โคตมโคตร วงศ์อาทิตย์ ในปัจจุบันไทยเรา สมมุติว่า เริ่มมาตั้งแต่ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์

กระทู้คำถาม
เมื่อวันก่อนที่ได้พูดจาแก่นิทานในสภานั้น ที่ยกมาตอบถึงการณ์กตัญญู และอกตัญญู ที่จะเกิดแก่สิ่งทั่วไป ในสมมุติเทพอย่างราชันย์ ที่หากว่าจะทำแล้ว ได้มีประหาร มีโองการสำเร็จแก่จรรยา มารยาท, ข้อนั้นจึงยังยกกลอนที่จะอธิบายแก่สวรรค์ในแผ่นดินโลกมายังไม่ได้ เพราะผูกเรื่องยังไม่ได้ แล้วนั้น ก็ควรยังต้องรู้ และรอดูกระทู้ความเกิด-ตาย ที่จะเกิดในวันข้างหน้า ถึงจะมีสุคตินิทานชนิดนั้นๆ ให้ต้องแสดงกลอนอีกครั้ง หากว่าไม่ทำเป็นกลอนแก้  เพราะตัวเรื่องยังไม่ผิดทางเก่า ก็จะต้องยกบทเดิมนั้น ให้มาประกอบไว้, ดั่งกลอนในบทเก่านี้ด้วย เมื่อวานว่านั้น ดังนี้

นรกนาถ คาดฆ่า บิดาเจ้า
นรลักษณ์ จักเฝ้า โหยหา
เมื่อแม่ม่าย ร้ายเลี้ยว เกี้ยวมา
จะรักษา พรหมจรรย์ พอบรรลัย

ให้สะดุด สุดท้าว ปารมี
สุดสุขมุข ประทุกดี ให้ได้
แม้นพ่อผา กติกา พาไกล
จะแจ้งใจ ประหารมั่น กตัญญู

จะพาลใจ แม่เจ้า เข้าเข็ญ
จะให้เห็น ลึกเร้นเหว ให้รู้
ให้พ่ออินทร์ พ่อผา อาอู
ยัญยางสู้ จะเสือกแทง แย่งโองการ

ข้อที่ จะให้คนเข้าสงสัยในนิทานด้วยกันว่า ชื่อ พ่ออินทร์ พ่ออินทร์, พ่ออินทร์ตามบทกลอน บทจะว่าเช่นนั้น คืออะไร?, ซึ่งเมื่อถามแล้ว ไม่ได้ให้ต้องอธิบายไปข้างสวรรค์, พอแค่ว่าทั่วพสุธาแดนด้าว เรามั่น โองการสวรรค์ได้ลงมาแล้ว จึงจะได้ยกบทอธิบายถึง อินทร์ว่านั้น ว่าคืออินทร์โคตร ในนามไทยเราก็ควรจะต้องให้มีมาดั่งนี้ ไว้ดั่งนี้แล้วเช่นกัน ในเรื่องว่า

“เรื่องมนุษย์พระอินทร์นั้น อะไรต่างๆ มีคนจะเทียบ ว่าเป็นเทวดามาในบันทึกตำนาน และนิทานศักดิ์สิทธิต่างๆ, ในข้อนี้เห็นว่า อาจจะยังไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้ เพราะอะไรอย่างไรนั้น หากดูคนปรัมปราสมัยก่อนโบราณจะเห็น ในการณ์ที่ตนเจริญแล้ว จะเล่า จะให้เห็นด้วยเช่นนั้น จึงควรจะให้เรียกถนัด ก็คงจะเรียกกันว่า ผู้ประเสริฐ ผู้อัศจรรย์ ผู้กระทำปาฏิหาริย์ ซะมากกว่า, ใครคงจะไม่เรียกว่าเป็นพระหรือมนุษย์เทวะ โดยไม่มีสาเหตุ ตามแต่ที่จะรู้แน่ว่าควรจะเป็นมนุษย์เหมือนๆกัน จึงจะค่อยนับถือ และเรียก ร้องหาจะสัมพันธ์แต่เฉพาะกิจธุระอย่างดี, เพราะพอกันกับเรื่องสังคมมนุษย์ ได้ตั้งเรื่องมีวัฒนะภาระ ธุระตัวบุคคลในฐานต่างๆก็ต้องตั้งขึ้นเนื่องด้วยวิเศษ และความนับถือ ซึ่งบุคคลในที่ถือนั้น คนนั้นจึงได้เป็นเทวะเดินดิน ที่จะต้องนับไปจากความเป็นมนุษย์แล้วเป็นต้นไป และต่อๆกว่านั้น นั่นเอง เมื่อตายก็จึงเข้าถึงความเป็นเทวะด้วยความเป็นอนุสรณ์ สาวรีย์ ตั้งในการณ์ดึกดำบรรพ์ เข้าสู่ใจของคนตั้งแต่ก่อนมา ให้มีอยู่ แล้วเป็นอยู่กันมาเช่นนั้นๆ

