ผมมีโอกาสไปฟังเสวนาในหัวข้อ “คนไทย(ชอบ)อ่านอะไร?” ที่จัดโดยหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งเป็นกิจกรรมในโครงการส่งเสริมให้คนอ่านหนังสือกันให้มากขึ้น จัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2561 เนื้อหาในการเสวนาครั้งนี้น่าสนใจมาก ผมจึงจับประเด็นสำคัญที่ได้รับฟังเอามาเขียนนำเสนอเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านด้วย
(รายละเอียดจากการเสวนาในครั้งนี้ ผมจดเป็นบันทึกช่วยจำย่อ (จดเลคเชอร์) แล้วจึงนำมาเรียบเรียงใหม่ ดังนั้นถ้ามีรายละเอียดประการใดที่ผิดพลาด หรือคาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ผมก็ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ ขอบคุณมากครับ)
โดยวิทยากรผู้นำเสวนามี 3 ท่านคือ คุณอรรถ บุนนาค เจ้าของสำนักพิมพ์แปลเรื่องญี่ปุ่น JLIT และคุณโจ้กับคุณเน็ต จากร้านขายหนังสือออนไลน์ Readery
-เริ่มที่คุณอรรถ ใครที่บอกว่าวัยรุ่นไม่อ่านหนังสือนั้นไม่จริงเลย เพราะตัวเองทำสำนักพิมพ์ที่ขายหนังสือให้แก่วัยรุ่น เชื่อว่าในยุคนี้วัยรุ่นมีโอกาสในการอ่านเยอะมากกว่าสมัยก่อน
-จากผลการสำรวจ คนที่ไม่อ่านหนังสือคือคนในวัยทำงานอายุระหว่าง 30-40 ปี เนื่องจากคนกลุ่มนี้อยู่ในวัยทำงาน กำลังทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว คนทำงานพอกลับมาบ้านก็เหนื่อยจนไม่อยากอ่านหนังสือแล้ว
-ส่วนกลุ่มคนที่อ่านเยอะที่สุดอยู่ในช่วงระหว่าง 20-30 ปี และจะกลับมาอ่านหนังสือเยอะอีกครั้งก็เมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไปแล้ว จนเมื่อถึงวัยเกษียณก็จะกลับมาอ่านหนังสือมากขึ้นเช่นกัน
-เด็กในยุคนี้มีหนังสือให้อ่านเยอะมาก หลากหลายเยอะกว่าในสมัยก่อนมาก ในยุคสมัยนี้มีหนังสือแปลที่มีเนื้อหาแปลกใหม่ จากการสำรวจเด็กมัธยมต้นบางคนเริ่มอ่านวรรณกรรมคลาสิคของโลกแล้ว โดยเมื่อเขาได้อ่านเรื่องแปลพวกนี้แล้วเขาชอบก็จะเกิดแรงบันดาลใจให้เขาอยากไปหาต้นฉบับ(ภาษาต่างประเทศ)มาอ่านด้วย
-ที่น่าสนใจคือว่า วัยรุ่นอ่านคอนเทนต์ที่เป็นนิยายเยอะมาก แต่หนังสือในบ้านเราไม่ค่อยจะมีเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัยรุ่นสักเท่าไหร่เลย คือในวงการหนังสือไทยยังขาดวรณกรรมเยาวชนที่ดีๆ สำหรับให้เด็กวัยรุ่นอ่าน
-ถ้าย้อนไปในสมัยก่อน ในสมัยที่คุณอรรถเป็นวัยรุ่น จะมีนิตยสาร “เธอกับฉัน” ที่ถือว่าเป็นหนังสือของวัยรุ่นในยุคนั้น มี “พจน์ อานนท์” เป็นบรรณาธิการ ในตัวนิตยสารมีเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของวัยรุ่น รวมทั้งมีนวนิยายวัยรุ่นที่ดีๆ หลายเรื่องด้วย แต่ในปัจจุบันในท้องตลาดไม่มีหนังสือในลักษณะนี้เลย
-สำหรับนิตยสาร “เธอกับฉัน” ในสมัยก่อนนั้นคงเรียกว่าเป็นสกุลไทยฉบับวัยรุ่นเลย เทียบเท่ากับนวนิยายที่โพสลงในเว็บสมัยนี้ เช่น เด็กดี , จอยลดา , ธัญวลัย , Storylog , ReadAWrite ฯลฯ เพียงแต่นิยายที่ลงในเว็บพวกนี้ไม่ผ่านการกลั่นกรองจากบรรณาธิการเลย
