เอ็งชั่ว-ข้าเลว!อ้างจดหมาย'รจนา'ฉบับที่2ซัด'อรรถพล'เคลมเร็วไป ชี้เป้ามีโกงอีกเยอะช่วยหาคนผิดลงโทษหน่อย

11 เม.ย.61-ที่กระทรวงศึกษาธิการ ผู้สื่อข่าวรายงายว่า มีผู้ขับรถจักรยานยนต์รับจ้างนำซองเอกสาร จ่าหน้าถึงผู้สื่อข่าวทุกสำนัก มาส่งยังห้องสื่อมวลชน ศธ.โดยพบว่า เป็นจดหมายเปิดผนึกฉบับที่ 2 ของนางรจนา สินที อดีตข้าราชการที่ถูกไล่ออกจากราชการกรณี ทุจริตกองทุนเงินเสมาพัฒนาชีวิต ผู้สื่อข่าวได้สอบถามผู้ขับจักรยานยนต์ดังกล่าว บอกเพียงว่ามีผู้ว่าจ้างจากเมืองทองธานีให้นำเอกสารดังกล่าวที่ห้องสื่อมวลชน ศธ. โดยไม่รู้รายละเอียดอื่นๆ
สำหรับเนื้อความในจดหมายเปิดผนึกฉบับที่2 ระบุว่ากราบเรียน นายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ตามที่ดิฉันนางรจนา สินที อดีตข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการระดับชำนาญการพิเศษซึ่งรับผิดชอบ "กองทุนเสมาพัฒนาชีวิต" ได้กราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรีตามจดหมายเปิดผนึก ฉบับก่อนไปในหลายประเด็น ซึ่งพบว่าทางรัฐบาลได้มีการเร่งรัดบางคดีที่เกิดการทุจริตได้อย่างดีซึ่งทำให้ยุติความเสียหายต่อราชการและประชาชนได้ทันท่วงทีและนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ "อย่างรวดเร็ว" และเป็นธรรมได้บางอันจะทำให้เกิดความยำเกรงต่อไป
ทั้งนี้ การที่ดิฉันได้ออกจดหมายฯ ฉบับที่2 นี้ก็เพื่อนำกราบเรียนข้อความจริงที่สังคมควรจะต้องรับรู้และมีประเด็นที่บ้านเมืองจะได้ประโยชน์จากการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในช่วงเวลานี้กล่าวคือ
1.กรณีของดิฉันที่ได้กราบเรียนไปว่าการพิจารณาโทษทางวินัยนั้น กระทำการโดย เร่งด่วน รวบรัดประเด็นการพิจารณาโทษทางวินัยของดิฉันที่กระทำการโดยเร่งด่วน รวบรัด ผิดหลักการขาดความชอบธรรม ไม่มีการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเรียกสอบสวน ตามที่ควรจะเป็น และเร่งรีบสรุปผลสอบวินัยทันที จำนวนเงินยังไม่ได้ข้อยุติต้องสืบค้น ทั้งนี้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่ในกรณีนี้ก็ส่อพฤติกรรมมีข้อสงสัยให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนและยังลุแก่อำนาจในบางประการอาทิ
1.1 ในการให้ข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์และฉบับอื่นๆฉบับวันที่ 6 เมษายน 2561 หน้าที่ 13 ของนายอรรถพล ตรึกตรอง ประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงระบุว่ามีการนัดหมาย นางรจนา สินที ให้ปากคำในวันที่ 5 เมษายน 2561 และกล่าวว่า "ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้โทรไปคุยกับนางรจนา สินที เพื่อสอบถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยนางรจนา พูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ไม่สดชื่น พร้อมยังยืนยันว่าการดำเนินการเพียงคนเดียว" ซึ่งนายอรรถพล กล่าวเท็จทั้งสิ้น เพราะว่าดิฉันไม่เคยได้รับการติดต่อไปให้ปากคำแต่อย่างใด ส่วนที่แจ้งว่าโทรหาดิฉันนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะโทรศัพท์ของดิฉันได้ถูกเจ้าหน้าที่ป.ป.ท.เก็บไปในวันที่บุกค้นบ้านของดิฉันเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2561 และในช่วงนี้ดิฉันถูกโทษวินัยร้ายแรงไล่ออกจากราชการแล้ว จะให้ไปสอบอะไรอีกท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว "โปรดอย่าพูดปด เอาดีใส่ตัว ชั่วให้คนอื่น"
