สวัสดีค่ะ เราจะมาบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตของเราเอง วิธีการเข้าใจคำสอนเบื้องต้นที่สามารถนำไปต่อยอดหาความรู้จากใน ธรรมะจากพระโอษฐ์ ต่อไปได้
ลองเปิดไปที่หนังสือ ธรรมะจากพระโอษฐ์สิค่ะ เหตุใดนักศึกษาเริ่มแรกยังอ่านตำรา จากพระโอษฐ์ได้ไม่เข้าใจ เราจะนำความคิดเห็นของเรามาเล่าให้ฟังนะคะ อาจจะตรงกับคุณบ้างก็เป็นได้
เริ่มแรกเราต้องทำความเข้าใจ ขันธ์ 5 ของเราก่อนค่ะ
ความสำคัญของขันธ์ 5 ...
ก็คือ การที่เรามีอุปาทานในขันธ์ทั้ง5 คืออริยสัจข้อที่ 1 : ทุกข์
พุทธองค์ตรัสว่า "ควรกำหนดรู้"
เริ่มแรกเราจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจขันธ์5
1. รูป : ร่างกาย , ดินน้ำลมไฟ , ลมหายใจ
2. เวทนา : ความรู้สึก ทุกข์ สุข อุเบกขา
3. สัญญา : ความจำ // สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเราจำมันได้
4. สังขาร : ความปรุงแต่ง สำหรับนักปฏิบัติผู้ใหม่นั้น เข้าใจในความหมายว่า ความคิด ความวิตกเกี่ยวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น วิตกเกี่ยวกับอนาคต ก็ได้ค่ะ
5. วิญญาณ : ผู้รู้
--------5.1 อายตนะภายใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
--------5.2 อายตนะภายนอก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
อายตนะภายใน และอายตนะภายนอก คือ "สฬายตนะ"
ดังนั้น "สฬายตนะ" คือ
ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายกระทบโผฏฐัพพะ และใจกระทบธรรมารมณ์ ต่างๆ
เกิด "วิญญาณ" ขึ้นมา คือ ตัวรู้ จะไปรู้ได้ทีละตัว ค่ะ ตอนที่เราตื่นอยู่ สฬายตนะ ทำงาน ตลอด ทั้ง6 คู่เลย แต่ วิญญาณเกิดได้ทีละตัว ก็คือ ผู้รู้เราจะไปรู้ได้ทีละตัวค่ะ เช่น เมื่อเกิด วิญญาณทางตา ก็เกิดวิญญาณทางตา เพียงอย่างเดียว หรือ ความรู้แจ้งทางตา ในตอนนั้น
พุทธพจน์ : "การประจบพร้อมแห่งธรรม 3 ประการ คือ ตา รูป และวิญญาณทางตา คือ"ผัสสะ" "
ดังนั้นจะได้สมการนี้ค่ะ "เพราะมี สฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงเกิด ผัสสะ"
ทำไมสฬายนะ จึงเป็นผัสสะได้ เมื่อเกิดวิญญาณ สิ่งนั้นเป็น ผัสสะ ทันทีค่ะ
จะว่า ขันธ์ 5 มันโยงไป อริยสัจได้หลายข้อเลยนะคะ อิอิๆ
ดังนั้นความสำคัญของ ขันธ์ 5 จึงมีความสำคัญ และเป็นสิ่งแรกที่ผู้ศึกษาพึงทำความเข้าใจว่ามันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในเรา และเรายึดมั่นมันอยู่ คนอื่นก็เหมือนกัน คนอื่นก็มีขันธ์ 5 ตัวนี้แหละ เราก็มี เขาก็มี เราก็ยึด เขาก็ยึด อย่างนี้ค่ะ
(มีโสดาปัตติมรรค ขึ้นไปเท่านั้นที่เริ่มปล่อยวางได้แล้วบ้าง และมีพระอรหันต์ที่ละความยึดมั่นในขันธ์ 5 ลงได้เสียแล้ว)
ดังนั้นการปฏิบัติของเราก็คือ เข้าใจว่ามันมีอยู่ และเรากำลังยึดถือมันอยู่ การปฏิบัติค่ะละความยึดมั่นใน ขันธ์ทั้ง5 แต่อันดับแรกก่อนที่จะละได้ ก็ต้อง "กำหนดรู้" และมันคือ อริยสัจข้อที่ 1 ทุกข์ ควรกำหนดรู้
ทีนี้ปัญหาของผู้ใหม่ก็คือว่า จะดึงขันธ์5 ในตัวออกมาพิจารณาไม่ได้ค่ะ หากใครเป็นผู้ใหม่ที่ต้องการศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว คุณควรเน้น โฟกัสที่จุดๆนี้ค่ะ
เราจะเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้นะคะว่าเราดึงขันธ์ 5 มา พิจารณาได้ยังไง
เราทุกคนย่อมรู้จักความทุกข์ กันดีอยู่แล้ว ซึ่งเวลาไหนที่เราประสบพบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เราทุกข์มากๆ เราสามารถหยิบนำมาพิจารณาธรรมได้ทันทีค่ะ
