พุทธานุสสติ อรหโต แนวปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร
อธิบายเริ่มสติปัฏฐาน ๔ ดีเยี่ยม
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ขอให้เราทั้งหลายตั้งใจเจริญพุทธานุสสติระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
จะแสดงพระคุณบทว่า อรหโต จากบทนะโมที่เราทั้งหลายสวดกัน ว่า นโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
อรหโต เป็นบทที่ ๒ ถัดจาก ภควโต ที่แสดงแล้ว
บทว่า อรหโต นี้ก็มาจากว่าอรหันต์ หรืออรหัง ดั่งที่เราแปลว่าพระอรหันต์ พระอาจารย์ได้แสดงความหมายไว้หลายอย่าง
ความหมายประการหนึ่ง ก็แปลว่าเป็นผู้ไกลกิเลส อันหมายความว่าละกิเลสได้แล้ว สิ้นกิเลสแล้ว
กิเลส
คำว่ากิเลสนั้นเป็นภาษาบาลี มาใช้เป็นภาษาไทย ซึ่งโดยมากก็เป็นที่เข้าใจกันในความหมายว่า
คือเครื่องเศร้าหมอง เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ เป็นอย่างละเอียดก็มี เป็นอย่างกลางก็มี เป็นอย่างหยาบก็มี
ที่เป็นอย่างละเอียดนั้นเรียกว่า อาสวะ ซึ่งแปลว่าเป็นเครื่องดอง อันหมายความว่าเป็นเครื่องดองจิตใจ
หรือเรียกว่า อนุสัย แปลว่านอนเนื่อง คือนอนเนื่องอยู่ในจิตใจ อันเป็นอย่างละเอียด และอย่างละเอียดนี้เองเมื่อกำเริบขึ้นมา
ก็เป็นอย่างกลาง เป็น นิวรณ์ คือเครื่องกลุ้มรุมจิต กั้นจิตใจ และหยาบออกมาอีกเป็นอย่างหยาบ ก็เป็นเครื่องก่อเจตนากรรม
กรรมคือความจงใจให้เกิดการกระทำออกไปทางกาย ทางวาจา ตลอดจนถึงทางใจเอง
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้พระธรรม หลุดพ้นจากกิเลสอย่างละเอียดทั้งหมด จึงพ้นจากกิเลสอย่างกลาง และพ้นจากกิเลสอย่างหยาบทั้งหมด
ไม่มีกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ซึ่งกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า จะเป็นกิเลสกองราคะความติดใจยินดี หรือโลภะความโลภอยากได้ก็ดี
เป็นกิเลสกองโกรธก็ดี กิเลสกองหลงก็ดี สิ้นไปหลุดพ้นไปทั้งหมด จิตของพระองค์พ้นจากกิเลสทั้งสิ้น จึงเป็นผู้อยู่ไกลกิเลส
ไม่มีกิเลสตั้งอยู่ในจิตใจของพระองค์ สิ้นเชิง กิเลสไม่มีกลับเข้ามาใกล้ พระคุณบทนี้แสดงถึงพระวิสุทธิคุณ พระคุณคือความบริสุทธิ์
หมดจดสะอาด ทั้งทางกาย ทั้งทางวาจา ทั้งทางใจ ทั้งสิ้น ไม่มีการกระทำที่เป็นตัวกรรมอันประกอบด้วยกิเลส
ทางกายทางวาจาทางจิตใจทั้งหมด ทรงเป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นเชิง ทรงแสดงธรรมะสั่งสอนก็เพื่อให้ผู้ฟังได้ทราบ และได้ปฏิบัติ
เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลายเช่นเดียวกัน
เราทั้งหลายได้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว ก็ได้พากันปฏิบัติ ในศีลบ้าง ในสมาธิบ้าง ในปัญญาบ้าง ก็เพื่อความบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส
เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสเป็นที่สุด
ข้อปฏิบัติเพื่อละกิเลส
แม้จะปฏิบัติในศีลซึ่งเป็นเครื่องละกิเลสอย่างหยาบได้ เช่นตั้งอยู่ในศีล ๕ ก็เว้นได้จากกิเลสอย่างหยาบ
อันเป็นเหตุให้ฆ่าเขาบ้าง ให้ลักของๆ เขาบ้าง ให้ประพฤติในกามบ้าง ให้พูดเท็จหลอกลวงเขาบ้าง
ให้ดื่มน้ำเมาคือสุราเมรัยอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งความประมาทบ้าง ก็พ้นได้จากกิเลสอย่างหยาบเหล่านี้ในขณะที่รักษาศีล
และเมื่อทำสมาธิ หากได้สมาธิ ก็ทำให้ระงับกิเลสที่บังเกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจเป็นนิวรณ์ได้ ในขณะที่จิตได้สมาธิ และเมื่อปฏิบัติในปัญญา