1.2 ในช่วงเวลาต่อมา นายอรรถพล ก็ได้ให้ข้อมูลต่อสื่อว่าดิฉันเข้าไปเกี่ยวข้องกับการโอนเงินไปให้บุคคล หน่วยงานอีกหลายแห่ง แม้กระทั่งว่าบังคับให้เด็กเปิดบัญชีเอาเงินผ่านเพื่อ "โกงรัฐ" อย่างน่าอับอาย ซึ่งไม่เป็นความจริง
1.3 ขณะเดียวกัน ก็ใช้อำนาจเรียก โดยวาจาให้ข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับกรณีของดิฉันมารายงานตัวให้ข้อมูล ทั้งที่คนเหล่านี้ยังบริสุทธิ์และบางคนไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ
ด้วยความเคารพต่ออดีตผู้บังคับบัญชาดิฉันกล้ารับถูก รับผิด ถ้าเรากระทำจริง แต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่บางคนที่เข้ามาเกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์รัฐและพิทักษ์ความเป็นธรรมแล้วมีพฤติกรรมดังกล่าวที่ว่า "บุคคลใดกล่าววาจาเป็นเท็จนอกจากจะไม่สุจริตแล้ว จะหาความเที่ยงธรรมก็ลำบากเหลือประดา"
จึงกราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรีโปรดพิจารณาตรวจสอบพฤติกรรมของข้าราชการท่านดังกล่าวเหมาะสมในการทำหน้าที่ตรวจสอบให้ความเป็นธรรมหรือไม่"และอาจเข้าข่ายทำผิดระเบียบวินัยและกฎหมายกรณีการให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆซึ่งอาจทำให้ราชการเสียหายด้วยหรือไม่
2.ในกรณี คดีทุจริตคอรัปชั่นในกระทรวงศึกษาธิการจำนวนมากที่ผ่านมาโปรดสั่งให้ตรวจสอบด้วยว่าความเสียหายเป็นอย่างไร เช่น
2.1 คดีในสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา( สกสค.)หลายคดีความเสียหายหลายพันล้านบาท
2.2 คดีการก่อสร้างสนามฟุตซอลทั่วประเทศ เสียหายหลายร้อยล้านบาท
2.3 โครงการไทยเข้มแข็งของอาชีวศึกษา เสียหายหลายพัน ล้านบาท
2.4 ความเสียหายการสร้างอควาเรียมสงขลา เสียหายกว่าพันล้านบาท
2.5 ความเสียหายโครงการ MOE NET ศธ.เสียหายกว่า 3,000 ล้านบาท
2.6ความเสียหายโครงการ CCTVใต้ เสียหายกว่า400ล้านบาท ฯลฯ
3.กรณีการทุจริต "โกงเงินคนจน" ในกระทรวงพม. เป็นปรากฎการณ์เกิดขึ้นแทบบุกจังหวัดทั่วประเทศ ผู้กระทำผิดจำนวนมา ความเสียหายจำนวนมาก และส่งผลต่อผู้ด้อยโอกาสจำนวนมาก หลักฐานชัดเจน แต่การลงโทษทางวินัยข้าราชการระดับสูง "ให้ออกชั่วคราว" ทำไมไม่กระทำเป็นบรรทัดฐานเดียว กับกรณีของดิฉันซึ่งโทษถึงขั้น"ไล่ออกจากราชการแล้ว"
ท้ายนี้ ดิฉันขอยืนยันว่า จะไม่หนี จะสู้ตามกระบวนการยุติธรรมของไทย และกรณีมีผู้สงสัยว่าจดหมายเปิดผนึก ฉบับลงวันที่5 เมษายน 2561 นั้น เป็นของดิฉันหรือไม่นั้น ดิฉันยืนยันอีกครั้งว่า เป็นความมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะเสนอข้อมูลที่จะเกิดประโยชน์กับสังคมเช่นนี้เป็นระยะ เพื่อปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของดิฉันและของเพื่อนข้าราชการทุกคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ตลอดทั้งเป็นการรักษาผลประโยชน์ของชาติและประเทศให้ถึงที่สุด
ทั้งนี้ จดหมายเปิดผนึกดังกล่าวลงชื่อ ขอแสดงความนับถือ รสนา สินที 11 เมษายน 2561
