ม่านหัวใจ อุ่นไอรัก บทที่ 5 : แพะรับบาป

กระทู้สนทนา
เรื่องโดย ฉัตรชณา

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


บทที่ 5

แพะรับบาป


เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ข้อมูลสำคัญในโครงการของลูกค้ารายหนึ่งของศิลาพัฒน์รั่วไหลออกไปภายนอก ศิลาพัฒน์กรุ๊ปถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย และสูญเสียความไว้ใจจากลูกค้าจนประสบสภาวะวิกฤติ หวุดหวิดจะล้มละลาย สิสิระพยายามอย่างหนักที่จะสืบหาความจริงรวมทั้งหลักฐานและพยานต่างๆ แต่กลับพบว่าหลักฐานทุกอย่าง ถ้าไม่หายก็บังเอิญต้องถูกทำลายไปจนหมด แต่ในที่สุดสิสิระก็ได้พบกับหลักฐานสำคัญที่ทำให้เขารู้ตัวคนทำผิด ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองโชคดี หรือไม่ก็เป็นเพราะเทวดาช่วย ใครบางคนถึงได้ทำสำเนาม้วนเทปจากกล้องวงจรปิด ที่บันทึกภาพเหตุการณ์บนลานจอดรถในคืนวันเกิดเหตุคืนนั้นเอาไว้  และมันก็ไม่ได้ถูกนำไปทำลายเหมือนกับหลักฐานชิ้นอื่นๆ จนกระทั่งเขาไปเจอมันหลังจากที่เวลาผ่านไปนานถึงหกเดือน

กลางดึกของค่ำคืนในฤดูร้อน รถญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่เลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถของตึกศิลาพัฒน์ และในทันทีที่รถจอดสนิทร่างสันทัดของคนที่คุ้นตาก็ก้าวลงมาจากรถด้วยท่าทางอันรุกลี้รุกลนจนดูไม่เป็นปกติ ในมือของเขามีของบางอย่างที่เจ้าตัวถือไว้ในลักษณะหวงแหน แสดงให้เห็นว่าสิ่งนั้นต้องเป็นของที่มีความสำคัญมากเลยทีเดียว

ในนาทีต่อมารถอีกคันหนึ่งก็เข้ามาจอดเทียบตรงด้านข้าง ร่างสันทัดรีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับก้มศีรษะด้วยท่าทีพินอบพิเทา และทันที่ทีคนด้านในกดกระจกรถลง ชายร่างสันทัดก็ยื่นส่งของในมือไปให้ น่าเสียดายที่มุมกล้องไม่อาจแสดงให้เห็นถึงคนที่นั่งอยู่ด้านในของตัวรถ  ทั้งหมดเป็นภาพที่บันทึกไว้ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหล ดูจากรูปการณ์แล้วสิสิระมั่นใจว่าต้องมีคนอื่นๆ อีกหลายคน ร่วมอยู่ในขบวนการนี้อย่างแน่นอน

แต่ที่แน่ๆ คือ ตอนนี้สิสิระรู้แล้วว่าการที่ข้อมูลสำคัญของบริษัทลูกค้ารั่วไหลไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นฝีมือของใครบางคนที่ได้ประโยชน์จากวิกฤติที่เกิดขึ้นกับศิลาพัฒน์ ภควัตกับคีตาที่ยืนดูอยู่ด้วยกันข้างๆ พร้อมใจกันตบบ่าเพื่อนอย่างให้กำลังใจ ในช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัส สิสิระโชคดีที่ยังมีเพื่อนที่สนิทและรู้ใจกันอย่างภควัตกับคีตาคอยให้กำลังใจไม่ห่าง

“นายจะทำยังไงต่อไป” ภควัตถามอย่างกังวล เขารู้พอๆ กับที่เจ้าตัวรู้ว่านับจากนี้เรื่องยุ่งๆ รอบๆ ตัวเพื่อนรักของเขา มันจะยิ่งสับสนวุ่นวายมากขึ้นไปอีก

“ก็ต้องสืบต่อ เพราะถึงจะรู้ตัวคนปล่อยข้อมูลแล้ว แต่เรายังไม่รู้อยู่ดีว่าใครเป็นคนบงการ”

“แล้วไอ้หมอนี่มันเป็นใคร” คีตาพยักหน้าไปทางชายร่างสันทัดที่มีภาพปรากฏอยู่บนจอ อันเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งบันทึกภาพเหตุการณ์ภายในลานจอดรถของศิลาพัฒน์กรุ๊ป และเป็นคืนเดียวกันกับที่เกิดเหตุการณ์ข้อมูลของบริษัทคู่ค้ารั่วไหล จนเป็นเหตุให้ศิลาพัฒน์ต้องถูกฟ้องร้อง และตกอยู่ในสภาวะวิกฤติ