พุทธองค์บอกว่า ทุกข์ ควรกำหนดรู้ // ความทุกข์เกิดขึ้น น้ำตาไหลนองหน้า ทุกข์
ดังนั้นคือ อริยสัจ ข้อที่ 1 แล้วค่ะ กำหนดรู้อริยสัจข้อ 1 ทันที ///
ลองมาดูความหมายของทุกข์นะคะ
การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก คือทุกข์ การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก คือทุกข์
(ความหมายเต็ม :
https://waeowalee.wordpress.com/2013/02/10/%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%88-4-2/ )
นั่นไงค่ะ อยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย อิอิ
สามารถนำคำสอนของพระพุทธองค์มาพิจารณาในชีวิตประจำวันได้แล้วค่ะ
ส่วนตัวของเราจะเจอทุกข์ในความหมายนี้มากกว่า : การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก คือทุกข์ ***
ทั้งปัญหาทางบ้าน ทางโรงเรียน ทางสังคม อะไรงี้นะคะ ความทุกข์เกิดละ
กำหนดรู้ค่ะ และแยกย่อยลงไปอีก จำแนกขันธ์5 ได้ละ ทีนี้
ต่อไป รู้จักขันธ์ ทั้ง 5 ///
รูป ร่างกาย ลมหายใจ ///
เวทนา ตอนนั้นเวทนาเป็นทุกข์ --- สุข,ทุกข์,อุเบกขา คือเวทนา ///
สัญญา นี่ละตัวสำคัญ ความจำ ตอนนี้เรากำหนดรู้ในทุกข์อยู่ใช่ไหมค่ะ ถามว่าเพราะเราคิดถึงเรื่องที่เราจำ นั่นไงคือสัญญา หรือพระอาจารย์จะบอกว่า ไปคิดถึงอดีต นั่นก็คือสัญญา ค่ะ เราทำความรู้จักกับสัญญาได้แล้วนะคะ ///
ต่อไป สังขาร ความปรุงแต่ง ก็คือ เอ่อ .... ก็คือสิ่งที่เราไปคิด ถ้าจะให้เข้าใจเริ่มแรกไปก่อนอาจจะหมายถึง ไปคิดอนาคต ก็ได้ค่ะ ก็คือจะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต แต่เป็นสิ่งที่เราวิตกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น นั่นทำให้เราทุกข์หรือเปล่า นั่นคือสังขารนะ อ่ะ รู้จักสังขารแล้วนะคะ ///
ต่อไป วิญญาณ คือความรู้ สิ่งที่เข้าไปรู้ ///
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ วิญญาณเราไปรู้อะไรละ...
ไปรู้รูปหรือเปล่า ( รู้ลมหายใจ)
หรือไปรู้ เวทนาหรือเปล่า
หรือไปรู้ สัญญาหรือเปล่า
หรือไปรู้สังขารหรือเปล่า
ให้เรายกออกมาว่า ตอนนั้นวิญญาณเราไปรู้ตัวไหน วิญญาณไปเกาะกับขันธ์ 4 ตัวที่เหลือตัวไหน
แล้วเราจะเข้าใจคำว่า อุปาทานขันธ์ทั้ง 5 คือตัวทุกข์ ถ้าเราสามารถดึงขันธ์ตัวที่ทำให้เราทุกข์มาตรวจดูได้
ต่อไปเหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา ความอยาก (สมุทัย-อริยสัจข้อที่2)
อันนี้เนี่ย เอ่อ ขอกลับไปดู ความหมายของทุกข์ อีกครั้งนะคะ ทุกข์เนี่ย หมายถึง การพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ คือทุกข์ หรือการประสบพบเจอกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ คือทุกข์
จากประสบการณ์ของเรา การพิจารณาทุกข์ในความหมาย 2 ตัว นี้ทำให้เรารู้จัก ตัณหา (สมุทัย- เหตุแห่งทุกข์) เพราะว่าเราพอใจในสิ่งใด เรากำลังสุข แต่พอสิ่งนั้นดับไป อะไรทำให้เราทุกข์ละคะ ก็คือตัณหานั้นเอง.... ดังนั้นการใคร่ครวญความหมายของ ทุกข์ ในความหมายนี้จะทำให้เรา เจอตัวตัณหาได้
อะขอยกสองตัวพอก่อนนะคะ คือ ทุกข์ และ สมุทัย สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มทำความเข้าใจ อริยสัจแบบเร็วๆละก็ ลองใช้การใคร่ครวญแบบนี้นะคะ ที่จริงแล้ว ตอนแรกๆเราอาจจะรอให้ต้องทุกข์ใจมากๆก่อน ก็ได้ แต่...