ด้านนายอรรถพล กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นจดหมายฉบับดังกล่าว แต่ตามที่ในจดหมายดังกล่าวได้ระบุว่า เรื่องที่ตนเองได้โทรไปพูดคุยกับนางรจนา ไม่เป็นความจริงนั้น ต้องยืนยันว่าโทรไปหานางรจนาจริง เพียงแต่จำวันที่ที่แน่ชัดไม่ได้ ซึ่งไม่ต้องการที่จะโต้เถียงในประเด็นใดๆ ต้องการเพียงแค่ให้นางรจนา มาให้ข้อมูลมากกว่า มาช่วยกันหาวิธีการที่จะนำเงินกลับมาคืน เพราะตอนนี้มีเด็กที่ยังรอเงินของกองทุนฯ อยู่จำนวนมาก อีกทั้งตนเองก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายใคร การดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการสืบสวนข้อเท็จจริง ส่วนตัวก็รู้จักกับนางรจนา เพียงแต่ไม่ได้สนิทเท่านั้น อีกทั้งในส่วนที่มีการระบุว่าบังคับให้เด็กเปิดบัญชีเอาเงินผ่าน เพื่อโกงรัฐนั้น เรื่องนี้ตนไม่ได้เป็นคนพูด เพราะเด็กเป็นคนให้ข้อมูลทั้งหมด
http://www.thaipost.net/main/detail/6941
หลั่งน้ำตา! พยานโกงกองทุนเสมาฯ ให้ปากคำ ป.ป.ท.แฉ 'รจนา' เคยสั่งให้โอนเงินกลับสูงสุดหลักแสน
เมื่อเช้าที่ผ่านมา (10 เม.ย.61) นายอรรถพล ตรึกตรอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีการทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมด้วยคณะกรรมการสืบสวนฯ และเจ้าหน้าที่นิติกร ซึ่งปลัด ศธ.ได้มอบให้ไปแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และพยานอีก 1 ปาก เดินทางไปให้ข้อมูลกับ ป.ป.ท.เกี่ยวกับการทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมนำเอกสารหลักฐานไปให้กับ ป.ป.ท.
นายอรรถพล กล่าวว่า ในวันนี้ ตนได้นำเอกสารหลักฐานที่เห็นว่าเป็นประโยชน์กับรูปคดี และเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง จากห้องทำงานของนางรจนา สินที อดีตนักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ ระดับ 8 ที่ถูกไล่ออกจากราชการไปแล้ว พร้อมนำพยานอีก 1 ปาก ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเปิดบัญชีรับโอนเงินจากนางรจนา เดินทางไปให้ปากคำกับ ป.ป.ท. นอกจากนี้ปลัด ศธ.ได้มอบให้นิติกร สป.ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติมต่อ ป.ป.ท.เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย
นายอรรถพล กล่าวว่า ในเช้าวันพรุ่งนี้ (11 เม.ย.) จะมีการประชุมคณะกรรมการกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ซึ่งเท่าที่ตนได้ตรวจสอบเรื่องนี้มาจึงเห็นช่องโหว่ ของกองทุนฯว่าอยู่ตรงไหน ซึ่งมีหลายจุดมาก จึงอยากให้ที่ประชุมพิจารณาในเรื่องการจำกัดความไว้วางใจ และเรื่องกฏระเบียบ เมื่อกำหนดออกมาแล้วอยากให้ปฏิบัติอย่างเคร่งคัด
"ผมดูแล้วว่าที่มาของการทุจริตเงินกองทุนเสมาฯ เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ที่ทุกคนมองข้าม บวกกับความไว้วางใจต่อตัวบุคคล คือไม่ป้องกันความเสี่ยง แต่มองข้ามความเสี่ยง ถ้ามีมาตรการป้องกันความเสี่ยงไว้ เหตุการณ์ครั้งนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น เห็นง่ายๆ คือ กรณีให้คนๆหนึ่งโอนเงินไปที่ไหนก็ตาม กับคนที่แจ้งว่าโอนเงินไปแล้ว ควรจะเป็นคนละคนกัน แต่นี้ปล่อยให้นางรจนา เป็นทั้งคนโอนเงิน