“นายศรัณย์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ของบริษัท แถมยังเป็นคนที่คุณพ่อฉันไว้ใจมากด้วย” สิสิระตอบพร้อมกับหันไปจ้องหน้าจอตามเพื่อน ราวกับจะจดจำใบหน้าของคนในภาพไว้ให้ขึ้นใจ

“พวกมันเลือกคนได้ถูกคนจริงๆ แปลว่ามันต้องรู้ว่าใครเป็นใครในบริษัทของนายด้วย” ภควัตออกความเห็น สวนคีตาฟังแล้วเริ่มจะคิดตาม ถึงเขาจะเป็นจิตรกร ไม่ใช่นักธุรกิจผู้แสนชาญฉลาดอย่างสิสิระ หรือแม้แต่นักคิดนักการตลาดอย่างภควัต แต่จากประสบการณ์ และความชอบดูหนังประเภทสืบสวนสอบสวนทำให้เขาพอจะเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก

“มันถึงได้เลือกหมอนี่ไง แต่ฉันเชื่อว่ายังมีคนอื่นๆ ทีให้ความร่วมมือกับนายศรันย์อีก”

“นั่นสิ เรื่องแบบนี้ทำคนเดียวไม่ได้หรอก นายสงสัยใครบ้างรึเปล่า” ภควัตเองก็คิดเหมือนกับคีตา ชายหนุ่มจึงหันมาถามกับสิสิระ

“ใครที่รู้รหัสเข้าระบบ ใครที่สามารถเข้าไปให้ห้องเก็บข้อมูลได้ ใครที่รู้ว่าข้อมูลของลูกค้าเก็บอยู่ในเซอร์ฟเวอร์ไหน  ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับศูนย์คอมหลัก คนที่อยู่ในศูนย์รักษาความปลอดภัยประจำตึก ใครก็ตามที่อยู่ในข่ายนี้เป็นต้องสงสัยทั้งหมด” สิสิระร่ายยาว จนคนฟังฟังแล้วยิ่งหนักใจ

“แล้วนั่นมันทั้งหมดกี่คนกันวะหมอก” คีตาจำเป็นต้องถาม เพราะฟังๆ ไปแล้วก็ยังสรุปไม่ได้ว่าคนร้ายทั้งหมดมันควรจะมีกี่คน และเป็นใครกันบ้าง

“นั่นสิ เยอะขนาดนั้นนายจะไปไล่จับมือใครดมได้หมด กว่าจะตามเจอ มิล้างมือกันจนหมดกลิ่นแล้วเรอะ” ภควัตเปรียบเทียบ แต่เพียงแค่เขาคิดก็เริ่มจะเหนื่อยแทนเพื่อนเสียแล้ว

“ไม่รู้สิ ก็ต้องลองสืบดูก่อน อาจจะหลายคน หรือไม่ก็ไม่มีใครซักคนเลยก็ได้ แย่หน่อยตรงที่มันไม่ทิ้งร่องรอยการแอคเซสไว้เลย แต่อย่างน้อยตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าใครเป็นคนส่งข้อมูลออกไป”

“แล้วนายจะแจ้งความจับมันเลยรึเปล่า” คีตาถามอย่างสงสัย เขาอยากรู้ว่าสิสิระจะดำเนินการอย่างไรกับตัวคนก่อเหตุ

“ยังก่อน” สิสิระตอบ

“หมายความว่าไง” ภควัตฟังคำตอบแล้วพลอยสงสัยตามคีตาไปด้วย

“หมายความว่ายังไม่แจ้งความไง” ทายาทศิลาพัฒน์กรุ๊ป ตอบเหมือนจะกวน

“ไอ้นั่นน่ะรู้แล้ว แต่อยากรู้ว่า ทำไมถึงยังไม่แจ้งจับ ในเมื่อก็เห็นๆ อยู่ว่ามันเป็นคนทำ” ภควัตแทบจับสิสิระเขย่าให้หายหมั่นไส้ ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้เจ้าตัวคนเดือดร้อนยังอุตส่าห์มีอารมณ์มากวน

