คนไทย(ชอบ)อ่านอะไร?

ผมมีโอกาสไปฟังเสวนาในหัวข้อ “คนไทย(ชอบ)อ่านอะไร?”  ที่จัดโดยหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งเป็นกิจกรรมในโครงการส่งเสริมให้คนอ่านหนังสือกันให้มากขึ้น  จัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2561  เนื้อหาในการเสวนาครั้งนี้น่าสนใจมาก  ผมจึงจับประเด็นสำคัญที่ได้รับฟังเอามาเขียนนำเสนอเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านด้วย

(รายละเอียดจากการเสวนาในครั้งนี้  ผมจดเป็นบันทึกช่วยจำย่อ (จดเลคเชอร์) แล้วจึงนำมาเรียบเรียงใหม่  ดังนั้นถ้ามีรายละเอียดประการใดที่ผิดพลาด  หรือคาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง  ผมก็ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ  ขอบคุณมากครับ)




โดยวิทยากรผู้นำเสวนามี 3 ท่านคือ  คุณอรรถ บุนนาค เจ้าของสำนักพิมพ์แปลเรื่องญี่ปุ่น JLIT  และคุณโจ้กับคุณเน็ต  จากร้านขายหนังสือออนไลน์ Readery


-เริ่มที่คุณอรรถ ใครที่บอกว่าวัยรุ่นไม่อ่านหนังสือนั้นไม่จริงเลย  เพราะตัวเองทำสำนักพิมพ์ที่ขายหนังสือให้แก่วัยรุ่น  เชื่อว่าในยุคนี้วัยรุ่นมีโอกาสในการอ่านเยอะมากกว่าสมัยก่อน

-จากผลการสำรวจ  คนที่ไม่อ่านหนังสือคือคนในวัยทำงานอายุระหว่าง 30-40 ปี  เนื่องจากคนกลุ่มนี้อยู่ในวัยทำงาน กำลังทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว  คนทำงานพอกลับมาบ้านก็เหนื่อยจนไม่อยากอ่านหนังสือแล้ว

-ส่วนกลุ่มคนที่อ่านเยอะที่สุดอยู่ในช่วงระหว่าง 20-30 ปี  และจะกลับมาอ่านหนังสือเยอะอีกครั้งก็เมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไปแล้ว  จนเมื่อถึงวัยเกษียณก็จะกลับมาอ่านหนังสือมากขึ้นเช่นกัน

-เด็กในยุคนี้มีหนังสือให้อ่านเยอะมาก  หลากหลายเยอะกว่าในสมัยก่อนมาก  ในยุคสมัยนี้มีหนังสือแปลที่มีเนื้อหาแปลกใหม่ จากการสำรวจเด็กมัธยมต้นบางคนเริ่มอ่านวรรณกรรมคลาสิคของโลกแล้ว  โดยเมื่อเขาได้อ่านเรื่องแปลพวกนี้แล้วเขาชอบก็จะเกิดแรงบันดาลใจให้เขาอยากไปหาต้นฉบับ(ภาษาต่างประเทศ)มาอ่านด้วย

-ที่น่าสนใจคือว่า  วัยรุ่นอ่านคอนเทนต์ที่เป็นนิยายเยอะมาก  แต่หนังสือในบ้านเราไม่ค่อยจะมีเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัยรุ่นสักเท่าไหร่เลย  คือในวงการหนังสือไทยยังขาดวรณกรรมเยาวชนที่ดีๆ สำหรับให้เด็กวัยรุ่นอ่าน

-ถ้าย้อนไปในสมัยก่อน  ในสมัยที่คุณอรรถเป็นวัยรุ่น จะมีนิตยสาร “เธอกับฉัน” ที่ถือว่าเป็นหนังสือของวัยรุ่นในยุคนั้น  มี “พจน์  อานนท์” เป็นบรรณาธิการ  ในตัวนิตยสารมีเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของวัยรุ่น  รวมทั้งมีนวนิยายวัยรุ่นที่ดีๆ หลายเรื่องด้วย  แต่ในปัจจุบันในท้องตลาดไม่มีหนังสือในลักษณะนี้เลย

-สำหรับนิตยสาร  “เธอกับฉัน” ในสมัยก่อนนั้นคงเรียกว่าเป็นสกุลไทยฉบับวัยรุ่นเลย  เทียบเท่ากับนวนิยายที่โพสลงในเว็บสมัยนี้  เช่น เด็กดี , จอยลดา , ธัญวลัย ,  Storylog , ReadAWrite ฯลฯ เพียงแต่นิยายที่ลงในเว็บพวกนี้ไม่ผ่านการกลั่นกรองจากบรรณาธิการเลย