-ในยุคนี้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายอย่าไปต่อว่าลูกเลย ในการที่ลูกเป็นติ่งโน้นติ่งนี้หรือชื่นชอบในสิ่งต่างๆ เพราะในสมัยก่อนคุณพ่อคุณแม่ก็มีความรู้สึกเหมือนกับลูกๆ ในตอนนี้เช่นกัน เพียงแต่แสดงออกไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง
-ถ้าถามว่าคนไทยอ่านอะไร? ตอบได้ว่าคนไทยก็อ่านคอนเทนต์ในแบบเดิมไม่ได้เปลี่ยนเลย แต่ที่เปลี่ยนไปคือรายละเอียดต่างๆ ในคอนเทนต์นั้นๆ อย่างเช่นในสมัยก่อนยุคคุณพ่อคุณแม่อาจจะได้อ่านแต่นิยายรัก แต่รุ่นลูกในสมัยนี้เข้าได้อ่านเรื่องรักเหมือนกัน แต่ในรายละเอียดของเรื่องนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ในนิยายรักสมัยนี้อาจจะมีแฝงเรื่องสิทธิสตรีเอาไว้ด้วย ซึ่งนิยายในสมัยก่อนไม่ค่อยกล้าพูดเรื่องนี้มากนัก หรือปัจจุบันนี้มีเรื่องชายรักชายเป็นนิยายวาย เป็นแนวที่วัยรุ่นกำลังนิยมอ่านอยู่
-จะเห็นได้ว่าคอนเทนต์ในสมัยใหม่นี้มีความหลากหลายมากขึ้น คือมีแยกย่อยแตกออกไปเยอะ หรือมีเซ็กเม้นท์ (segment) มากขึ้น ไม่เหมือนในสมัยก่อนที่นักเขียนดังจะครองตลาดอยู่ตลอด เรื่องราวหรือคอนเทนต์ต่างๆ ก็จะซ้ำไปซ้ำมาตลอด
-เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงก็จะเห็นว่า ในปัจจุบันนี้คนที่เป็นผู้ใหญ่เหมือนว่าจะไม่มีคอนเทนต์อะไรให้อ่าน เพราะที่มีอยู่ในตลาดไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจ ไม่ใช่เรื่องของวัยเขา หลายสำนักพิมพ์มองข้ามกลุ่มผู้อ่านสูงวัยนี้ไปเลย จะเห็นว่าไม่ค่อยมีสำนักพิมพ์ไหนเลยที่ทำฟอนซ์(ลักษณะของตัวอักษร)ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อที่คนแก่จะได้อ่านได้ บางครั้งตัวหนังสือที่เล็กเกินไปผู้ใหญ่ก็อ่านไม่ได้ ทำให้ความรื่นรมย์ในการอ่านลดน้อยลงไป
-ขอยกตัวอย่างนักเขียนดังที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้คือ ว.วินิจฉัยกุล อาจารย์วินิตามักจะใช้ทฤษฎีทางวรรณคดีมาใช้ในนวนิยายที่ท่านเขียนเยอะมาก อ่านแล้วจะเห็นว่าเรื่องราวปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ทำให้เรื่องเป็นสมัยใหม่มากขึ้น และช่วงหลังอาจารย์วินิตาพยายามเอาสังคมผู้สูงวัยเข้ามาใส่ไว้ในนวนิยายของท่านด้วย เช่นเรื่อง “จากฝัน สู่นิรันดร” คุณอรรถชื่นชมเป็นอย่างมาก
-นักเขียนต้องเข้าใจว่ากลุ่มผู้อ่านของเราคือใคร จะได้สร้างเรื่องได้ตรงกับความต้องการของผู้อ่านด้วย เช่นถ้าเป็นผู้อ่านกลุ่มมีอายุสักหน่อย ถ้าจะเขียนเรื่องรักก็อาจจะเป็นรักแบบพีเรียด(ย้อนยุค)ก็ได้