ในเรื่องโขลนทวารบานแผนก เห็นจะมีเรื่องเทวะกันอยู่มาก จะนับเข้าเรื่องสมมุติเทพก็ด้วย แล้วที่จะนับความเป็นวิเศษอัศจรรย์พันลึกทางใจก็ด้วย แล้วนั้นให้ว่าภาคย์ ว่าภาพกันไป กับสรณะ อาวรีย์ และความเป็นอนุสรณ์, ประวัติโบราณถึงที่สุด เห็นว่าศากยะตระกูล จะเป็นชื่อตระกูลอินทร์ ว่าอินทะ จากเรื่องประวัติที่โยงกันไป อันเต็มไปด้วยด้วยสายสนปนเปกันอยู่แบบไม่ปะติดปะต่อข้างในตำนาน และนิทานประกอบ ที่ซึ่งนับว่า เป็นแต่สาระอยู่โดยมาก, ในกลุ่มอินทะที่อพยพกันมาแต่ข้างตะวันออก ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นโคตมโคตร เมื่อถึงที่ ถึงให้เป็นด้วยเผ่าเทพโขลนตามบานแผนกที่เป็นกันมานั้นๆเอง อันที่เป็นเผ่าห่วงยักษ์ ห่วงลิง ห่วงนาค ห่วงครุฑ ซึ่งคล้องบ่วงกีฬาพาสงคราม ต้อนฝูงปศุสัตว์ ตลอดจนกระทั่งมาตั้งเกษตราธิการขึ้น ตามกาลเวลา ตามตำบลหนแห่งใดมีวิปโยคกลัวตาย เมื่อนั้นก็พากันเข้าผูกอัศจรรย์มีใจไว้ด้วยกันกับสัตว์ทั่วพร้อม ว่าด้วยเรื่องบ่วงลิง บ่วงนาค บ่วงยักษ์ บ่วงครุฑ คราใดบ่วงบาศเกิดกีฬาสงครามยุทธ์ กระบวนเราตระกูลจะจบเคลื่อนไปทางทิศตะวันออก แลล่วงเสริมกระบวนที่จะสร้างสังคมมนุษย์และโลกไว้ ด้วยชื่ออันนั้น, ข้อนี้ให้ได้พูดพอเป็นเลาๆ ไปก่อน ที่คนจะว่า เทวะ เทวะอะไร? นั่นเห็นจะเรียกเดิมมาจากได้เห็นมนุษย์ทำกิจเหลือเกินกว่าที่ใจมนุษย์ที่ใดจะทำ แล้วเรียก แล้วเข้าแหนแห่มนุษย์คนนั้นว่าเป็นเทวะ เช่นทั้งที่เป็นคนอยู่และยังไม่เป็นเทวะ แต่ก็ต้องว่าใช่, เพราะหากจะบันทึกและเรียกกันแล้วว่ามีจริงๆ ก็น่าจะเรียกว่า ยอดมนุษย์ หรือไม่ก็น่าจะเรียกว่า เทพสมมุติ ว่ามีดีซะมากกว่า มากตามเหตุที่ว่า ตัวคนจะได้เข้านับถือ และเข้าผูกใจ, ข้อนี้จึงเชื่อว่า คนโบราณที่กำลังพัฒนาสังคมดึกดำบรรพ์อันนั้นอยู่ คงจะไม่มีใครคิดขึ้นเองแล้วเรียกแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ในมนุษย์อันที่ไม่ได้มาจากการอัศจรรย์ ด้วยกิจธุระที่ตนเองได้มีการไถ่ถามจากองค์ประชุม และมาจากความตกลงใจ ที่จะออกไปยังทิศต่างๆ ในโขลนบานแผนก ซึ่งเป็นหัวหน้าสังคมของตน ที่จะเข้าคอยเตือนกันไว้ก่อน ถึงคนผู้มีวิเศษ ว่าโองการจะต้องมีไว้ และจะต้องให้มาเกี่ยวข้อง ในฐานที่มีความวิเศษ,