-ในยุคนี้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายอย่าไปต่อว่าลูกเลย  ในการที่ลูกเป็นติ่งโน้นติ่งนี้หรือชื่นชอบในสิ่งต่างๆ เพราะในสมัยก่อนคุณพ่อคุณแม่ก็มีความรู้สึกเหมือนกับลูกๆ ในตอนนี้เช่นกัน  เพียงแต่แสดงออกไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง

-ถ้าถามว่าคนไทยอ่านอะไร?  ตอบได้ว่าคนไทยก็อ่านคอนเทนต์ในแบบเดิมไม่ได้เปลี่ยนเลย  แต่ที่เปลี่ยนไปคือรายละเอียดต่างๆ ในคอนเทนต์นั้นๆ อย่างเช่นในสมัยก่อนยุคคุณพ่อคุณแม่อาจจะได้อ่านแต่นิยายรัก  แต่รุ่นลูกในสมัยนี้เข้าได้อ่านเรื่องรักเหมือนกัน แต่ในรายละเอียดของเรื่องนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก  มีความหลากหลายมากขึ้น  เช่น  ในนิยายรักสมัยนี้อาจจะมีแฝงเรื่องสิทธิสตรีเอาไว้ด้วย  ซึ่งนิยายในสมัยก่อนไม่ค่อยกล้าพูดเรื่องนี้มากนัก  หรือปัจจุบันนี้มีเรื่องชายรักชายเป็นนิยายวาย  เป็นแนวที่วัยรุ่นกำลังนิยมอ่านอยู่

-จะเห็นได้ว่าคอนเทนต์ในสมัยใหม่นี้มีความหลากหลายมากขึ้น คือมีแยกย่อยแตกออกไปเยอะ หรือมีเซ็กเม้นท์ (segment) มากขึ้น  ไม่เหมือนในสมัยก่อนที่นักเขียนดังจะครองตลาดอยู่ตลอด  เรื่องราวหรือคอนเทนต์ต่างๆ ก็จะซ้ำไปซ้ำมาตลอด

-เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงก็จะเห็นว่า  ในปัจจุบันนี้คนที่เป็นผู้ใหญ่เหมือนว่าจะไม่มีคอนเทนต์อะไรให้อ่าน  เพราะที่มีอยู่ในตลาดไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจ  ไม่ใช่เรื่องของวัยเขา  หลายสำนักพิมพ์มองข้ามกลุ่มผู้อ่านสูงวัยนี้ไปเลย  จะเห็นว่าไม่ค่อยมีสำนักพิมพ์ไหนเลยที่ทำฟอนซ์(ลักษณะของตัวอักษร)ให้ใหญ่ขึ้น  เพื่อที่คนแก่จะได้อ่านได้  บางครั้งตัวหนังสือที่เล็กเกินไปผู้ใหญ่ก็อ่านไม่ได้ ทำให้ความรื่นรมย์ในการอ่านลดน้อยลงไป

-ขอยกตัวอย่างนักเขียนดังที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้คือ ว.วินิจฉัยกุล  อาจารย์วินิตามักจะใช้ทฤษฎีทางวรรณคดีมาใช้ในนวนิยายที่ท่านเขียนเยอะมาก   อ่านแล้วจะเห็นว่าเรื่องราวปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย  ทำให้เรื่องเป็นสมัยใหม่มากขึ้น  และช่วงหลังอาจารย์วินิตาพยายามเอาสังคมผู้สูงวัยเข้ามาใส่ไว้ในนวนิยายของท่านด้วย  เช่นเรื่อง “จากฝัน สู่นิรันดร”   คุณอรรถชื่นชมเป็นอย่างมาก

-นักเขียนต้องเข้าใจว่ากลุ่มผู้อ่านของเราคือใคร  จะได้สร้างเรื่องได้ตรงกับความต้องการของผู้อ่านด้วย  เช่นถ้าเป็นผู้อ่านกลุ่มมีอายุสักหน่อย  ถ้าจะเขียนเรื่องรักก็อาจจะเป็นรักแบบพีเรียด(ย้อนยุค)ก็ได้

-ปัจจุบันจึงกลายเป็นว่า  คอนเทนต์ของใครก็ของมัน ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจคอนเทนต์ของเด็ก  จึงทำให้เด็กก็ไม่เข้าใจคอนเทนต์ของผู้ใหญ่ด้วย  ผู้ปกครองในสมัยนี้จึงควรต้องเปิดใจให้กว้าง  ต้องยอมรับเรื่องราวของพวกเด็กๆ ด้วย  ลองเข้าไปอ่านนิยายในเว็บดู  อย่างที่ เด็กดี , จอยลดา , ธัญวลัย ฯลฯ  ผู้ใหญ่อ่านแล้วอาจจะรู้สึกกรี๊ดกร๊าดบอกว่าอ่านไม่ได้  แต่ต้องอย่าลืมว่าในสมัยก่อนคุณก็เคยอ่านนิยายประโลมโลกมาก่อน  เคยต้องคลุมโปงแอบอ่านก็มี  เพราะฉะนั้นอย่างไปว่าเด็กเลย