-ปัจจุบันจึงกลายเป็นว่า คอนเทนต์ของใครก็ของมัน ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจคอนเทนต์ของเด็ก จึงทำให้เด็กก็ไม่เข้าใจคอนเทนต์ของผู้ใหญ่ด้วย ผู้ปกครองในสมัยนี้จึงควรต้องเปิดใจให้กว้าง ต้องยอมรับเรื่องราวของพวกเด็กๆ ด้วย ลองเข้าไปอ่านนิยายในเว็บดู อย่างที่ เด็กดี , จอยลดา , ธัญวลัย ฯลฯ ผู้ใหญ่อ่านแล้วอาจจะรู้สึกกรี๊ดกร๊าดบอกว่าอ่านไม่ได้ แต่ต้องอย่าลืมว่าในสมัยก่อนคุณก็เคยอ่านนิยายประโลมโลกมาก่อน เคยต้องคลุมโปงแอบอ่านก็มี เพราะฉะนั้นอย่างไปว่าเด็กเลย
-คุณเน็ตเอาสถิติจากเว็บ Readery มาโชว์ให้ดูกัน กลุ่มลูกค้าประมาณ 60% เป็นกลุ่มคนอายุ 18-30 ปี โดยเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
-คุณเน็ตจะลองเอา 20 อันดับหนังสือขายดีในปี 2018 มาพูดให้เห็นว่าคนไทยชอบอ่านอะไร? โดยอันดับที่ 20 เป็นหนังสือชื่อ “วัสดุนิยม : เรื่องราวสุดทึ่งของสารพันวัตถุเปลี่ยนโลก” เล่มนี้เป็นหนังสือแปลที่พูดถึงสิ่งของหรือวัตถุต่างๆ ที่เราเห็นอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยดูว่าใครเป็นคนค้นคิดหรือประดิษฐ์ขึ้นมา หรือผลิตอย่างไร เป็นมาอย่างไร เล่มนี้ขายดีเพราะมีกระแสป๊อปซายน์ (Pop Science) คือเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ที่อ่านสนุก
-ซึ่งปีที่แล้วหนังสือในแนวป๊อปซายน์นี้โตขึ้นเยอะมากเลย ป๊อปซายน์ (Pop Science) เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนเรา คือเอาวิทยาศาสตร์มาย่อยเพื่อเขียนให้อ่านสนุกและได้ความรู้ด้วย
-คุณโจ้เสริมว่า ปัจจุบันห้องสมุดควรจะต้องจัดหมวดหมู่หนังสือใหม่เลย เพราะมันมีแนวหนังสือที่เกิดใหม่เยอะมาก ควรจะสร้างแยกออกมาเป็นเซ็กเม้นท์ใหม่เลย
-หนังสือแนวป๊อปซายน์ (Pop Science) อีกเล่มที่น่าสนใจคือเรื่อง “ความงามแห่งฟิสิกส์” เล่มนี้เขียนเรื่องฟิสิกส์ให้เป็นภาษาแบบวรรณกรรมเลย คนทั่วไปอาจจะคิดว่าเรื่องฟิสิกส์เป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไป แต่พอได้มาอ่านเล่มนี้แล้วจะรู้เลยว่ามันสนุกมาก อ่านแล้วมหัศจรรย์มาก ไม่คิดว่าเรื่องวิทยาศาสตร์จะเอามาเขียนได้สนุกขนาดนี้
-คุณโจ้เสริมว่า “ความงามแห่งฟิสิกส์” เล่มนี้อ่านสนุกมาก เพราะเขาใช้ภาษาแบบงานวรรณกรรมเลย เราจะอ่านเพื่อเป็นบันทึกประสบการณ์ชีวิตก็ได้ หรือจะอ่านเอาความรู้ก็ได้ หรือจะอ่านเอาความเพลิดเพลินก็ได้
-คุณอรรถให้ความเห็นว่า ปัจจุบันร้านขายหนังสือมีปัญหาเรื่องการวางหนังสือเหมือนกัน เพราะว่าคนขายไม่ได้อ่านหนังสือ จึงไม่รู้อย่างแท้จริงว่าเล่มไหนควรอยู่ตรงไหน เล่มไหนอยู่ในหมวดไหนกันแน่ เท่าที่เคยพบก็คือ มีร้านหนังสือเอาหนังสือเรื่อง “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” ไปวางไว้ในหมวดเกษตรกรรม
-คุณเน็ตบอกว่า สำหรับเรื่อง “ความงามแห่งฟิสิกส์” นี้ ทางสำนักพิมพ์โอเพ่นเวิลด์ส ได้เลือกคนแปล (สุนันทา วรรณสินธ์ เบล) ที่เคยแปลงานวรรณกรรมมาก่อนเป็นผู้แปลหนังสือเล่มนี้ด้วย
-คุณเน็ตแนะนำต่อหนังสือขายดีอันดับที่ 19 ชื่อเรื่อง “อาทิตย์สิ้นแสง” เล่มนี้เป็นวรรณกรรมคลาสิคของญี่ปุ่นแปลโดยสำนักพิมพ์ JLIT ของคุณอรรถ