และเป็นทั้งคนทำหนังสือแจ้งผู้รับทุนเองด้วย ดังนั้น หากกนางรจนา อยากปรับเปลี่ยนอย่างไรก็แจ้งไปอย่างนั้น ผมจึงมองว่าเป็นเรื่องความประมาทเลินเล่อ ซึ่งต่อไปนี้ก็ต้องเป็นระบบให้มากขึ้น เพราะเจอบทเรียนราคาแพงไปแล้ว โดยจะต้องมาอุดช่องว่าง โดยสามัญสำนึกของคนเป็นผู้บริหารก็ต้องเห็น เพราะช่องว่างมีอยู่ตลอดแนว จะไปตำหนิเฉพาะเจ้าหน้าที่ทั้งหมดก็ไม่ได้ ผู้มีอำนาจก็มีส่วนที่ไม่ได้วางมาตรการ ป้องกันความเสี่ยง ไม่เคยประชุมชี้แจง จะไปมองว่าเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่คุณก็ทำไป หากมองอย่างนี้ไม่ต้องมีระดับสูงก็ได้"
ด้านพยานรายหนึ่ง กล่าวว่า ตนเกิดที่ จ.เชียงราย และเคยได้รับทุนเด็กตกเขียวจากกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต สมัยมาอยู่โรงเรียนประจำที่โรงเรียนศึกษาศึกษาสงเคราะห์บางกรวย จ.นนทบุรี หากจำไม่ผิดประมาณปี 2536–2537 ซึ่งเป็นเด็กทุนตกเขียวรุ่นแรกๆ และได้รับทุนประเภคของใช้-เสื้อผ้า ต่อมาในปี 2548 หลังจากที่ตนเรียนจบชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) แล้วก็ได้มาทำงานในกองทุนเสมาฯที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยการชักนำของนางรจนา ที่ตนนับถือเหมือนเป็นแม่คนที่สอง ช่วงที่ทำงานในกองทุนเสมาฯก็ช่วยงานนางรจนาทุกอย่างที่นางรจนาใช้ เช่น รวบรวมรายชื่อเด็กที่ได้รับทุนเสมาฯทั้งหมดทั่วประเทศ
พยานรายนี้กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า สำหรับตนมองว่านางรจนาเป็นคนดีมาก คอยช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนทุกคน และรักสัตว์มาก เวลาที่ตนมีปัญหาเดือดร้อนนางรจนาก็จะให้คำปรึกษาที่ดีมาก หรือแม้แต่เวลาที่ตนขัดสนไม่มีเงินใช้ นางรจนายังเคยถอดสร้อยคอไปให้ตนจำนำเพื่อนำเงินไปใช้จ่าย และนางรจนาเคยให้ตนเปิดบัญชีเพื่อรับโอนเงินจากกองทุน และก็ให้ตนโอนกลับคืนไปให้ ส่วนการโอนเยอะสุดก็หลักแสนบาท แล้วตนก็โอนคืนกลับไปให้กับนางรจนา โดยที่ไม่เคยถามถึงเหตุผลที่ทำแบบนี้ เนื่องจากตนไม่กล้าถาม จากนั้นในปี 2550 ตนได้ลาออกจากกองทุนเสมาฯ และไปขายโทรศัพย์มือถือกับเพื่อน เพราะช่วงนั้นตนมีลูกและลูกยังเล็กอยู่ จึงอยากมีเวลาเลี้ยงลูกมากขึ้น
"หนูไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะทำแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาในสายตาหนู เขาเป็นคนดีมาก เหมือนแม่คนที่สองของหนู ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ปรึกษาเขาได้ทุกเรื่องและคอยให้ความช่วยเหลือหนูตลอด ถึงแม้นหนูจะออกจากกองทุนไปแล้วก็ตาม" พยานรายนี้ กล่าวทั้งน้ำตา
http://www.naewna.com/local/332241
ดูไปแล้วเงินแผ่นดินถูกนำไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของข้าราชการ นักการเมือง เอกชนทั้งหลายกันจำนวนมาก
สาเหตุของการที่คนจนหรือเด็กยากจนยังจนอยู่ก็คงเป็นเพราะแบบนี้ ไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างที่วางแผนไว้ ไปตกหล่นเสียกลางทาง
คนทำผิดไม่เคยยอมรับผิดเฉพาะตัว โยงไปหาเพื่อนผิดด้วยให้ยุ่งไปหมด
ถ้ารับผิดเป็นเรื่องๆไปก็จบ เรื่องอื่นๆยังมีการตรวจสอบอยู่
นี่ก็หนีหน้า แล้วเขียนจดหมายหาสื่อแทน พยายามจะทำอะไรกันแน่...?