“ก็ถ้าแจ้งความตอนนี้ มีหวังพวกที่เหลือกับตัวใหญ่คงจะไหวตัวทำลายหลักฐานทิ้งจนหมด คิดจะจับปลาใหญ่ต้องใจเย็นๆ” สิสิระอธิบายให้เพื่อนฟังเป็นเชิงเปรียบเทียบ ทว่าคนฟังกลับทำหน้ายุ่งเพราะฟังแล้วน่าจะยุ่งยาก จับยากพอดู

“ฟังดูเจ้าแผนการดีพิลึก” ภควัตเอ่ยเหมือนจะชม แต่สิสิระฟังแล้วกลับไม่แน่ใจว่ามันคือการชมหรือกระแนะกระแหนเขากันแน่

“เพิ่งรู้เรอะ” คีตาแค่นเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอ

“สรุปว่าจะยังไม่แจ้งความ แต่จะใช้ไอ้หมอนี่เป็นเหยื่อล่อ ว่างั้น” ภควัตสรุปอีกครั้งเพื่อให้ทุกคนเข้าใจง่ายขึ้นโดยเฉพาะตัวเขาเอง

“ทำนองนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐาน หรือรู้อะไรที่แน่ชัด เราไปกล่าวหาใครลอยๆ ไม่ได้หรอก หลักฐานเท่าที่มีตอนนี้ก็เอาผิดหมอนี้ได้แค่คนเดียว ถ้าจะขยายผลก็ต้องหาหลักฐานเพิ่ม ซึ่งก็ต้องเริ่มจากนายคนนี้ แต่ฉันสังหรณ์ใจว่า เราอาจได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากหมอนี่ก็เป็นได้”

“ไหนลองอธิบายมาหน่อยซิ อะไรที่นายว่าสังหรณ์ใจ“ ฟังจากที่สิสิระวิเคราะห์แล้วคอหนังสืบสวนอย่างคีตาก็ยิ่งสนใจ ยิ่งไม่ต้องถามถึงภควัต รายนั้นนั่งอ้าปากหวอรอรวบรวมข้อมูลอยู่นานแล้ว

“คนทำงานด้านกลยุทธ์มานาน แถมยังเป็นระดับผู้จัดการอย่างนายศรัณย์ ไม่น่าโง่ถึงขนาดไม่ยอมเก็บหลักฐานอะไรไว้ป้องกันตัวเองเลย”

“ก็จริง” คีตาพยักหน้าเห็นด้วย

“เท่าที่ฉันรู้จัก นายศรัณย์จัดว่าป็นคนรอบคอบมาก เผลอๆ จะทำสำเนาเก็บไว้หลายชุดไว้กันเหนียวด้วยซ้ำ”

“เป็นไปได้มากเลย นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นนักธุรกิจ มีหวังใครๆ ต้องนึกว่านายเป็นตำรวจ หรือไม่ก็นักสืบแหงๆ” คีตาชมสิสิระจากใจ

“สรุปว่านายวางแผนจะแซะหาหลักฐานจากนายคนนี้”

“ก็ต้องงั้นแหละ มันเป็นทางเดียวที่เรามีอยู่ สำหรับตอนนี้นี่นา”

“โอเค เข้าใจแล้ว นายมีอะไรให้เราทำก็บอกมา เรายินดีช่วยเสมอ” ภควัตตบไหล่สิสิระ พร้อมกับบอกให้เขามั่นใจ คำว่า ‘ไม่ได้หมายถึงเพียงตัวเขา แต่หมายรวมไปถึงคีตาด้วยอย่างแน่นอน”

“ขอบใจมากเพื่อน ช่วงเวลาแบบนี้ เรายังนับว่าโชคดีที่มีนายสองคนอยู่เป็นเพื่อน”

“เรามันเพื่อนกันจะมาขอบคงขอบคุณอะไรกัน”

“ใช่ เป็นเพื่อนกันมาก็นาน ยังจะมาพูดจาขอบคุณกันอีก แบบนี้เรียกว่าไม่ใจ รู้ป่ะ” สำเนียงรุ่นบ่งบอกนิสัยคนพูดคีตายังคงเป็นคีตา ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ไหน เจ้าตัวยังอารมณ์ดี ยิ้มเล่น พูดเล่นได้เสมอ

“แล้วพ่อนายล่ะ เป็นยังไงบ้าง” ภควัตวกกลับมาเรื่องที่ยังคงเป็นปมที่สิสิระห่วงจนสลัดไม่หลุด

