการที่จะเห็นบางสิ่งบางอย่างมาเติมเต็มภาพที่เราเห็น เราแค่ไม่อยากเห็นป้ายรถเมล์นั้นไร้ผู้คน เราไม่ต้องการให้ป้ายรถเมล์เหงา แต่ทั้งหมดนั่นไม่ใช่เลย ที่เหงาคือตัวเราเอง... ในตอนนั้นเราเพิ่งรู้สึกตัวว่าเรากำลังเหงา ความรู้สึกในตอนนั้นคือ ความเหงา
มีอีกหลายครั้งที่อยู่ ๆ เราก็รู้สึกแย่ขึ้นมา อยู่ ๆ ก็ร้องไห้ อยู่ ๆ เสียงความคิดก็ดังขึ้นมา ทุกอย่างดูหดหู่ โลกกลายเป็นสีเทา ทำอะไรก็ไม่สนุก ทานอะไรก็ไม่อร่อย มีความสุขได้แต่ไม่สุด เหมือนมีจุดเล็ก ๆ ในใจที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ยังคงมีความหดหู่อยู่เสมอ มุมเล็ก ๆ ในใจที่ไม่ว่าใครก็เข้าไปไม่ได้ พื้นที่เล็ก ๆ ในใจที่ไม่มีใครเข้าใจ แม้แต่ตัวเราเอง
เราอยากจะเป็นคนที่ร่าเริง อยากจะมองโลกอย่างมีความสุข อยากที่จะพูดคุยกับคนอื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ อยากที่จะเลิกกดดันตัวเอง อยากจะยิ้มให้กว้างที่สุดด้วยความสุข อยากจะหายหดหู่
พอจะมีวิธีที่จะทำให้กลับมามองโลกในแง่ดีมากขึ้นบ้างไหมคะ?