เรื่องของตัวเอง สารภาพให้จบไปเลยค่ะ
อย่าทำแบบโอ๊คหาเรื่องป๋าเลยนะคะ
📸❌~มาลาริน~หาเพื่อน..ฉันผิด-เธอก็ผิด คดีกองทุนเสมาฯ เรียกหาความยุติธรรมแต่ตัวเองไม่เคยคิดถึงความยุติธรรมที่ต้องให้เด็กๆ
เอ็งชั่ว-ข้าเลว!อ้างจดหมาย'รจนา'ฉบับที่2ซัด'อรรถพล'เคลมเร็วไป ชี้เป้ามีโกงอีกเยอะช่วยหาคนผิดลงโทษหน่อย
11 เม.ย.61-ที่กระทรวงศึกษาธิการ ผู้สื่อข่าวรายงายว่า มีผู้ขับรถจักรยานยนต์รับจ้างนำซองเอกสาร จ่าหน้าถึงผู้สื่อข่าวทุกสำนัก มาส่งยังห้องสื่อมวลชน ศธ.โดยพบว่า เป็นจดหมายเปิดผนึกฉบับที่ 2 ของนางรจนา สินที อดีตข้าราชการที่ถูกไล่ออกจากราชการกรณี ทุจริตกองทุนเงินเสมาพัฒนาชีวิต ผู้สื่อข่าวได้สอบถามผู้ขับจักรยานยนต์ดังกล่าว บอกเพียงว่ามีผู้ว่าจ้างจากเมืองทองธานีให้นำเอกสารดังกล่าวที่ห้องสื่อมวลชน ศธ. โดยไม่รู้รายละเอียดอื่นๆ
สำหรับเนื้อความในจดหมายเปิดผนึกฉบับที่2 ระบุว่ากราบเรียน นายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ตามที่ดิฉันนางรจนา สินที อดีตข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการระดับชำนาญการพิเศษซึ่งรับผิดชอบ "กองทุนเสมาพัฒนาชีวิต" ได้กราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรีตามจดหมายเปิดผนึก ฉบับก่อนไปในหลายประเด็น ซึ่งพบว่าทางรัฐบาลได้มีการเร่งรัดบางคดีที่เกิดการทุจริตได้อย่างดีซึ่งทำให้ยุติความเสียหายต่อราชการและประชาชนได้ทันท่วงทีและนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ "อย่างรวดเร็ว" และเป็นธรรมได้บางอันจะทำให้เกิดความยำเกรงต่อไป
ทั้งนี้ การที่ดิฉันได้ออกจดหมายฯ ฉบับที่2 นี้ก็เพื่อนำกราบเรียนข้อความจริงที่สังคมควรจะต้องรับรู้และมีประเด็นที่บ้านเมืองจะได้ประโยชน์จากการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในช่วงเวลานี้กล่าวคือ
1.กรณีของดิฉันที่ได้กราบเรียนไปว่าการพิจารณาโทษทางวินัยนั้น กระทำการโดย เร่งด่วน รวบรัดประเด็นการพิจารณาโทษทางวินัยของดิฉันที่กระทำการโดยเร่งด่วน รวบรัด ผิดหลักการขาดความชอบธรรม ไม่มีการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเรียกสอบสวน ตามที่ควรจะเป็น และเร่งรีบสรุปผลสอบวินัยทันที จำนวนเงินยังไม่ได้ข้อยุติต้องสืบค้น ทั้งนี้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่ในกรณีนี้ก็ส่อพฤติกรรมมีข้อสงสัยให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนและยังลุแก่อำนาจในบางประการอาทิ
1.1 ในการให้ข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์และฉบับอื่นๆฉบับวันที่ 6 เมษายน 2561 หน้าที่ 13 ของนายอรรถพล ตรึกตรอง ประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงระบุว่ามีการนัดหมาย นางรจนา สินที ให้ปากคำในวันที่ 5 เมษายน 2561 และกล่าวว่า "ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้โทรไปคุยกับนางรจนา สินที เพื่อสอบถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยนางรจนา พูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ไม่สดชื่น พร้อมยังยืนยันว่าการดำเนินการเพียงคนเดียว" ซึ่งนายอรรถพล กล่าวเท็จทั้งสิ้น เพราะว่าดิฉันไม่เคยได้รับการติดต่อไปให้ปากคำแต่อย่างใด ส่วนที่แจ้งว่าโทรหาดิฉันนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะโทรศัพท์ของดิฉันได้ถูกเจ้าหน้าที่ป.ป.ท.เก็บไปในวันที่บุกค้นบ้านของดิฉันเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2561 และในช่วงนี้ดิฉันถูกโทษวินัยร้ายแรงไล่ออกจากราชการแล้ว จะให้ไปสอบอะไรอีกท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว "โปรดอย่าพูดปด เอาดีใส่ตัว ชั่วให้คนอื่น"