พอเราเข้าใจตรงนี้แล้ว เราจะรู้ว่า ทุกข์เกิดขึ้นตลอด เวลาที่เราอยาก เวลาเราอยาก ทุกข์เกิดทันที เพราะอะไร (ไม่จำเป็นต้องทุกข์หนักเลยค่ะ ก็ทุกข์เมื่ออยาก) ก็คือถ้าเราพอใจในสิ่งใดก็ตาม เช่นพอใจในรสอาหาร ถ้าเรากินเยอะๆ จนแน่นท้อง อึกอัดท้อง ถามว่า พอเราหยุดกิน ทุกข์เกิดทันที นั่นละการพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ การประสบพบเจอกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ คือทุกข์ นี่ละเห็นอริยสัจได้ทั้งวันค่ะ อิอิ
อย่าลืมพระสูตรนี้นะคะ
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ (อริยสัขข้อ1)
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั่นไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
มันก็โยงเข้า ขันธ์ทั้ง 5 ได้ ด้วยประการฉะนี้ อิอิ
ดังนั้น
เมื่อเราเห็น ไม่เทียง เราจึงเห็น อริยสัจข้อที่ 1 ทันที .... (ตรงนี้ละคะน่าสนใจมากๆ)
(ทำไมถึงบอกว่า ตัวสัญญานั้นสำคัญ เพราะคนเรามักจะทุกข์เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต เนี่ยถ้าเรารู้ว่า อ้อ สัญญาตัวนี้ เราจะพิจาณาธรรมได้ง่ายค่ะ
ส่วนสังขารแรกๆให้แปลไปก่อนว่า ไปคิดถึงอนาคต สิ่งที่ยังไม่เกิด ตรงข้ามกับ สัญญา หรือตัวสังขารหรือเปล่าที่ทำให้เราทุกข์
เพราะคนเรารู้จัก เวทนาดีอยู่แล้ว แต่ที่ยังไม่รู้จักสำหรับผู้ใหม่ก็คือ "สัญญา" และ"สังขาร" นี่ละคะ
การปฏิบัติก็คือรู้ลมหายใจจริงไหมค่ะ ดังนั้นถ้าจะพูดภาษาธรรมก็คือ ให้ผู้รู้หรือวิญญาณ มารู้รูป แล้วก็รู้ลักษณะธรรมของมันคือ มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ค่ะ
ดังนั้นเมื่อเรารู้รูปอยู่ (วิญญาณ+รูป) ตัณหา พาวิญญาณไปรู้ขันธ์ ตัวอื่นต่อ นั้นเอง ดังนั้นเราจะกำหนดรู้ตัวตัณหาได้อีกตัว คือ อริยสัจตัวที่ 2 : ตัณหา ควรละ
นี่ละได้อริยสัจตัวที่ 2 แล้ว ควรละตัณหา
จากนั้นก็ไปศึกษาตำราธรรมะจากพุทธโอษฐ์ได้สบายปรื๋อเลยค่ะ อ่านอะไรก็น้อมนำเข้ามาพิจารณาได้แล้วค่ะ ก้าวหน้าไวเลยทีนี้
--------------------------------------
บทส่งท้าย
มหัศจรรย์ แห่ง อริยมรรคมีองค์8
โรคซึมเศร้า มีทางออก

เราเคยเป็นโรคนี้ค่ะ ทุกข์มาก
ไม่มีความสุขในชีวิตเลย
แต่ความทุกข์ในชีวิตเยอะจึงทำให้มีความสนใจศึกษาธรรมะ
ตอนนั้นยังไม่ได้ศึกษาพุทธวจนค่ะ รู้สึกว่าธรรมะเป็นสิ่งที่เราอยากรู้มาก
พอหลังๆมาหันมาศึกษาพุทธวจน ก็ยังไม่หายนะคะ
สังเกตุตัวเองว่ามาหายตอนไหน
มาหายตอนที่ได้ฌานที่ 4 แล้วค่ะ
ดิฉันเคยพิมพ์แนะนำบทความไว้ว่า
รักษาโรคซึมเศร้าด้วยการเข้าฌาน 4