-คุณเน็ตเอาสถิติจากเว็บ Readery  มาโชว์ให้ดูกัน   กลุ่มลูกค้าประมาณ 60% เป็นกลุ่มคนอายุ 18-30 ปี   โดยเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

-คุณเน็ตจะลองเอา 20 อันดับหนังสือขายดีในปี 2018 มาพูดให้เห็นว่าคนไทยชอบอ่านอะไร?  โดยอันดับที่ 20 เป็นหนังสือชื่อ “วัสดุนิยม : เรื่องราวสุดทึ่งของสารพันวัตถุเปลี่ยนโลก” เล่มนี้เป็นหนังสือแปลที่พูดถึงสิ่งของหรือวัตถุต่างๆ ที่เราเห็นอยู่ในชีวิตประจำวัน  โดยดูว่าใครเป็นคนค้นคิดหรือประดิษฐ์ขึ้นมา  หรือผลิตอย่างไร  เป็นมาอย่างไร  เล่มนี้ขายดีเพราะมีกระแสป๊อปซายน์ (Pop Science)  คือเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ที่อ่านสนุก  

-ซึ่งปีที่แล้วหนังสือในแนวป๊อปซายน์นี้โตขึ้นเยอะมากเลย ป๊อปซายน์ (Pop Science) เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนเรา  คือเอาวิทยาศาสตร์มาย่อยเพื่อเขียนให้อ่านสนุกและได้ความรู้ด้วย

-คุณโจ้เสริมว่า  ปัจจุบันห้องสมุดควรจะต้องจัดหมวดหมู่หนังสือใหม่เลย  เพราะมันมีแนวหนังสือที่เกิดใหม่เยอะมาก  ควรจะสร้างแยกออกมาเป็นเซ็กเม้นท์ใหม่เลย

-หนังสือแนวป๊อปซายน์ (Pop Science)  อีกเล่มที่น่าสนใจคือเรื่อง “ความงามแห่งฟิสิกส์”  เล่มนี้เขียนเรื่องฟิสิกส์ให้เป็นภาษาแบบวรรณกรรมเลย  คนทั่วไปอาจจะคิดว่าเรื่องฟิสิกส์เป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไป แต่พอได้มาอ่านเล่มนี้แล้วจะรู้เลยว่ามันสนุกมาก  อ่านแล้วมหัศจรรย์มาก  ไม่คิดว่าเรื่องวิทยาศาสตร์จะเอามาเขียนได้สนุกขนาดนี้

-คุณโจ้เสริมว่า  “ความงามแห่งฟิสิกส์” เล่มนี้อ่านสนุกมาก  เพราะเขาใช้ภาษาแบบงานวรรณกรรมเลย  เราจะอ่านเพื่อเป็นบันทึกประสบการณ์ชีวิตก็ได้  หรือจะอ่านเอาความรู้ก็ได้  หรือจะอ่านเอาความเพลิดเพลินก็ได้

-คุณอรรถให้ความเห็นว่า ปัจจุบันร้านขายหนังสือมีปัญหาเรื่องการวางหนังสือเหมือนกัน  เพราะว่าคนขายไม่ได้อ่านหนังสือ  จึงไม่รู้อย่างแท้จริงว่าเล่มไหนควรอยู่ตรงไหน  เล่มไหนอยู่ในหมวดไหนกันแน่  เท่าที่เคยพบก็คือ  มีร้านหนังสือเอาหนังสือเรื่อง “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” ไปวางไว้ในหมวดเกษตรกรรม

-คุณเน็ตบอกว่า  สำหรับเรื่อง “ความงามแห่งฟิสิกส์” นี้  ทางสำนักพิมพ์โอเพ่นเวิลด์ส  ได้เลือกคนแปล (สุนันทา วรรณสินธ์ เบล) ที่เคยแปลงานวรรณกรรมมาก่อนเป็นผู้แปลหนังสือเล่มนี้ด้วย

-คุณเน็ตแนะนำต่อหนังสือขายดีอันดับที่ 19 ชื่อเรื่อง “อาทิตย์สิ้นแสง” เล่มนี้เป็นวรรณกรรมคลาสิคของญี่ปุ่นแปลโดยสำนักพิมพ์ JLIT ของคุณอรรถ