1.2 ในช่วงเวลาต่อมา นายอรรถพล ก็ได้ให้ข้อมูลต่อสื่อว่าดิฉันเข้าไปเกี่ยวข้องกับการโอนเงินไปให้บุคคล หน่วยงานอีกหลายแห่ง แม้กระทั่งว่าบังคับให้เด็กเปิดบัญชีเอาเงินผ่านเพื่อ "โกงรัฐ" อย่างน่าอับอาย ซึ่งไม่เป็นความจริง
1.3 ขณะเดียวกัน ก็ใช้อำนาจเรียก โดยวาจาให้ข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับกรณีของดิฉันมารายงานตัวให้ข้อมูล ทั้งที่คนเหล่านี้ยังบริสุทธิ์และบางคนไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ
ด้วยความเคารพต่ออดีตผู้บังคับบัญชาดิฉันกล้ารับถูก รับผิด ถ้าเรากระทำจริง แต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่บางคนที่เข้ามาเกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์รัฐและพิทักษ์ความเป็นธรรมแล้วมีพฤติกรรมดังกล่าวที่ว่า "บุคคลใดกล่าววาจาเป็นเท็จนอกจากจะไม่สุจริตแล้ว จะหาความเที่ยงธรรมก็ลำบากเหลือประดา"
จึงกราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรีโปรดพิจารณาตรวจสอบพฤติกรรมของข้าราชการท่านดังกล่าวเหมาะสมในการทำหน้าที่ตรวจสอบให้ความเป็นธรรมหรือไม่"และอาจเข้าข่ายทำผิดระเบียบวินัยและกฎหมายกรณีการให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆซึ่งอาจทำให้ราชการเสียหายด้วยหรือไม่
2.ในกรณี คดีทุจริตคอรัปชั่นในกระทรวงศึกษาธิการจำนวนมากที่ผ่านมาโปรดสั่งให้ตรวจสอบด้วยว่าความเสียหายเป็นอย่างไร เช่น
2.1 คดีในสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา( สกสค.)หลายคดีความเสียหายหลายพันล้านบาท
2.2 คดีการก่อสร้างสนามฟุตซอลทั่วประเทศ เสียหายหลายร้อยล้านบาท
2.3 โครงการไทยเข้มแข็งของอาชีวศึกษา เสียหายหลายพัน ล้านบาท
2.4 ความเสียหายการสร้างอควาเรียมสงขลา เสียหายกว่าพันล้านบาท
2.5 ความเสียหายโครงการ MOE NET ศธ.เสียหายกว่า 3,000 ล้านบาท
2.6ความเสียหายโครงการ CCTVใต้ เสียหายกว่า400ล้านบาท ฯลฯ
3.กรณีการทุจริต "โกงเงินคนจน" ในกระทรวงพม. เป็นปรากฎการณ์เกิดขึ้นแทบบุกจังหวัดทั่วประเทศ ผู้กระทำผิดจำนวนมา ความเสียหายจำนวนมาก และส่งผลต่อผู้ด้อยโอกาสจำนวนมาก หลักฐานชัดเจน แต่การลงโทษทางวินัยข้าราชการระดับสูง "ให้ออกชั่วคราว" ทำไมไม่กระทำเป็นบรรทัดฐานเดียว กับกรณีของดิฉันซึ่งโทษถึงขั้น"ไล่ออกจากราชการแล้ว"
ท้ายนี้ ดิฉันขอยืนยันว่า จะไม่หนี จะสู้ตามกระบวนการยุติธรรมของไทย และกรณีมีผู้สงสัยว่าจดหมายเปิดผนึก ฉบับลงวันที่5 เมษายน 2561 นั้น เป็นของดิฉันหรือไม่นั้น ดิฉันยืนยันอีกครั้งว่า เป็นความมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะเสนอข้อมูลที่จะเกิดประโยชน์กับสังคมเช่นนี้เป็นระยะ เพื่อปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของดิฉันและของเพื่อนข้าราชการทุกคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ตลอดทั้งเป็นการรักษาผลประโยชน์ของชาติและประเทศให้ถึงที่สุด