ดิฉันคิดว่า ต้องถึงฌาน 4 เท่านั้นถึงจะละอนุสัยที่เป็นโรคซึมเศร้าได้
ซึ่งถามว่าง่ายมั้ย ไม่เลยค่ะ
แต่ถ้าได้ ฌานที่ 4 แล้ว หายแน่นอน ก็คือ สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย
ละ"วิตก" ละ"วิจาร" ละโสมนัส โทมนัสได้ มีแต่สติที่บริสุทธิ์ด้วยอุเบกขา
ที่เราคิดว่า ต้องเป็นฌานที่ 4 นั้นมีเหตุผลรองรับและสนับสนุนอยู่สัก 3 ข้อดังนี้
1.
วิตกวิจาร เป็นเหตุของการเป็นโรคซึมเศร้า ก็คือ จะคิดสิ่งต่างๆที่เกินความจริงค่ะ ก็คือวิตกวิจารเยอะ
ถามว่า ฌานที่ 1 สงัดจากกามและอกุศล ได้ฌานที่ 1 แต่ยังมีวิตก วิจาร อันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่
แม้ว่าจะสามารถสงัดจากกามและอกุศลได้ก็ตาม แต่อนุสัย วิตกวิจาร ที่ยังมีอยู่ทำให้บางทีก็กลับไปเศร้าบ้างถ้าไปเจอสภาพแวดล้อมที่ทำให้เศร้า ดังนั้น ฌานที่ 4 แม้กระทั่ง โสมนัส และโทมนัส ก็ต้องละไป จึงจะได้ฌานที่ 4
โทมนัสก็คือ... สาเหตุของโรคซึมเศร้า นั้น เราละได้ เราจึงได้ฌานที่ 4 สรุป เมื่อเข้าฌานที่ 4 ได้ เป็นการรักษาโรคซึมเศร้า โดยตรง ไม่ต้องใช้ยา
2. การที่เราเข้าฌานได้ แสดงว่าเราเจริญสติปัฏฐานได้ ซึ่งถือว่าเป็น
กรรมหนักฝ่ายกุศล ส่งผลทันทีในปัจจุบัน
3. พุทธองค์ได้ตรัสว่า
การได้ฌาน 4 คือสิ่งที่ทำให้เราได้สุขจากการปฏิบัติธรรม
--------------------------------------------------
ขอขยายความอีกนิดค่ะ สำหรับเราแล้ว โรคซึมเศร้า ไม่ใช่โรคค่ะ มันก็คือ
คนที่หนักไปทางรู้สึกโทมนัส อาจจะเกิดจากการไม่ทำกุศลกรรมบถ10 หรืออาจจะทำอกุศลกรรมบถ 10 มาเยอะ แต่ถามว่าทำมาเยอะหรือไม่เป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ตัวคนๆนั้นหนักไปทางโทมนัสด้วยค่ะ บางคนถ้าเขาหนักไปทางโสมนัส เราก็จะไม่ถือว่าเขาเป็นโรคซึมเศร้า แต่ถามว่าไอ้พวกที่หนักไปทางโสมนัส ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้า เพราะโสมนัสมันย่อมเป็นเป็นโทมนัสได้เสมอๆ
หนทางเดียวเท่านั้นที่จะรับประกันว่าเราจะหายขาดจากโรคซึมเศร้า ก็คือ เข้าฌาน 4 ให้ได้ รับประกันว่า จะเจอเหตุการร้ายแรงในชีวิตแค่ไหนก็ตาม ไม่มีทางที่โรคนี้จะเกิดขึ้นค่ะ เพราะว่าเขามีหนทางเข้าฌาน 4 อยู่แล้วค่ะ
จากประสบการณ์ "พุทธวจน" หรือ "ธรรมะจากพระโอษฐ์" "อริยสัจ" "มรรค 8" เปลี่ยนชีวิตอย่างไร ความทุกข์ในชีวิต หายไปไหนหมด
ลองเปิดไปที่หนังสือ ธรรมะจากพระโอษฐ์สิค่ะ เหตุใดนักศึกษาเริ่มแรกยังอ่านตำรา จากพระโอษฐ์ได้ไม่เข้าใจ เราจะนำความคิดเห็นของเรามาเล่าให้ฟังนะคะ อาจจะตรงกับคุณบ้างก็เป็นได้
เริ่มแรกเราต้องทำความเข้าใจ ขันธ์ 5 ของเราก่อนค่ะ
ความสำคัญของขันธ์ 5 ...