-คุณอรรถเสริมให้ว่า  จริงๆ แล้วเรื่องแปลญี่ปุ่นเรื่องแรกของทาง JLIT คือเอง “สูญสิ้นความเป็นคน”  คือคุณอรรถเคยได้ไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น  เคยได้อ่านวรรณกรรมคลาสิคของญี่ปุ่นซึ่งใช้ภาษาเหนือกว่างานทั่วไป  จึงลองแปลเรื่องโดยตรงมาจากภาษาญี่ปุ่น  แรกเลยมองเห็นกลุ่มเป้าหมายที่น่าจะซื้อสักประมาณ 2,000 คน จึงพิมพ์ 2,000 เล่ม  แต่เกิดขายดีขึ้นมา  จนกลายเป็นกระแสอ่านงานญี่ปุ่น กลายเป็นซับคัลเจอร์ขึ้นมา โดยมาจากกลุ่มฮิปเตอร์เป็นหลักก่อน ประมาณว่า ขี่จักรยานมานั่งทำงานในร้านกาแฟ  ใช้ชีวิตสโลไลฟ์

-เมื่อมีกลุ่มวัยรุ่นที่อ่านหนังสือไม่ใช่กระแสหลัก  พวกเขาจะสร้างซับคัลเจอร์ (Sub Culture) ขึ้นมา  ในอนาคตกลุ่มนี้อาจจะกลายมาเป็นกลุ่มกระแสหลักก็ได้ จะเห็นว่าในปัจจุบันซับคัลเจอร์แนวฮิบเตอร์กำลังมาแรง  กลุ่มคนพวกนี้พยายามจะย้อนกลับไปสู่ความรุ่งเรืองในอดีต  กลุ่มนี้มีความคิดเป็นของตัวเอง  เพิกเฉยต่อการเมือง ใช้ขีวิตอยู่กับธรรมชาติเป็นหลัก

-คุณโจ้เสริมในประเด็นนี้ว่า ดังนั้นถ้าถามว่าคนไทยชอบอ่านอะไร?  ก็คงตอบได้ว่าคนไทยชอบอ่านหนังสือตามกระแส คือตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจบันจะอ่านตามกระแสเป็นหลัก ยุคก่อนอาจจะอ่านตามกระแสที่ละครกำลังออนแอร์  แต่ในยุคปัจจุบันมีกระแสต่างๆ เกิดขึ้นมากมายและหลากหลายมากขึ้น

-คุณอรรถให้ความเห็นว่า  พอมีอินเตอร์เน็ตเกิดขึ้น  ความชอบของคนก็เริ่มหลากหลายมากขึ้นด้วย  คนสามารถเข้าถึงสิ่งที่ชอบได้มากขึ้นและถี่มากกว่าแต่ก่อน  ด้วยความที่เซ็กเม้นท์มันหลากหลายมากขึ้น  คนก็จะเลือกอ่านตามแต่เรื่องที่ตัวเองชอบ ดังนั้นสำนักพิมพ์ที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักที่ชัดเจนจึงจะอยู่ได้

-อย่างเช่น  ถ้ามีนิยายที่ตัวละครเอกเป็นนักปักผ้า ปรากฎว่าตรงกับกลุ่มคนที่ชอบทำงานฝีมือหรืองานดร๊าฟพอดีเขาก็จะรีบซื้อเล่มนี้ทันทีเลย  ปัจจุบันจะเห็นว่ามีสังคมกลุ่มปักผ้าเกิดขึ้นมา  ยุคนี้เป็นยุคที่มีการสอนงานฝีมือกันเยอะ  สอนการปักผ้าก็มีเยอะด้วย   การที่มีปากกาเขียนผ้าออกมาจำหน่าย  คนกลุ่มนี้ก็จะชอบใจมาก  ส่วนคนอื่นทั่วไปก็จะไม่เข้าใจความรู้สึกของคนกลุ่มนี้เลย

-คุณโจ้ ให้คำตอบเดียวกันกับคุณอรรถว่า  ปัจจุบันคนไทยอ่านหนังสือตามสิ่งที่เขาขอบ

-คุณอรรถ บอกว่าคนไทยยังอ่านอยู่  คนไทยยังอ่านคอนเทนต์อยู่เสมอ  ทุกคนอ่านคอนเทนต์ตามรสนิยมของตัวเอง  ตามความชื่นชอบของตัวเอง  ถึงแม้มันจะหลากหลายขึ้นแต่มันก็ยังมีความชอบส่วนตัวอยู่

-คุณเน็ตไล่อันดับหนังสือขายดีที่เป็นเรื่องแปลญี่ปุ่นให้ฟังต่อ  อันดับที่ 19 คือ “อาทิตย์สิ้นแสง” อันดับที่  14 คือเรื่อง “พรุ่งนี้ผมจะเดตกับเธอคนเมื่อวาน”  เล่มนี้เป็นเรื่องที่มีวิธีการเล่าเรื่องที่พิเศษมาก  ต้องลองไปหาอ่านกันดู  , อีกเรื่องคือ “ดวงดาวแห่งเงามืด” และเรื่อง “ฆาตกรรบนเนิน D”  สรุปว่าในอันดับหนังสือขายดีมีกระแสหนังสือแปลญี่ปุ่น 5 เรื่อง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่