ทั้งนี้ จดหมายเปิดผนึกดังกล่าวลงชื่อ ขอแสดงความนับถือ รสนา สินที 11 เมษายน 2561
ด้านนายอรรถพล กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นจดหมายฉบับดังกล่าว แต่ตามที่ในจดหมายดังกล่าวได้ระบุว่า เรื่องที่ตนเองได้โทรไปพูดคุยกับนางรจนา ไม่เป็นความจริงนั้น ต้องยืนยันว่าโทรไปหานางรจนาจริง เพียงแต่จำวันที่ที่แน่ชัดไม่ได้ ซึ่งไม่ต้องการที่จะโต้เถียงในประเด็นใดๆ ต้องการเพียงแค่ให้นางรจนา มาให้ข้อมูลมากกว่า มาช่วยกันหาวิธีการที่จะนำเงินกลับมาคืน เพราะตอนนี้มีเด็กที่ยังรอเงินของกองทุนฯ อยู่จำนวนมาก อีกทั้งตนเองก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายใคร การดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการสืบสวนข้อเท็จจริง ส่วนตัวก็รู้จักกับนางรจนา เพียงแต่ไม่ได้สนิทเท่านั้น อีกทั้งในส่วนที่มีการระบุว่าบังคับให้เด็กเปิดบัญชีเอาเงินผ่าน เพื่อโกงรัฐนั้น เรื่องนี้ตนไม่ได้เป็นคนพูด เพราะเด็กเป็นคนให้ข้อมูลทั้งหมด
http://www.thaipost.net/main/detail/6941
หลั่งน้ำตา! พยานโกงกองทุนเสมาฯ ให้ปากคำ ป.ป.ท.แฉ 'รจนา' เคยสั่งให้โอนเงินกลับสูงสุดหลักแสน
เมื่อเช้าที่ผ่านมา (10 เม.ย.61) นายอรรถพล ตรึกตรอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีการทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมด้วยคณะกรรมการสืบสวนฯ และเจ้าหน้าที่นิติกร ซึ่งปลัด ศธ.ได้มอบให้ไปแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และพยานอีก 1 ปาก เดินทางไปให้ข้อมูลกับ ป.ป.ท.เกี่ยวกับการทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมนำเอกสารหลักฐานไปให้กับ ป.ป.ท.
นายอรรถพล กล่าวว่า ในวันนี้ ตนได้นำเอกสารหลักฐานที่เห็นว่าเป็นประโยชน์กับรูปคดี และเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง จากห้องทำงานของนางรจนา สินที อดีตนักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ ระดับ 8 ที่ถูกไล่ออกจากราชการไปแล้ว พร้อมนำพยานอีก 1 ปาก ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเปิดบัญชีรับโอนเงินจากนางรจนา เดินทางไปให้ปากคำกับ ป.ป.ท. นอกจากนี้ปลัด ศธ.ได้มอบให้นิติกร สป.ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติมต่อ ป.ป.ท.เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย
นายอรรถพล กล่าวว่า ในเช้าวันพรุ่งนี้ (11 เม.ย.) จะมีการประชุมคณะกรรมการกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ซึ่งเท่าที่ตนได้ตรวจสอบเรื่องนี้มาจึงเห็นช่องโหว่ ของกองทุนฯว่าอยู่ตรงไหน ซึ่งมีหลายจุดมาก จึงอยากให้ที่ประชุมพิจารณาในเรื่องการจำกัดความไว้วางใจ และเรื่องกฏระเบียบ เมื่อกำหนดออกมาแล้วอยากให้ปฏิบัติอย่างเคร่งคัด
"ผมดูแล้วว่าที่มาของการทุจริตเงินกองทุนเสมาฯ เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ที่ทุกคนมองข้าม บวกกับความไว้วางใจต่อตัวบุคคล คือไม่ป้องกันความเสี่ยง แต่มองข้ามความเสี่ยง ถ้ามีมาตรการป้องกันความเสี่ยงไว้ เหตุการณ์ครั้งนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น เห็นง่ายๆ คือ กรณีให้คนๆหนึ่งโอนเงินไปที่ไหนก็ตาม กับคนที่แจ้งว่าโอนเงินไปแล้ว ควรจะเป็นคนละคนกัน แต่นี้ปล่อยให้นางรจนา เป็นทั้งคนโอนเงิน