ก็คือ การที่เรามีอุปาทานในขันธ์ทั้ง5 คืออริยสัจข้อที่ 1 : ทุกข์
พุทธองค์ตรัสว่า "ควรกำหนดรู้"
เริ่มแรกเราจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจขันธ์5
1. รูป : ร่างกาย , ดินน้ำลมไฟ , ลมหายใจ
2. เวทนา : ความรู้สึก ทุกข์ สุข อุเบกขา
3. สัญญา : ความจำ // สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเราจำมันได้
4. สังขาร : ความปรุงแต่ง สำหรับนักปฏิบัติผู้ใหม่นั้น เข้าใจในความหมายว่า ความคิด ความวิตกเกี่ยวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น วิตกเกี่ยวกับอนาคต ก็ได้ค่ะ
5. วิญญาณ : ผู้รู้
--------5.1 อายตนะภายใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
--------5.2 อายตนะภายนอก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
อายตนะภายใน และอายตนะภายนอก คือ "สฬายตนะ"
ดังนั้น "สฬายตนะ" คือ
ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายกระทบโผฏฐัพพะ และใจกระทบธรรมารมณ์ ต่างๆ
เกิด "วิญญาณ" ขึ้นมา คือ ตัวรู้ จะไปรู้ได้ทีละตัว ค่ะ ตอนที่เราตื่นอยู่ สฬายตนะ ทำงาน ตลอด ทั้ง6 คู่เลย แต่ วิญญาณเกิดได้ทีละตัว ก็คือ ผู้รู้เราจะไปรู้ได้ทีละตัวค่ะ เช่น เมื่อเกิด วิญญาณทางตา ก็เกิดวิญญาณทางตา เพียงอย่างเดียว หรือ ความรู้แจ้งทางตา ในตอนนั้น
พุทธพจน์ : "การประจบพร้อมแห่งธรรม 3 ประการ คือ ตา รูป และวิญญาณทางตา คือ"ผัสสะ" "
ดังนั้นจะได้สมการนี้ค่ะ "เพราะมี สฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงเกิด ผัสสะ"
ทำไมสฬายนะ จึงเป็นผัสสะได้ เมื่อเกิดวิญญาณ สิ่งนั้นเป็น ผัสสะ ทันทีค่ะ
จะว่า ขันธ์ 5 มันโยงไป อริยสัจได้หลายข้อเลยนะคะ อิอิๆ
ดังนั้นความสำคัญของ ขันธ์ 5 จึงมีความสำคัญ และเป็นสิ่งแรกที่ผู้ศึกษาพึงทำความเข้าใจว่ามันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในเรา และเรายึดมั่นมันอยู่ คนอื่นก็เหมือนกัน คนอื่นก็มีขันธ์ 5 ตัวนี้แหละ เราก็มี เขาก็มี เราก็ยึด เขาก็ยึด อย่างนี้ค่ะ
(มีโสดาปัตติมรรค ขึ้นไปเท่านั้นที่เริ่มปล่อยวางได้แล้วบ้าง และมีพระอรหันต์ที่ละความยึดมั่นในขันธ์ 5 ลงได้เสียแล้ว)
ดังนั้นการปฏิบัติของเราก็คือ เข้าใจว่ามันมีอยู่ และเรากำลังยึดถือมันอยู่ การปฏิบัติค่ะละความยึดมั่นใน ขันธ์ทั้ง5 แต่อันดับแรกก่อนที่จะละได้ ก็ต้อง "กำหนดรู้" และมันคือ อริยสัจข้อที่ 1 ทุกข์ ควรกำหนดรู้