-คุณอรรถเสริมให้ว่า จริงๆ แล้วเรื่องแปลญี่ปุ่นเรื่องแรกของทาง JLIT คือเอง “สูญสิ้นความเป็นคน” คือคุณอรรถเคยได้ไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น เคยได้อ่านวรรณกรรมคลาสิคของญี่ปุ่นซึ่งใช้ภาษาเหนือกว่างานทั่วไป จึงลองแปลเรื่องโดยตรงมาจากภาษาญี่ปุ่น แรกเลยมองเห็นกลุ่มเป้าหมายที่น่าจะซื้อสักประมาณ 2,000 คน จึงพิมพ์ 2,000 เล่ม แต่เกิดขายดีขึ้นมา จนกลายเป็นกระแสอ่านงานญี่ปุ่น กลายเป็นซับคัลเจอร์ขึ้นมา โดยมาจากกลุ่มฮิปเตอร์เป็นหลักก่อน ประมาณว่า ขี่จักรยานมานั่งทำงานในร้านกาแฟ ใช้ชีวิตสโลไลฟ์
-เมื่อมีกลุ่มวัยรุ่นที่อ่านหนังสือไม่ใช่กระแสหลัก พวกเขาจะสร้างซับคัลเจอร์ (Sub Culture) ขึ้นมา ในอนาคตกลุ่มนี้อาจจะกลายมาเป็นกลุ่มกระแสหลักก็ได้ จะเห็นว่าในปัจจุบันซับคัลเจอร์แนวฮิบเตอร์กำลังมาแรง กลุ่มคนพวกนี้พยายามจะย้อนกลับไปสู่ความรุ่งเรืองในอดีต กลุ่มนี้มีความคิดเป็นของตัวเอง เพิกเฉยต่อการเมือง ใช้ขีวิตอยู่กับธรรมชาติเป็นหลัก
-คุณโจ้เสริมในประเด็นนี้ว่า ดังนั้นถ้าถามว่าคนไทยชอบอ่านอะไร? ก็คงตอบได้ว่าคนไทยชอบอ่านหนังสือตามกระแส คือตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจบันจะอ่านตามกระแสเป็นหลัก ยุคก่อนอาจจะอ่านตามกระแสที่ละครกำลังออนแอร์ แต่ในยุคปัจจุบันมีกระแสต่างๆ เกิดขึ้นมากมายและหลากหลายมากขึ้น
-คุณอรรถให้ความเห็นว่า พอมีอินเตอร์เน็ตเกิดขึ้น ความชอบของคนก็เริ่มหลากหลายมากขึ้นด้วย คนสามารถเข้าถึงสิ่งที่ชอบได้มากขึ้นและถี่มากกว่าแต่ก่อน ด้วยความที่เซ็กเม้นท์มันหลากหลายมากขึ้น คนก็จะเลือกอ่านตามแต่เรื่องที่ตัวเองชอบ ดังนั้นสำนักพิมพ์ที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักที่ชัดเจนจึงจะอยู่ได้
-อย่างเช่น ถ้ามีนิยายที่ตัวละครเอกเป็นนักปักผ้า ปรากฎว่าตรงกับกลุ่มคนที่ชอบทำงานฝีมือหรืองานดร๊าฟพอดีเขาก็จะรีบซื้อเล่มนี้ทันทีเลย ปัจจุบันจะเห็นว่ามีสังคมกลุ่มปักผ้าเกิดขึ้นมา ยุคนี้เป็นยุคที่มีการสอนงานฝีมือกันเยอะ สอนการปักผ้าก็มีเยอะด้วย การที่มีปากกาเขียนผ้าออกมาจำหน่าย คนกลุ่มนี้ก็จะชอบใจมาก ส่วนคนอื่นทั่วไปก็จะไม่เข้าใจความรู้สึกของคนกลุ่มนี้เลย
-คุณโจ้ ให้คำตอบเดียวกันกับคุณอรรถว่า ปัจจุบันคนไทยอ่านหนังสือตามสิ่งที่เขาขอบ
-คุณอรรถ บอกว่าคนไทยยังอ่านอยู่ คนไทยยังอ่านคอนเทนต์อยู่เสมอ ทุกคนอ่านคอนเทนต์ตามรสนิยมของตัวเอง ตามความชื่นชอบของตัวเอง ถึงแม้มันจะหลากหลายขึ้นแต่มันก็ยังมีความชอบส่วนตัวอยู่
-คุณเน็ตไล่อันดับหนังสือขายดีที่เป็นเรื่องแปลญี่ปุ่นให้ฟังต่อ อันดับที่ 19 คือ “อาทิตย์สิ้นแสง” อันดับที่ 14 คือเรื่อง “พรุ่งนี้ผมจะเดตกับเธอคนเมื่อวาน” เล่มนี้เป็นเรื่องที่มีวิธีการเล่าเรื่องที่พิเศษมาก ต้องลองไปหาอ่านกันดู , อีกเรื่องคือ “ดวงดาวแห่งเงามืด” และเรื่อง “ฆาตกรรบนเนิน D” สรุปว่าในอันดับหนังสือขายดีมีกระแสหนังสือแปลญี่ปุ่น 5 เรื่อง
คนไทย(ชอบ)อ่านอะไร?
