ที่เป็นข่าวใหญ่โตเรื่องอ่างบัวแตก ทำให้ผมได้อ่านข่าวมากขึ้นและเข้าใจว่าอ่างบัวใบละ 5 พันนี้ คุณประยุทธ์เป็นคนออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดรวมถึงปลูกบัว โดยมีสวนนงนุชเป็นสปอนเซอร์ ตามเนื้อหาข่าว แต่ผมจะไม่กล่าวเรื่องนี้เป็นหลักแต่จะจับประเด็นของการใช้ทรัพย์สินส่วนตัวให้สอดคล้องกับงานในองค์กร
https://www.thairath.co.th/content/934747

โดยปกติคนที่ทำงานให้องค์กร ถือเป็นลูกจ้างขององค์กรทั้งสิ้นไม่เว้นแม้แต่ซีอีโอ ดังนั้นการใช้ทรัพยากรในองค์กรไม่ว่าจะเป็นอะไร ถือเป็นสิ่งที่องค์กรจะต้องมีส่วนรับผิดชอบ และการนำทรัพยากรของตัวเองเข้ามาใช้นั้นจะต้องผ่านการรับรู้กับผู้มีส่วนร่วมในองค์กร ยกตัวอย่าง คุณทำงานออฟฟิศและมีปัญหากับปริ้นเตอร์ในองค์กร คุณจึงตัดสินใจหาปริ้นเตอร์มาใช้เองในสถานที่นั้น ซึ่งกรณีนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดหลักหน้าที่โดยสิ้นเชิงถึงแม้คุณจะเอามาทำงานเพื่อประโยชน์องค์กรของคุณก็ตาม ทางแก้มีเยอะ เช่น ของบประมาณ เรียนปัญหาให้หัวหน้างานทราบ หรือแม้แต่สุดท้ายต้องของส่วนตัวมาก็ต้องผ่านกระบวนการที่เหมาะสม
นานมาแล้วผมเคยใช้ซื้อโทรศัพท์มือถือมาใช้โดยคิดว่าจะช่วยให้งานขององค์กรสะดวก (สมัยนั้นเครื่องละ 5 หมื่น) ผมบอกหัวหน้างานไปสิ่งที่ผมได้รับมาคือคำพูดที่ว่า "บริษัทไม่ขอบคุณหรอกนะ" ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าความหวังดีของผมจะได้การตอบสนองแบบนี้ สุดท้ายผมก็นำมาใช้และหัวหน้าก็ข่วยนำเสนอผู้ใหญ่เรื่องค่าบริการให้ แต่ก็แน่นอนว่าผมก็ใช้โทรศัพท์ในเรื่องส่วนตัวด้วย (ใช้พอๆ กับการทำงาน)
ต่อมางานผมต้องเดินทางบ่อย (งานของบริษัทใหม่) เนื่องจากองค์กรเขามีไซ้ท์งานต่างจังหวัด บางทีงานด่วนงานฉุกเฉินผมก็ต้องไปโดยไม่ได้ทำเรื่องเดินทาง ค่าใช้จ่ายในการเดินทางผมจัดการเองหมดจนปิดงาน และไม่ได้บอกหัวหน้างานให้รู้เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ผมรับภาระได้ จนกระทั่งได้มีโอกาสพูดคุยยามว่างกับเจ้านายผมก็บอกเรื่องนี้ออกไปด้วยความภูมิใจว่าผมช่วยองค์กรเต็มที่ เจ้านายผมหน้าเครียดทันที และพูดเสียงเข้มว่า "อย่าทำแบบนี้อีก" หลังจากนั้นเจ้านายก็เดินเรื่องคืนค่าใช้จ่ายที่ผ่านมาให้ผม และทราบในภายหลังว่าเจ้านายผมต้องโดนรองประธานฯ ตำหนิ เนื่องจากการเบิกเงินย้อนหลังมันเข้าข่ายการสังเกตการประพฤติไม่ชอบ ผมเสียใจกับเหตุการณ์นี้มากเพราะไม่คิดว่าความหวังดีของผมที่ทำให้งานสำเร็จจะพาหลายคนที่ใหญ่ท่านผู้ใหญ่ซวยไปด้วย