ทีนี้ปัญหาของผู้ใหม่ก็คือว่า จะดึงขันธ์5 ในตัวออกมาพิจารณาไม่ได้ค่ะ หากใครเป็นผู้ใหม่ที่ต้องการศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว คุณควรเน้น โฟกัสที่จุดๆนี้ค่ะ
เราจะเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้นะคะว่าเราดึงขันธ์ 5 มา พิจารณาได้ยังไง
เราทุกคนย่อมรู้จักความทุกข์ กันดีอยู่แล้ว ซึ่งเวลาไหนที่เราประสบพบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เราทุกข์มากๆ เราสามารถหยิบนำมาพิจารณาธรรมได้ทันทีค่ะ
พุทธองค์บอกว่า ทุกข์ ควรกำหนดรู้ // ความทุกข์เกิดขึ้น น้ำตาไหลนองหน้า ทุกข์
ดังนั้นคือ อริยสัจ ข้อที่ 1 แล้วค่ะ กำหนดรู้อริยสัจข้อ 1 ทันที ///
ลองมาดูความหมายของทุกข์นะคะ
การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก คือทุกข์ การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก คือทุกข์
(ความหมายเต็ม :
https://waeowalee.wordpress.com/2013/02/10/%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%88-4-2/ )
นั่นไงค่ะ อยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย อิอิ
สามารถนำคำสอนของพระพุทธองค์มาพิจารณาในชีวิตประจำวันได้แล้วค่ะ
ส่วนตัวของเราจะเจอทุกข์ในความหมายนี้มากกว่า : การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก คือทุกข์ ***
ทั้งปัญหาทางบ้าน ทางโรงเรียน ทางสังคม อะไรงี้นะคะ ความทุกข์เกิดละ
กำหนดรู้ค่ะ และแยกย่อยลงไปอีก จำแนกขันธ์5 ได้ละ ทีนี้
ต่อไป รู้จักขันธ์ ทั้ง 5 ///
รูป ร่างกาย ลมหายใจ ///
เวทนา ตอนนั้นเวทนาเป็นทุกข์ --- สุข,ทุกข์,อุเบกขา คือเวทนา ///
สัญญา นี่ละตัวสำคัญ ความจำ ตอนนี้เรากำหนดรู้ในทุกข์อยู่ใช่ไหมค่ะ ถามว่าเพราะเราคิดถึงเรื่องที่เราจำ นั่นไงคือสัญญา หรือพระอาจารย์จะบอกว่า ไปคิดถึงอดีต นั่นก็คือสัญญา ค่ะ เราทำความรู้จักกับสัญญาได้แล้วนะคะ ///
ต่อไป สังขาร ความปรุงแต่ง ก็คือ เอ่อ .... ก็คือสิ่งที่เราไปคิด ถ้าจะให้เข้าใจเริ่มแรกไปก่อนอาจจะหมายถึง ไปคิดอนาคต ก็ได้ค่ะ ก็คือจะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต แต่เป็นสิ่งที่เราวิตกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น นั่นทำให้เราทุกข์หรือเปล่า นั่นคือสังขารนะ อ่ะ รู้จักสังขารแล้วนะคะ ///
ต่อไป วิญญาณ คือความรู้ สิ่งที่เข้าไปรู้ ///
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ วิญญาณเราไปรู้อะไรละ...