(รายละเอียดจากการเสวนาในครั้งนี้ ผมจดเป็นบันทึกช่วยจำย่อ (จดเลคเชอร์) แล้วจึงนำมาเรียบเรียงใหม่ ดังนั้นถ้ามีรายละเอียดประการใดที่ผิดพลาด หรือคาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ผมก็ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ ขอบคุณมากครับ)
โดยวิทยากรผู้นำเสวนามี 3 ท่านคือ คุณอรรถ บุนนาค เจ้าของสำนักพิมพ์แปลเรื่องญี่ปุ่น JLIT และคุณโจ้กับคุณเน็ต จากร้านขายหนังสือออนไลน์ Readery
-เริ่มที่คุณอรรถ ใครที่บอกว่าวัยรุ่นไม่อ่านหนังสือนั้นไม่จริงเลย เพราะตัวเองทำสำนักพิมพ์ที่ขายหนังสือให้แก่วัยรุ่น เชื่อว่าในยุคนี้วัยรุ่นมีโอกาสในการอ่านเยอะมากกว่าสมัยก่อน
-จากผลการสำรวจ คนที่ไม่อ่านหนังสือคือคนในวัยทำงานอายุระหว่าง 30-40 ปี เนื่องจากคนกลุ่มนี้อยู่ในวัยทำงาน กำลังทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว คนทำงานพอกลับมาบ้านก็เหนื่อยจนไม่อยากอ่านหนังสือแล้ว
-ส่วนกลุ่มคนที่อ่านเยอะที่สุดอยู่ในช่วงระหว่าง 20-30 ปี และจะกลับมาอ่านหนังสือเยอะอีกครั้งก็เมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไปแล้ว จนเมื่อถึงวัยเกษียณก็จะกลับมาอ่านหนังสือมากขึ้นเช่นกัน
-เด็กในยุคนี้มีหนังสือให้อ่านเยอะมาก หลากหลายเยอะกว่าในสมัยก่อนมาก ในยุคสมัยนี้มีหนังสือแปลที่มีเนื้อหาแปลกใหม่ จากการสำรวจเด็กมัธยมต้นบางคนเริ่มอ่านวรรณกรรมคลาสิคของโลกแล้ว โดยเมื่อเขาได้อ่านเรื่องแปลพวกนี้แล้วเขาชอบก็จะเกิดแรงบันดาลใจให้เขาอยากไปหาต้นฉบับ(ภาษาต่างประเทศ)มาอ่านด้วย
-ที่น่าสนใจคือว่า วัยรุ่นอ่านคอนเทนต์ที่เป็นนิยายเยอะมาก แต่หนังสือในบ้านเราไม่ค่อยจะมีเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัยรุ่นสักเท่าไหร่เลย คือในวงการหนังสือไทยยังขาดวรณกรรมเยาวชนที่ดีๆ สำหรับให้เด็กวัยรุ่นอ่าน
-ถ้าย้อนไปในสมัยก่อน ในสมัยที่คุณอรรถเป็นวัยรุ่น จะมีนิตยสาร “เธอกับฉัน” ที่ถือว่าเป็นหนังสือของวัยรุ่นในยุคนั้น มี “พจน์ อานนท์” เป็นบรรณาธิการ ในตัวนิตยสารมีเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของวัยรุ่น รวมทั้งมีนวนิยายวัยรุ่นที่ดีๆ หลายเรื่องด้วย แต่ในปัจจุบันในท้องตลาดไม่มีหนังสือในลักษณะนี้เลย
-สำหรับนิตยสาร “เธอกับฉัน” ในสมัยก่อนนั้นคงเรียกว่าเป็นสกุลไทยฉบับวัยรุ่นเลย เทียบเท่ากับนวนิยายที่โพสลงในเว็บสมัยนี้ เช่น เด็กดี , จอยลดา , ธัญวลัย , Storylog , ReadAWrite ฯลฯ เพียงแต่นิยายที่ลงในเว็บพวกนี้ไม่ผ่านการกลั่นกรองจากบรรณาธิการเลย
-ในยุคนี้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายอย่าไปต่อว่าลูกเลย ในการที่ลูกเป็นติ่งโน้นติ่งนี้หรือชื่นชอบในสิ่งต่างๆ เพราะในสมัยก่อนคุณพ่อคุณแม่ก็มีความรู้สึกเหมือนกับลูกๆ ในตอนนี้เช่นกัน เพียงแต่แสดงออกไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง
-ถ้าถามว่าคนไทยอ่านอะไร? ตอบได้ว่าคนไทยก็อ่านคอนเทนต์ในแบบเดิมไม่ได้เปลี่ยนเลย แต่ที่เปลี่ยนไปคือรายละเอียดต่างๆ ในคอนเทนต์นั้นๆ อย่างเช่นในสมัยก่อนยุคคุณพ่อคุณแม่อาจจะได้อ่านแต่นิยายรัก แต่รุ่นลูกในสมัยนี้เข้าได้อ่านเรื่องรักเหมือนกัน แต่ในรายละเอียดของเรื่องนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ในนิยายรักสมัยนี้อาจจะมีแฝงเรื่องสิทธิสตรีเอาไว้ด้วย ซึ่งนิยายในสมัยก่อนไม่ค่อยกล้าพูดเรื่องนี้มากนัก หรือปัจจุบันนี้มีเรื่องชายรักชายเป็นนิยายวาย เป็นแนวที่วัยรุ่นกำลังนิยมอ่านอยู่
-จะเห็นได้ว่าคอนเทนต์ในสมัยใหม่นี้มีความหลากหลายมากขึ้น คือมีแยกย่อยแตกออกไปเยอะ หรือมีเซ็กเม้นท์ (segment) มากขึ้น ไม่เหมือนในสมัยก่อนที่นักเขียนดังจะครองตลาดอยู่ตลอด เรื่องราวหรือคอนเทนต์ต่างๆ ก็จะซ้ำไปซ้ำมาตลอด
-เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงก็จะเห็นว่า ในปัจจุบันนี้คนที่เป็นผู้ใหญ่เหมือนว่าจะไม่มีคอนเทนต์อะไรให้อ่าน เพราะที่มีอยู่ในตลาดไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจ ไม่ใช่เรื่องของวัยเขา หลายสำนักพิมพ์มองข้ามกลุ่มผู้อ่านสูงวัยนี้ไปเลย จะเห็นว่าไม่ค่อยมีสำนักพิมพ์ไหนเลยที่ทำฟอนซ์(ลักษณะของตัวอักษร)ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อที่คนแก่จะได้อ่านได้ บางครั้งตัวหนังสือที่เล็กเกินไปผู้ใหญ่ก็อ่านไม่ได้ ทำให้ความรื่นรมย์ในการอ่านลดน้อยลงไป
-ขอยกตัวอย่างนักเขียนดังที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้คือ ว.วินิจฉัยกุล อาจารย์วินิตามักจะใช้ทฤษฎีทางวรรณคดีมาใช้ในนวนิยายที่ท่านเขียนเยอะมาก อ่านแล้วจะเห็นว่าเรื่องราวปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ทำให้เรื่องเป็นสมัยใหม่มากขึ้น และช่วงหลังอาจารย์วินิตาพยายามเอาสังคมผู้สูงวัยเข้ามาใส่ไว้ในนวนิยายของท่านด้วย เช่นเรื่อง “จากฝัน สู่นิรันดร” คุณอรรถชื่นชมเป็นอย่างมาก
-นักเขียนต้องเข้าใจว่ากลุ่มผู้อ่านของเราคือใคร จะได้สร้างเรื่องได้ตรงกับความต้องการของผู้อ่านด้วย เช่นถ้าเป็นผู้อ่านกลุ่มมีอายุสักหน่อย ถ้าจะเขียนเรื่องรักก็อาจจะเป็นรักแบบพีเรียด(ย้อนยุค)ก็ได้
-ปัจจุบันจึงกลายเป็นว่า คอนเทนต์ของใครก็ของมัน ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจคอนเทนต์ของเด็ก จึงทำให้เด็กก็ไม่เข้าใจคอนเทนต์ของผู้ใหญ่ด้วย ผู้ปกครองในสมัยนี้จึงควรต้องเปิดใจให้กว้าง ต้องยอมรับเรื่องราวของพวกเด็กๆ ด้วย ลองเข้าไปอ่านนิยายในเว็บดู อย่างที่ เด็กดี , จอยลดา , ธัญวลัย ฯลฯ ผู้ใหญ่อ่านแล้วอาจจะรู้สึกกรี๊ดกร๊าดบอกว่าอ่านไม่ได้ แต่ต้องอย่าลืมว่าในสมัยก่อนคุณก็เคยอ่านนิยายประโลมโลกมาก่อน เคยต้องคลุมโปงแอบอ่านก็มี เพราะฉะนั้นอย่างไปว่าเด็กเลย