ผมเข้าใจภายหลังว่ากฎเกณฑ์ในองค์กรนั้นมีไว้เพื่อป้องกันปัญหาภายในองค์กรที่อาจจะเกิดขึ้นหรือ เรียนรู้จากที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว จริงๆ ถ้าผมไม่พูดอะไรตั้งแต่แรกก็จบด้วยดี เพราะที่พูดก็ไม่คิดว่าจะเอาประโยชน์อะไรนอกจากอยากเขาเขาเห็นคุณค่าของเรา ผมเรียนรู้ต่ออีกว่าถ้าผมต้องการอะไรเพื่อประโยชน์ขององค์กรก็ให้เรียกร้องจากองค์กรโดยตรง ถ้าเขาไม่อนุมัติก็ทำไปเท่าที่มีให้ดีที่สุด เมื่อเกิดปัญหาเขาจะได้จัดการกับระบบของเขาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และไม่มีใครต้องเสียประโยชน์ใดๆ ด้วย
ผมก็สรุปของผมว่าถ้าผมทำด้วยทรัพยากรของผมจะเกิด
ข้อดี
- งานเสร็จไว ไปได้ตามที่คิด
- ช่วยส่งเสริมความสำเร็จขององค์กร
- ประหยัดงบประมาณองค์กร
ข้อเสีย
- องค์กรเสียระบบ
- มีปัญหาปกครองในหมู่พนักงาน โดยเฉพาะตอนพิจารณาผลงาน
- ปัญหาขององค์กรไม่ถูกเปิดเผยให้แก้ไข
- บางเรื่อง มีความหวาดระแวงเรื่องความมั่นคงขององค์กร เช่น นำปริ้นท์เตอร์มาใช้ อาจจะเพื่อพิมพ์เอาความลับบริษัทออกไป (สมัยก่อนปรินท์เตอร์แพง) เป็นต้น
ดังนั้น การที่ท่านประยุทธออกเงินซื้ออ่างบัวมาวางที่หน้าสภาซึ่งเป็นของคนในชาติเองนั้นผมมองว่าไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก เพราะมันเกิดการมองได้หลายมุม จะไปโทษว่าใครมองแง่ร้าย หรือแง่ดีมันก็ไม่ถูก เช่น
- นายกใจบุญ ใจปล้ำ ใจใหญ่
- นายกเป็นผู้เสียสละ
- นายกอยากเป็นตัวอย่างของความเสียสละ
- นายกช่วยชาติประหยัดงบประมาณ
- นายกอยากส่งเสริมภูมิทัศน์ให้ดูดี และให้เรื่องดำเนินไปได้เร็ว
- นายกใจร้อน ด่วนอยากได้ ไม่อยากผ่านขั้นตอน
- นายกอยากเป็นข่าวสร้างเครดิตตัวเอง
- นายกมีอะไรแอบแฝงกับสวนนงนุชหรือเปล่า อนาคตถ้ามีงานที่ต้องทำร่วมกันอาจเกิดข้อครหา
- นายกเอาอะไรมาวางก็ไม่รู้ รถผมเป็นรอยเลย (กรณีถ้านายกอยากวางอ่างแต่สภาไม่อนุมัติ แล้วเกิดอุบัตเหตุขึ้น)
...........