“ผ่าตัดเสร็จแล้วแต่ยังไม่ฟื้น คงต้องรอฟังจากหมออีกที แต่ต่อไปคงต้องยิ่งระวัง สุขภาพพ่อเปราะบางมาก แค่เรื่องสะเทือนใจนิดๆ หน่อย อาจส่งผลรุนแรงกลายเป็นเรื่องใหญ่ ฉันเลยคิดว่าจะยังไม่บอกพ่อเรื่องนี้ รอไว้ให้ท่านอาการดีขึ้นก่อน คิดอีกทีว่าจะเอายังไง อาจจะไม่บอกเลยก็ได้”

“แล้วเรื่องหมั้นจะเอาไง จะเตะถ่วงรอพ่อฟื้นนี่ท่าจะยาก” พูดไปแล้วภควัตก็หันไปเหลือบมองหน้าน้องชายฝาแฝด ที่ดูๆ แล้วก็ไม่ค่อยจะเหมือนกันซักเท่าไหร่ เพราะความที่อีกฝ่ายออกแนวมาดเซอร์ซะเหลือเกิน

ก่อนหน้านี้การพูดถึงภัทรธิดา หรือเรื่องการหมั้นของสิสิระกับหญิงสาวถือเป็นเรื่องเปราะบางต่อความสัมพันธ์ระหว่างสิสิระกับคีตาอย่างถึงที่สุด แต่โชคดีที่ทั้งสองคนยอมเปิดอกคุยกัน สิสิระยืนยันว่าเขาไม่เคยคิดอะไรกับฝ่ายหญิง แต่เขาจำเป็นต้องเลือกทางนี้เพื่อกู้สถานการณ์ของบริษัท ในขณะที่คีตาก็ยอมรับความจริงว่าภัทรธิดาไม่ได้มีใจให้ตน คีตายิ่งได้ฟังและรับรู้ถึงความจำเป็นที่สิสิระต้องแบกรับ เขาก็ยิ่งเห็นใจเพื่อน และไม่คิดติดใจกับเรื่องนี้อีก นับเป็นความโชคดีในโชคร้ายอย่างหนึ่งของสิสิระเลยทีเดียว

“ไม่รู้เหมือนกัน คงต้องต่อรองดูก่อน” สิสิระบอก ไม่วายชำเลืองมองหน้าคีตาเช่นกัน

คีตาเองก็รู้ว่าทั้งสองคนคิดอย่างไร ถึงเขาจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่ทั้งภควัตกับสิสิระก็ไม่เชื่อ และไม่เลิกเกรงใจเขาเสียที ดังนั้นถ้าเขายิ่งนิ่งทั้งสองคนก็จะยิ่งเข้าใจผิดไปใหญ่ ในทางกลับกันหากว่าเขาพูดอะไรบ้าง บางทีมันอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ คิดแล้วคีตาจึงตัดสินใจเสนอแนะ

“ฉันว่านายโทรให้แม่กลับมาดีกว่า เผื่อว่าท่านจะช่วยนายได้”

“แต่ฉันไม่อยากให้แม่มาอยู่เกี่ยวกับเรื่องนี่ ท่านอยู่ที่โน่นก็สบายดีอยู่แล้ว กลับมาก็ต้องมาพลอยปวดหัวกับเราไปด้วย” สิสิระมีสีหน้าหนักใจ ที่เขาไม่ต้องการให้มารดา ก็เพราะไม่ต้องการให้ท่านรับรู้เรื่องการหมั้นของเขาเท่านั้น

“แต่ฉันเห็นด้วยกับคีตานะหมอก ยังไงๆ นายก็ต้องหมั้น หนีไม่พ้นหรอก ให้แม่มาช่วยน่าจะดีกว่า” ภควัตสำทับคำกับความเห็นของคีตา

“เอาไว้ค่อยคิดอีกทีละกัน ตอนนี้ยังไงก็ต้องดึงเวลาไว้ก่อน สิสิระสรุป

คีตาส่ายหน้ากับความดื้อของเพื่อน  

“ไม่อยากเชื่อเลยว่า คนอย่างนายก็มีช่วงชีวิตที่น้ำเน่ากับเขาเหมือนกัน มิน่าล่ะพักนี้แถวๆ นี้ถึงได้ยุงชุม”

จิตรกรหนุ่มมาดเซอร์พูดพลางทำท่าตบยุง ทั้งสิสิระกับภควัตต่างหลุดจากห้วงความเครียด สามหนุ่มกลับมาขำขันยิ้มหัวกันได้อีกครั้ง ไม่ว่าสถานการณ์รอบตัวจะกดดันสักเพียงไหน แต่วิธีละลายความเครียดของคีตายังคงใช้การได้กับพวกเขาเสมอ

--------------------------------------------
(ยังมีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่