-คุณเน็ตเอาสถิติจากเว็บ Readery มาโชว์ให้ดูกัน กลุ่มลูกค้าประมาณ 60% เป็นกลุ่มคนอายุ 18-30 ปี โดยเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
-คุณเน็ตจะลองเอา 20 อันดับหนังสือขายดีในปี 2018 มาพูดให้เห็นว่าคนไทยชอบอ่านอะไร? โดยอันดับที่ 20 เป็นหนังสือชื่อ “วัสดุนิยม : เรื่องราวสุดทึ่งของสารพันวัตถุเปลี่ยนโลก” เล่มนี้เป็นหนังสือแปลที่พูดถึงสิ่งของหรือวัตถุต่างๆ ที่เราเห็นอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยดูว่าใครเป็นคนค้นคิดหรือประดิษฐ์ขึ้นมา หรือผลิตอย่างไร เป็นมาอย่างไร เล่มนี้ขายดีเพราะมีกระแสป๊อปซายน์ (Pop Science) คือเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ที่อ่านสนุก
-ซึ่งปีที่แล้วหนังสือในแนวป๊อปซายน์นี้โตขึ้นเยอะมากเลย ป๊อปซายน์ (Pop Science) เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนเรา คือเอาวิทยาศาสตร์มาย่อยเพื่อเขียนให้อ่านสนุกและได้ความรู้ด้วย
-คุณโจ้เสริมว่า ปัจจุบันห้องสมุดควรจะต้องจัดหมวดหมู่หนังสือใหม่เลย เพราะมันมีแนวหนังสือที่เกิดใหม่เยอะมาก ควรจะสร้างแยกออกมาเป็นเซ็กเม้นท์ใหม่เลย
-หนังสือแนวป๊อปซายน์ (Pop Science) อีกเล่มที่น่าสนใจคือเรื่อง “ความงามแห่งฟิสิกส์” เล่มนี้เขียนเรื่องฟิสิกส์ให้เป็นภาษาแบบวรรณกรรมเลย คนทั่วไปอาจจะคิดว่าเรื่องฟิสิกส์เป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไป แต่พอได้มาอ่านเล่มนี้แล้วจะรู้เลยว่ามันสนุกมาก อ่านแล้วมหัศจรรย์มาก ไม่คิดว่าเรื่องวิทยาศาสตร์จะเอามาเขียนได้สนุกขนาดนี้
-คุณโจ้เสริมว่า “ความงามแห่งฟิสิกส์” เล่มนี้อ่านสนุกมาก เพราะเขาใช้ภาษาแบบงานวรรณกรรมเลย เราจะอ่านเพื่อเป็นบันทึกประสบการณ์ชีวิตก็ได้ หรือจะอ่านเอาความรู้ก็ได้ หรือจะอ่านเอาความเพลิดเพลินก็ได้
-คุณอรรถให้ความเห็นว่า ปัจจุบันร้านขายหนังสือมีปัญหาเรื่องการวางหนังสือเหมือนกัน เพราะว่าคนขายไม่ได้อ่านหนังสือ จึงไม่รู้อย่างแท้จริงว่าเล่มไหนควรอยู่ตรงไหน เล่มไหนอยู่ในหมวดไหนกันแน่ เท่าที่เคยพบก็คือ มีร้านหนังสือเอาหนังสือเรื่อง “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” ไปวางไว้ในหมวดเกษตรกรรม
-คุณเน็ตบอกว่า สำหรับเรื่อง “ความงามแห่งฟิสิกส์” นี้ ทางสำนักพิมพ์โอเพ่นเวิลด์ส ได้เลือกคนแปล (สุนันทา วรรณสินธ์ เบล) ที่เคยแปลงานวรรณกรรมมาก่อนเป็นผู้แปลหนังสือเล่มนี้ด้วย
-คุณเน็ตแนะนำต่อหนังสือขายดีอันดับที่ 19 ชื่อเรื่อง “อาทิตย์สิ้นแสง” เล่มนี้เป็นวรรณกรรมคลาสิคของญี่ปุ่นแปลโดยสำนักพิมพ์ JLIT ของคุณอรรถ