ไปรู้รูปหรือเปล่า ( รู้ลมหายใจ)
หรือไปรู้ เวทนาหรือเปล่า
หรือไปรู้ สัญญาหรือเปล่า
หรือไปรู้สังขารหรือเปล่า
ให้เรายกออกมาว่า ตอนนั้นวิญญาณเราไปรู้ตัวไหน วิญญาณไปเกาะกับขันธ์ 4 ตัวที่เหลือตัวไหน
แล้วเราจะเข้าใจคำว่า อุปาทานขันธ์ทั้ง 5 คือตัวทุกข์ ถ้าเราสามารถดึงขันธ์ตัวที่ทำให้เราทุกข์มาตรวจดูได้
ต่อไปเหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา ความอยาก (สมุทัย-อริยสัจข้อที่2)
อันนี้เนี่ย เอ่อ ขอกลับไปดู ความหมายของทุกข์ อีกครั้งนะคะ ทุกข์เนี่ย หมายถึง การพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ คือทุกข์ หรือการประสบพบเจอกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ คือทุกข์
จากประสบการณ์ของเรา การพิจารณาทุกข์ในความหมาย 2 ตัว นี้ทำให้เรารู้จัก ตัณหา (สมุทัย- เหตุแห่งทุกข์) เพราะว่าเราพอใจในสิ่งใด เรากำลังสุข แต่พอสิ่งนั้นดับไป อะไรทำให้เราทุกข์ละคะ ก็คือตัณหานั้นเอง.... ดังนั้นการใคร่ครวญความหมายของ ทุกข์ ในความหมายนี้จะทำให้เรา เจอตัวตัณหาได้
อะขอยกสองตัวพอก่อนนะคะ คือ ทุกข์ และ สมุทัย สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มทำความเข้าใจ อริยสัจแบบเร็วๆละก็ ลองใช้การใคร่ครวญแบบนี้นะคะ ที่จริงแล้ว ตอนแรกๆเราอาจจะรอให้ต้องทุกข์ใจมากๆก่อน ก็ได้ แต่...
พอเราเข้าใจตรงนี้แล้ว เราจะรู้ว่า ทุกข์เกิดขึ้นตลอด เวลาที่เราอยาก เวลาเราอยาก ทุกข์เกิดทันที เพราะอะไร (ไม่จำเป็นต้องทุกข์หนักเลยค่ะ ก็ทุกข์เมื่ออยาก) ก็คือถ้าเราพอใจในสิ่งใดก็ตาม เช่นพอใจในรสอาหาร ถ้าเรากินเยอะๆ จนแน่นท้อง อึกอัดท้อง ถามว่า พอเราหยุดกิน ทุกข์เกิดทันที นั่นละการพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ การประสบพบเจอกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ คือทุกข์ นี่ละเห็นอริยสัจได้ทั้งวันค่ะ อิอิ
อย่าลืมพระสูตรนี้นะคะ
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ (อริยสัขข้อ1)
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั่นไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
มันก็โยงเข้า ขันธ์ทั้ง 5 ได้ ด้วยประการฉะนี้ อิอิ
ดังนั้นเมื่อเราเห็น ไม่เทียง เราจึงเห็น อริยสัจข้อที่ 1 ทันที .... (ตรงนี้ละคะน่าสนใจมากๆ)
(ทำไมถึงบอกว่า ตัวสัญญานั้นสำคัญ เพราะคนเรามักจะทุกข์เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต เนี่ยถ้าเรารู้ว่า อ้อ สัญญาตัวนี้ เราจะพิจาณาธรรมได้ง่ายค่ะ
ส่วนสังขารแรกๆให้แปลไปก่อนว่า ไปคิดถึงอนาคต สิ่งที่ยังไม่เกิด ตรงข้ามกับ สัญญา หรือตัวสังขารหรือเปล่าที่ทำให้เราทุกข์
เพราะคนเรารู้จัก เวทนาดีอยู่แล้ว แต่ที่ยังไม่รู้จักสำหรับผู้ใหม่ก็คือ "สัญญา" และ"สังขาร" นี่ละคะ
การปฏิบัติก็คือรู้ลมหายใจจริงไหมค่ะ ดังนั้นถ้าจะพูดภาษาธรรมก็คือ ให้ผู้รู้หรือวิญญาณ มารู้รูป แล้วก็รู้ลักษณะธรรมของมันคือ มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ค่ะ