ก็สามารถที่จะสงบรำงับกิเลสที่เป็นอย่างละเอียด ยิ่งๆ ขึ้นไป ตามภูมิตามชั้นของการปฏิบัติ
ก็ชื่อว่าเป็นผู้ที่ปฏิบัติเพื่อความบริสุทธิ์กายวาจาใจ เพื่อให้เป็นผู้ไกลกิเลสเช่นเดียวกัน สมควรที่เราทั้งหลายจะพากันปฏิบัติ
ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
และศีลนั้นก็เป็นเครื่องอบรมสมาธิได้ สมาธินั้นก็เป็นเครื่องอบรมปัญญาได้ ปัญญานั้นก็เป็นเครื่องอบรมจิตใจได้
เพื่อให้จิตใจหลุดพ้นได้ในที่สุด จากอาสวะกิเลสที่ดองจิตสันดานทั้งหลาย และสมาธินั้น กับปัญญานั้น
ก็เรียกว่าเป็นการปฏิบัติทางสมถะภาวนา และวิปัสสนาภาวนา ภาวนาทั้งสองนี้เอง คือจิตตภาวนาการอบรมจิต เพราะการอบรมจิตนั้น
ก็คือเป็นการอบรมจิตด้วยสมถะภาวนา คืออบรมจิตให้สงบเป็นสมาธิ และด้วยวิปัสสนาภาวนา อบรมจิตให้เห็นจริงรู้แจ้งในธรรม
สติปัฏฐานทั้ง ๔ เป็นข้อปฏิบัติเบื้องต้น ก็ทางสมถะภาวนาซึ่งเป็นขั้นสมาธิ และสูงขึ้นไปก็เข้าขั้นวิปัสสนาภาวนา
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงสติปัฏฐานทั้ง ๔ ว่าเป็น เอกายนมรรค คือทางไปอันเอก
เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงโสกะความเศร้าโศก ปริเทวะความคร่ำครวญรัญจวนใจทั้งหลาย
เพื่อดับทุกข์ความไม่สบายกาย โทมนัสไม่สบายใจทั้งหลาย เพื่อบรรลุญายธรรม ธรรมะที่พึงบรรลุพึงรู้ ก็คืออริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ
เพื่อกระทำให้แจ้งพระนิพพาน ก็ได้แก่สติปัฏฐาน ๔ ข้อ
การปฏิบัติในสติปัฏฐาน
สติปัฏฐานนั้นแปลว่าที่ตั้งแห่งสติ หรือที่จอดแห่งสติ การปฏิบัติในสติปัฏฐาน ก็เป็นการตั้งสตินั้นเองในที่ตั้งของสติทั้ง ๔
อันได้แก่พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ พิจารณาเห็นธรรมะในธรรมะทั้งหลายอยู่เนืองๆ มีความเพียรทำกิเลสให้เร่าร้อน
หรือมีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะความรู้พร้อม หรือความรู้ตัว มีสติความระลึกได้
กำจัดอภิชฌาความยินดี โทมนัสความยินร้ายในโลกเสียได้
นี้คือสติปัฏฐานทั้ง ๔ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ เป็นหลักปฏิบัติทางสมถะภาวนา อบรมสมถะความสงบ คือสมาธิให้บังเกิดขึ้น
และส่งไปถึงวิปัสสนาภาวนา อบรมวิปัสสนาคือความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมให้บังเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น จึงเป็นหลักปฏิบัติอันสำคัญที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งสอนไว้ และทั้ง ๔ ข้อนี้ก็รวมกันเป็นทางอันเดียว
ที่เรียกว่าเป็นทางที่ไปอันเอกอันเดียว เพื่อความหมดจดบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย ก็เพราะสงบรำงับโสกะปริเทวะทั้งหลาย
ก็เพราะดับทุกข์โทมนัสทั้งหลาย ก็เพราะเพื่อบรรลุญายธรรม ธรรมะที่พึงบรรลุ หรือรู้ คืออริยมรรค
ก็เพราะเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ จึงเป็นไปเพื่อกำจัดมลทินโทษ ๔ ประการ
อันได้แก่โสกะความเศร้าโศก ปริเทวะความคร่ำครวญรัญจวนใจ ทุกขะความไม่สบายกาย โทมนัสสะความไม่สบายใจ
และเพื่อบรรลุคุณวิเศษ ๓ ประการ เพื่อความบริสุทธิ์ เพื่อบรรลุญายธรรม ธรรมะที่พึงบรรลุถึงพึงรู้คืออริยมรรค เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและทำความสงบสืบต่อไป
https://sites.google.com/site/smartdhamma/phuthth-a-nu-s-sti-xr-h-to-naew-ptibati-ni-sti-pat-than-4