แรกๆมานั้น ก็จะต้องไม่เป็นสวรรค์บนดิน อะไรได้ในทันที ก็เลยจะต้องมีอย่าง ตัวแบบอันหมายถึงโองการที่ไม่สนิท นั้น ก็จึงยังจะต้องมีความกระเพื่อม มิเป็นสวรรค์อย่างไรไปได้ ซึ่งหากจะเป็นสวรรค์ได้นั้น ก่อนนั้น ธรรมราชาผู้เป็นเยี่ยงทำตนให้เอาอย่าง ก็จะต้องหาญ กว้านคน ยับยั้งโองการไว้กับตัวแล้วตั้งอยู่, สวรรค์ดุจนิรมิตจึงจะตั้งอยู่ตลอดพสุธา ไปตลอดชั่วเวลา ตราบเท่าที่ผู้คนเหล่านั้นยังไม่กระทำผิด ไปจากโองการแห่งสวรรค์ ที่ในแดนมนุษย์เรียกกันว่า “ได้มีไว้ เป็นชื่อพระธรรมนูญ”, เมื่อตอบบทปรัมปราแล้ว ก็จึงจะต่อเข้าอธิมุตแก่ทิพยะ ในสรรพสัตว์แดนอื่น ให้ผูกดีด้วย ให้มีสุขได้ เมื่อต้องอยู่ในแดนเดียวกัน, เมื่อผูกประกัน เมื่อนั้นรับรอง ถูกส่วนประสพผลประโยชน์ ก็ให้นับสวรรค์ นับมาตั้งแต่เบื้องบนโน้น ให้ลงมา, ก็แล้ว จึงจะให้ยกบทกลอนบทนี้ออกมาได้”

มนุษย์ แห่งธาตรี
สวรรค์มี สวัณณา
.
สวรรค์ ทิพย์เภตรา
ดวงจิตรา ทศมินทร
.
สวรรค์ สุยามะ
เทพทาระ รักษ์ดวงรอน
.
สวรรค์ กายนคร
หนุนเนื่องนอน นบประทม
.
นี้แล คือสวรรค์
ภพ ๑ นั้น ชั้นประสม
.
ภพ ๒ สัญญาชม
เชยทางช่อง สยองหาย
.
ภพ ๓ นิรมิต
เข้าเชยชิด นิรมานหมาย
.
ภพ ๔ ฤดีดาย
มนุษย์ใคร่ ในบาดาล
.

พอแต่แค่ว่า เท่านั้น เพราะเรื่องนี้ยังไม่ได้ไปถึงไหน ตามกว่าจะได้ว่าไปถึง เรื่องสังขาร และเรื่องอภิสังขารของทั้งเรื่อง เมื่อเวลา กว่าจะให้จบลงได้ ก็คงจะต้องสืบบท ส่องแนวตามทางพระศาสนาไปอีก หลายวันปีเดือน กว่าที่ตนจะได้บอกถึงที่ ในส่วนที่เป็นบททบทวี ตลอดเรื่องเช่นนั้น ให้รวมลงมาเป็นข้อความในบทเดียว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่