-คุณอรรถเสริมให้ว่า จริงๆ แล้วเรื่องแปลญี่ปุ่นเรื่องแรกของทาง JLIT คือเอง “สูญสิ้นความเป็นคน” คือคุณอรรถเคยได้ไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น เคยได้อ่านวรรณกรรมคลาสิคของญี่ปุ่นซึ่งใช้ภาษาเหนือกว่างานทั่วไป จึงลองแปลเรื่องโดยตรงมาจากภาษาญี่ปุ่น แรกเลยมองเห็นกลุ่มเป้าหมายที่น่าจะซื้อสักประมาณ 2,000 คน จึงพิมพ์ 2,000 เล่ม แต่เกิดขายดีขึ้นมา จนกลายเป็นกระแสอ่านงานญี่ปุ่น กลายเป็นซับคัลเจอร์ขึ้นมา โดยมาจากกลุ่มฮิปเตอร์เป็นหลักก่อน ประมาณว่า ขี่จักรยานมานั่งทำงานในร้านกาแฟ ใช้ชีวิตสโลไลฟ์
-เมื่อมีกลุ่มวัยรุ่นที่อ่านหนังสือไม่ใช่กระแสหลัก พวกเขาจะสร้างซับคัลเจอร์ (Sub Culture) ขึ้นมา ในอนาคตกลุ่มนี้อาจจะกลายมาเป็นกลุ่มกระแสหลักก็ได้ จะเห็นว่าในปัจจุบันซับคัลเจอร์แนวฮิบเตอร์กำลังมาแรง กลุ่มคนพวกนี้พยายามจะย้อนกลับไปสู่ความรุ่งเรืองในอดีต กลุ่มนี้มีความคิดเป็นของตัวเอง เพิกเฉยต่อการเมือง ใช้ขีวิตอยู่กับธรรมชาติเป็นหลัก
-คุณโจ้เสริมในประเด็นนี้ว่า ดังนั้นถ้าถามว่าคนไทยชอบอ่านอะไร? ก็คงตอบได้ว่าคนไทยชอบอ่านหนังสือตามกระแส คือตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจบันจะอ่านตามกระแสเป็นหลัก ยุคก่อนอาจจะอ่านตามกระแสที่ละครกำลังออนแอร์ แต่ในยุคปัจจุบันมีกระแสต่างๆ เกิดขึ้นมากมายและหลากหลายมากขึ้น
-คุณอรรถให้ความเห็นว่า พอมีอินเตอร์เน็ตเกิดขึ้น ความชอบของคนก็เริ่มหลากหลายมากขึ้นด้วย คนสามารถเข้าถึงสิ่งที่ชอบได้มากขึ้นและถี่มากกว่าแต่ก่อน ด้วยความที่เซ็กเม้นท์มันหลากหลายมากขึ้น คนก็จะเลือกอ่านตามแต่เรื่องที่ตัวเองชอบ ดังนั้นสำนักพิมพ์ที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักที่ชัดเจนจึงจะอยู่ได้
-อย่างเช่น ถ้ามีนิยายที่ตัวละครเอกเป็นนักปักผ้า ปรากฎว่าตรงกับกลุ่มคนที่ชอบทำงานฝีมือหรืองานดร๊าฟพอดีเขาก็จะรีบซื้อเล่มนี้ทันทีเลย ปัจจุบันจะเห็นว่ามีสังคมกลุ่มปักผ้าเกิดขึ้นมา ยุคนี้เป็นยุคที่มีการสอนงานฝีมือกันเยอะ สอนการปักผ้าก็มีเยอะด้วย การที่มีปากกาเขียนผ้าออกมาจำหน่าย คนกลุ่มนี้ก็จะชอบใจมาก ส่วนคนอื่นทั่วไปก็จะไม่เข้าใจความรู้สึกของคนกลุ่มนี้เลย
-คุณโจ้ ให้คำตอบเดียวกันกับคุณอรรถว่า ปัจจุบันคนไทยอ่านหนังสือตามสิ่งที่เขาขอบ
-คุณอรรถ บอกว่าคนไทยยังอ่านอยู่ คนไทยยังอ่านคอนเทนต์อยู่เสมอ ทุกคนอ่านคอนเทนต์ตามรสนิยมของตัวเอง ตามความชื่นชอบของตัวเอง ถึงแม้มันจะหลากหลายขึ้นแต่มันก็ยังมีความชอบส่วนตัวอยู่
-คุณเน็ตไล่อันดับหนังสือขายดีที่เป็นเรื่องแปลญี่ปุ่นให้ฟังต่อ อันดับที่ 19 คือ “อาทิตย์สิ้นแสง” อันดับที่ 14 คือเรื่อง “พรุ่งนี้ผมจะเดตกับเธอคนเมื่อวาน” เล่มนี้เป็นเรื่องที่มีวิธีการเล่าเรื่องที่พิเศษมาก ต้องลองไปหาอ่านกันดู , อีกเรื่องคือ “ดวงดาวแห่งเงามืด” และเรื่อง “ฆาตกรรบนเนิน D” สรุปว่าในอันดับหนังสือขายดีมีกระแสหนังสือแปลญี่ปุ่น 5 เรื่อง