พุทธานุสสติ อรหโต แนวปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร
อธิบายเริ่มสติปัฏฐาน ๔ ดีเยี่ยม
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ขอให้เราทั้งหลายตั้งใจเจริญพุทธานุสสติระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
จะแสดงพระคุณบทว่า อรหโต จากบทนะโมที่เราทั้งหลายสวดกัน ว่า นโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
อรหโต เป็นบทที่ ๒ ถัดจาก ภควโต ที่แสดงแล้ว
บทว่า อรหโต นี้ก็มาจากว่าอรหันต์ หรืออรหัง ดั่งที่เราแปลว่าพระอรหันต์ พระอาจารย์ได้แสดงความหมายไว้หลายอย่าง
ความหมายประการหนึ่ง ก็แปลว่าเป็นผู้ไกลกิเลส อันหมายความว่าละกิเลสได้แล้ว สิ้นกิเลสแล้ว
กิเลส
คำว่ากิเลสนั้นเป็นภาษาบาลี มาใช้เป็นภาษาไทย ซึ่งโดยมากก็เป็นที่เข้าใจกันในความหมายว่า
คือเครื่องเศร้าหมอง เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ เป็นอย่างละเอียดก็มี เป็นอย่างกลางก็มี เป็นอย่างหยาบก็มี
ที่เป็นอย่างละเอียดนั้นเรียกว่า อาสวะ ซึ่งแปลว่าเป็นเครื่องดอง อันหมายความว่าเป็นเครื่องดองจิตใจ
หรือเรียกว่า อนุสัย แปลว่านอนเนื่อง คือนอนเนื่องอยู่ในจิตใจ อันเป็นอย่างละเอียด และอย่างละเอียดนี้เองเมื่อกำเริบขึ้นมา
ก็เป็นอย่างกลาง เป็น นิวรณ์ คือเครื่องกลุ้มรุมจิต กั้นจิตใจ และหยาบออกมาอีกเป็นอย่างหยาบ ก็เป็นเครื่องก่อเจตนากรรม
กรรมคือความจงใจให้เกิดการกระทำออกไปทางกาย ทางวาจา ตลอดจนถึงทางใจเอง
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้พระธรรม หลุดพ้นจากกิเลสอย่างละเอียดทั้งหมด จึงพ้นจากกิเลสอย่างกลาง และพ้นจากกิเลสอย่างหยาบทั้งหมด
ไม่มีกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ซึ่งกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า จะเป็นกิเลสกองราคะความติดใจยินดี หรือโลภะความโลภอยากได้ก็ดี
เป็นกิเลสกองโกรธก็ดี กิเลสกองหลงก็ดี สิ้นไปหลุดพ้นไปทั้งหมด จิตของพระองค์พ้นจากกิเลสทั้งสิ้น จึงเป็นผู้อยู่ไกลกิเลส
ไม่มีกิเลสตั้งอยู่ในจิตใจของพระองค์ สิ้นเชิง กิเลสไม่มีกลับเข้ามาใกล้ พระคุณบทนี้แสดงถึงพระวิสุทธิคุณ พระคุณคือความบริสุทธิ์
หมดจดสะอาด ทั้งทางกาย ทั้งทางวาจา ทั้งทางใจ ทั้งสิ้น ไม่มีการกระทำที่เป็นตัวกรรมอันประกอบด้วยกิเลส
ทางกายทางวาจาทางจิตใจทั้งหมด ทรงเป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นเชิง ทรงแสดงธรรมะสั่งสอนก็เพื่อให้ผู้ฟังได้ทราบ และได้ปฏิบัติ
เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลายเช่นเดียวกัน
เราทั้งหลายได้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว ก็ได้พากันปฏิบัติ ในศีลบ้าง ในสมาธิบ้าง ในปัญญาบ้าง ก็เพื่อความบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส
เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสเป็นที่สุด
ข้อปฏิบัติเพื่อละกิเลส
แม้จะปฏิบัติในศีลซึ่งเป็นเครื่องละกิเลสอย่างหยาบได้ เช่นตั้งอยู่ในศีล ๕ ก็เว้นได้จากกิเลสอย่างหยาบ
อันเป็นเหตุให้ฆ่าเขาบ้าง ให้ลักของๆ เขาบ้าง ให้ประพฤติในกามบ้าง ให้พูดเท็จหลอกลวงเขาบ้าง
ให้ดื่มน้ำเมาคือสุราเมรัยอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งความประมาทบ้าง ก็พ้นได้จากกิเลสอย่างหยาบเหล่านี้ในขณะที่รักษาศีล
และเมื่อทำสมาธิ หากได้สมาธิ ก็ทำให้ระงับกิเลสที่บังเกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจเป็นนิวรณ์ได้ ในขณะที่จิตได้สมาธิ และเมื่อปฏิบัติในปัญญา