และเป็นทั้งคนทำหนังสือแจ้งผู้รับทุนเองด้วย ดังนั้น หากกนางรจนา อยากปรับเปลี่ยนอย่างไรก็แจ้งไปอย่างนั้น ผมจึงมองว่าเป็นเรื่องความประมาทเลินเล่อ ซึ่งต่อไปนี้ก็ต้องเป็นระบบให้มากขึ้น เพราะเจอบทเรียนราคาแพงไปแล้ว โดยจะต้องมาอุดช่องว่าง โดยสามัญสำนึกของคนเป็นผู้บริหารก็ต้องเห็น เพราะช่องว่างมีอยู่ตลอดแนว จะไปตำหนิเฉพาะเจ้าหน้าที่ทั้งหมดก็ไม่ได้ ผู้มีอำนาจก็มีส่วนที่ไม่ได้วางมาตรการ ป้องกันความเสี่ยง ไม่เคยประชุมชี้แจง จะไปมองว่าเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่คุณก็ทำไป หากมองอย่างนี้ไม่ต้องมีระดับสูงก็ได้"
ด้านพยานรายหนึ่ง กล่าวว่า ตนเกิดที่ จ.เชียงราย และเคยได้รับทุนเด็กตกเขียวจากกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต สมัยมาอยู่โรงเรียนประจำที่โรงเรียนศึกษาศึกษาสงเคราะห์บางกรวย จ.นนทบุรี หากจำไม่ผิดประมาณปี 2536–2537 ซึ่งเป็นเด็กทุนตกเขียวรุ่นแรกๆ และได้รับทุนประเภคของใช้-เสื้อผ้า ต่อมาในปี 2548 หลังจากที่ตนเรียนจบชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) แล้วก็ได้มาทำงานในกองทุนเสมาฯที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยการชักนำของนางรจนา ที่ตนนับถือเหมือนเป็นแม่คนที่สอง ช่วงที่ทำงานในกองทุนเสมาฯก็ช่วยงานนางรจนาทุกอย่างที่นางรจนาใช้ เช่น รวบรวมรายชื่อเด็กที่ได้รับทุนเสมาฯทั้งหมดทั่วประเทศ
พยานรายนี้กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า สำหรับตนมองว่านางรจนาเป็นคนดีมาก คอยช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนทุกคน และรักสัตว์มาก เวลาที่ตนมีปัญหาเดือดร้อนนางรจนาก็จะให้คำปรึกษาที่ดีมาก หรือแม้แต่เวลาที่ตนขัดสนไม่มีเงินใช้ นางรจนายังเคยถอดสร้อยคอไปให้ตนจำนำเพื่อนำเงินไปใช้จ่าย และนางรจนาเคยให้ตนเปิดบัญชีเพื่อรับโอนเงินจากกองทุน และก็ให้ตนโอนกลับคืนไปให้ ส่วนการโอนเยอะสุดก็หลักแสนบาท แล้วตนก็โอนคืนกลับไปให้กับนางรจนา โดยที่ไม่เคยถามถึงเหตุผลที่ทำแบบนี้ เนื่องจากตนไม่กล้าถาม จากนั้นในปี 2550 ตนได้ลาออกจากกองทุนเสมาฯ และไปขายโทรศัพย์มือถือกับเพื่อน เพราะช่วงนั้นตนมีลูกและลูกยังเล็กอยู่ จึงอยากมีเวลาเลี้ยงลูกมากขึ้น
"หนูไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะทำแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาในสายตาหนู เขาเป็นคนดีมาก เหมือนแม่คนที่สองของหนู ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ปรึกษาเขาได้ทุกเรื่องและคอยให้ความช่วยเหลือหนูตลอด ถึงแม้นหนูจะออกจากกองทุนไปแล้วก็ตาม" พยานรายนี้ กล่าวทั้งน้ำตา
http://www.naewna.com/local/332241
ดูไปแล้วเงินแผ่นดินถูกนำไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของข้าราชการ นักการเมือง เอกชนทั้งหลายกันจำนวนมาก
สาเหตุของการที่คนจนหรือเด็กยากจนยังจนอยู่ก็คงเป็นเพราะแบบนี้ ไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างที่วางแผนไว้ ไปตกหล่นเสียกลางทาง
คนทำผิดไม่เคยยอมรับผิดเฉพาะตัว โยงไปหาเพื่อนผิดด้วยให้ยุ่งไปหมด
ถ้ารับผิดเป็นเรื่องๆไปก็จบ เรื่องอื่นๆยังมีการตรวจสอบอยู่
นี่ก็หนีหน้า แล้วเขียนจดหมายหาสื่อแทน พยายามจะทำอะไรกันแน่...?
เรื่องของตัวเอง สารภาพให้จบไปเลยค่ะ
อย่าทำแบบโอ๊คหาเรื่องป๋าเลยนะคะ