ดังนั้นเมื่อเรารู้รูปอยู่ (วิญญาณ+รูป) ตัณหา พาวิญญาณไปรู้ขันธ์ ตัวอื่นต่อ นั้นเอง ดังนั้นเราจะกำหนดรู้ตัวตัณหาได้อีกตัว คือ อริยสัจตัวที่ 2 : ตัณหา ควรละ
นี่ละได้อริยสัจตัวที่ 2 แล้ว ควรละตัณหา
จากนั้นก็ไปศึกษาตำราธรรมะจากพุทธโอษฐ์ได้สบายปรื๋อเลยค่ะ อ่านอะไรก็น้อมนำเข้ามาพิจารณาได้แล้วค่ะ ก้าวหน้าไวเลยทีนี้
--------------------------------------
บทส่งท้าย มหัศจรรย์ แห่ง อริยมรรคมีองค์8
โรคซึมเศร้า มีทางออก
เราเคยเป็นโรคนี้ค่ะ ทุกข์มาก
ไม่มีความสุขในชีวิตเลย
แต่ความทุกข์ในชีวิตเยอะจึงทำให้มีความสนใจศึกษาธรรมะ
ตอนนั้นยังไม่ได้ศึกษาพุทธวจนค่ะ รู้สึกว่าธรรมะเป็นสิ่งที่เราอยากรู้มาก
พอหลังๆมาหันมาศึกษาพุทธวจน ก็ยังไม่หายนะคะ
สังเกตุตัวเองว่ามาหายตอนไหน
มาหายตอนที่ได้ฌานที่ 4 แล้วค่ะ
ดิฉันเคยพิมพ์แนะนำบทความไว้ว่า รักษาโรคซึมเศร้าด้วยการเข้าฌาน 4
ดิฉันคิดว่า ต้องถึงฌาน 4 เท่านั้นถึงจะละอนุสัยที่เป็นโรคซึมเศร้าได้
ซึ่งถามว่าง่ายมั้ย ไม่เลยค่ะ
แต่ถ้าได้ ฌานที่ 4 แล้ว หายแน่นอน ก็คือ สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย
ละ"วิตก" ละ"วิจาร" ละโสมนัส โทมนัสได้ มีแต่สติที่บริสุทธิ์ด้วยอุเบกขา
ที่เราคิดว่า ต้องเป็นฌานที่ 4 นั้นมีเหตุผลรองรับและสนับสนุนอยู่สัก 3 ข้อดังนี้
1. วิตกวิจาร เป็นเหตุของการเป็นโรคซึมเศร้า ก็คือ จะคิดสิ่งต่างๆที่เกินความจริงค่ะ ก็คือวิตกวิจารเยอะ
ถามว่า ฌานที่ 1 สงัดจากกามและอกุศล ได้ฌานที่ 1 แต่ยังมีวิตก วิจาร อันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่
แม้ว่าจะสามารถสงัดจากกามและอกุศลได้ก็ตาม แต่อนุสัย วิตกวิจาร ที่ยังมีอยู่ทำให้บางทีก็กลับไปเศร้าบ้างถ้าไปเจอสภาพแวดล้อมที่ทำให้เศร้า ดังนั้น ฌานที่ 4 แม้กระทั่ง โสมนัส และโทมนัส ก็ต้องละไป จึงจะได้ฌานที่ 4 โทมนัสก็คือ... สาเหตุของโรคซึมเศร้า นั้น เราละได้ เราจึงได้ฌานที่ 4 สรุป เมื่อเข้าฌานที่ 4 ได้ เป็นการรักษาโรคซึมเศร้า โดยตรง ไม่ต้องใช้ยา
2. การที่เราเข้าฌานได้ แสดงว่าเราเจริญสติปัฏฐานได้ ซึ่งถือว่าเป็นกรรมหนักฝ่ายกุศล ส่งผลทันทีในปัจจุบัน
3. พุทธองค์ได้ตรัสว่า การได้ฌาน 4 คือสิ่งที่ทำให้เราได้สุขจากการปฏิบัติธรรม
--------------------------------------------------
ขอขยายความอีกนิดค่ะ สำหรับเราแล้ว โรคซึมเศร้า ไม่ใช่โรคค่ะ มันก็คือคนที่หนักไปทางรู้สึกโทมนัส อาจจะเกิดจากการไม่ทำกุศลกรรมบถ10 หรืออาจจะทำอกุศลกรรมบถ 10 มาเยอะ แต่ถามว่าทำมาเยอะหรือไม่เป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ตัวคนๆนั้นหนักไปทางโทมนัสด้วยค่ะ บางคนถ้าเขาหนักไปทางโสมนัส เราก็จะไม่ถือว่าเขาเป็นโรคซึมเศร้า แต่ถามว่าไอ้พวกที่หนักไปทางโสมนัส ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้า เพราะโสมนัสมันย่อมเป็นเป็นโทมนัสได้เสมอๆ หนทางเดียวเท่านั้นที่จะรับประกันว่าเราจะหายขาดจากโรคซึมเศร้า ก็คือ เข้าฌาน 4 ให้ได้ รับประกันว่า จะเจอเหตุการร้ายแรงในชีวิตแค่ไหนก็ตาม ไม่มีทางที่โรคนี้จะเกิดขึ้นค่ะ เพราะว่าเขามีหนทางเข้าฌาน 4 อยู่แล้วค่ะ