ก็สามารถที่จะสงบรำงับกิเลสที่เป็นอย่างละเอียด ยิ่งๆ ขึ้นไป ตามภูมิตามชั้นของการปฏิบัติ
ก็ชื่อว่าเป็นผู้ที่ปฏิบัติเพื่อความบริสุทธิ์กายวาจาใจ เพื่อให้เป็นผู้ไกลกิเลสเช่นเดียวกัน สมควรที่เราทั้งหลายจะพากันปฏิบัติ
ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
และศีลนั้นก็เป็นเครื่องอบรมสมาธิได้ สมาธินั้นก็เป็นเครื่องอบรมปัญญาได้ ปัญญานั้นก็เป็นเครื่องอบรมจิตใจได้
เพื่อให้จิตใจหลุดพ้นได้ในที่สุด จากอาสวะกิเลสที่ดองจิตสันดานทั้งหลาย และสมาธินั้น กับปัญญานั้น
ก็เรียกว่าเป็นการปฏิบัติทางสมถะภาวนา และวิปัสสนาภาวนา ภาวนาทั้งสองนี้เอง คือจิตตภาวนาการอบรมจิต เพราะการอบรมจิตนั้น
ก็คือเป็นการอบรมจิตด้วยสมถะภาวนา คืออบรมจิตให้สงบเป็นสมาธิ และด้วยวิปัสสนาภาวนา อบรมจิตให้เห็นจริงรู้แจ้งในธรรม
สติปัฏฐานทั้ง ๔ เป็นข้อปฏิบัติเบื้องต้น ก็ทางสมถะภาวนาซึ่งเป็นขั้นสมาธิ และสูงขึ้นไปก็เข้าขั้นวิปัสสนาภาวนา
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงสติปัฏฐานทั้ง ๔ ว่าเป็น เอกายนมรรค คือทางไปอันเอก
เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงโสกะความเศร้าโศก ปริเทวะความคร่ำครวญรัญจวนใจทั้งหลาย
เพื่อดับทุกข์ความไม่สบายกาย โทมนัสไม่สบายใจทั้งหลาย เพื่อบรรลุญายธรรม ธรรมะที่พึงบรรลุพึงรู้ ก็คืออริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ
เพื่อกระทำให้แจ้งพระนิพพาน ก็ได้แก่สติปัฏฐาน ๔ ข้อ
การปฏิบัติในสติปัฏฐาน
สติปัฏฐานนั้นแปลว่าที่ตั้งแห่งสติ หรือที่จอดแห่งสติ การปฏิบัติในสติปัฏฐาน ก็เป็นการตั้งสตินั้นเองในที่ตั้งของสติทั้ง ๔
อันได้แก่พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ พิจารณาเห็นธรรมะในธรรมะทั้งหลายอยู่เนืองๆ มีความเพียรทำกิเลสให้เร่าร้อน
หรือมีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะความรู้พร้อม หรือความรู้ตัว มีสติความระลึกได้
กำจัดอภิชฌาความยินดี โทมนัสความยินร้ายในโลกเสียได้
นี้คือสติปัฏฐานทั้ง ๔ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ เป็นหลักปฏิบัติทางสมถะภาวนา อบรมสมถะความสงบ คือสมาธิให้บังเกิดขึ้น
และส่งไปถึงวิปัสสนาภาวนา อบรมวิปัสสนาคือความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมให้บังเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น จึงเป็นหลักปฏิบัติอันสำคัญที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งสอนไว้ และทั้ง ๔ ข้อนี้ก็รวมกันเป็นทางอันเดียว
ที่เรียกว่าเป็นทางที่ไปอันเอกอันเดียว เพื่อความหมดจดบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย ก็เพราะสงบรำงับโสกะปริเทวะทั้งหลาย
ก็เพราะดับทุกข์โทมนัสทั้งหลาย ก็เพราะเพื่อบรรลุญายธรรม ธรรมะที่พึงบรรลุ หรือรู้ คืออริยมรรค
ก็เพราะเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ จึงเป็นไปเพื่อกำจัดมลทินโทษ ๔ ประการ
อันได้แก่โสกะความเศร้าโศก ปริเทวะความคร่ำครวญรัญจวนใจ ทุกขะความไม่สบายกาย โทมนัสสะความไม่สบายใจ
และเพื่อบรรลุคุณวิเศษ ๓ ประการ เพื่อความบริสุทธิ์ เพื่อบรรลุญายธรรม ธรรมะที่พึงบรรลุถึงพึงรู้คืออริยมรรค เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและทำความสงบสืบต่อไป
https://sites.google.com/site/smartdhamma/phuthth-a-nu-s-sti-xr-h-to-naew-ptibati-ni-sti-pat-than-4