ทั้งหมดนี้แค่เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าความดีของใจเราอาจสร้างสรรค์และปัญหาต่างๆ มากมาย ถ้าเรื่องนี้ไม่ถูกเปิดเผยด้วยข่าวท่านนายกอาจจะภูมิใจกับงานของตนอย่างเงียบ ๆ โดยสังคมก็มองเป็นปกติ หรือทำเรื่องขอเป็นเรื่องเป็นราวเป็นระบบให้เรียบร้อย ถ้าสภาไม่เอาก็ไม่ต้องทำ อะไรแบบนี้ แต่พอดีมันไม่มีในข่าว เลยไม่รู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นยังไง
ที่เขียนมาทั้งหมด แค่อยากบอกว่า
การใช้ทรัพย์ส่วนตัวกับงานในองค์กรมันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องไม่ควรทำ ถ้าจะทำก็ควรทำตามระบบจะดีที่สุดครับ
เรื่องอ่างบัวผมมีมุมมองอีกด้าน ที่มีผลกับการบริหารงาน
https://www.thairath.co.th/content/934747
โดยปกติคนที่ทำงานให้องค์กร ถือเป็นลูกจ้างขององค์กรทั้งสิ้นไม่เว้นแม้แต่ซีอีโอ ดังนั้นการใช้ทรัพยากรในองค์กรไม่ว่าจะเป็นอะไร ถือเป็นสิ่งที่องค์กรจะต้องมีส่วนรับผิดชอบ และการนำทรัพยากรของตัวเองเข้ามาใช้นั้นจะต้องผ่านการรับรู้กับผู้มีส่วนร่วมในองค์กร ยกตัวอย่าง คุณทำงานออฟฟิศและมีปัญหากับปริ้นเตอร์ในองค์กร คุณจึงตัดสินใจหาปริ้นเตอร์มาใช้เองในสถานที่นั้น ซึ่งกรณีนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดหลักหน้าที่โดยสิ้นเชิงถึงแม้คุณจะเอามาทำงานเพื่อประโยชน์องค์กรของคุณก็ตาม ทางแก้มีเยอะ เช่น ของบประมาณ เรียนปัญหาให้หัวหน้างานทราบ หรือแม้แต่สุดท้ายต้องของส่วนตัวมาก็ต้องผ่านกระบวนการที่เหมาะสม
นานมาแล้วผมเคยใช้ซื้อโทรศัพท์มือถือมาใช้โดยคิดว่าจะช่วยให้งานขององค์กรสะดวก (สมัยนั้นเครื่องละ 5 หมื่น) ผมบอกหัวหน้างานไปสิ่งที่ผมได้รับมาคือคำพูดที่ว่า "บริษัทไม่ขอบคุณหรอกนะ" ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าความหวังดีของผมจะได้การตอบสนองแบบนี้ สุดท้ายผมก็นำมาใช้และหัวหน้าก็ข่วยนำเสนอผู้ใหญ่เรื่องค่าบริการให้ แต่ก็แน่นอนว่าผมก็ใช้โทรศัพท์ในเรื่องส่วนตัวด้วย (ใช้พอๆ กับการทำงาน)
ต่อมางานผมต้องเดินทางบ่อย (งานของบริษัทใหม่) เนื่องจากองค์กรเขามีไซ้ท์งานต่างจังหวัด บางทีงานด่วนงานฉุกเฉินผมก็ต้องไปโดยไม่ได้ทำเรื่องเดินทาง ค่าใช้จ่ายในการเดินทางผมจัดการเองหมดจนปิดงาน และไม่ได้บอกหัวหน้างานให้รู้เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ผมรับภาระได้ จนกระทั่งได้มีโอกาสพูดคุยยามว่างกับเจ้านายผมก็บอกเรื่องนี้ออกไปด้วยความภูมิใจว่าผมช่วยองค์กรเต็มที่ เจ้านายผมหน้าเครียดทันที และพูดเสียงเข้มว่า "อย่าทำแบบนี้อีก" หลังจากนั้นเจ้านายก็เดินเรื่องคืนค่าใช้จ่ายที่ผ่านมาให้ผม และทราบในภายหลังว่าเจ้านายผมต้องโดนรองประธานฯ ตำหนิ เนื่องจากการเบิกเงินย้อนหลังมันเข้าข่ายการสังเกตการประพฤติไม่ชอบ ผมเสียใจกับเหตุการณ์นี้มากเพราะไม่คิดว่าความหวังดีของผมที่ทำให้งานสำเร็จจะพาหลายคนที่ใหญ่ท่านผู้ใหญ่ซวยไปด้วย
ผมเข้าใจภายหลังว่ากฎเกณฑ์ในองค์กรนั้นมีไว้เพื่อป้องกันปัญหาภายในองค์กรที่อาจจะเกิดขึ้นหรือ เรียนรู้จากที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว จริงๆ ถ้าผมไม่พูดอะไรตั้งแต่แรกก็จบด้วยดี เพราะที่พูดก็ไม่คิดว่าจะเอาประโยชน์อะไรนอกจากอยากเขาเขาเห็นคุณค่าของเรา ผมเรียนรู้ต่ออีกว่าถ้าผมต้องการอะไรเพื่อประโยชน์ขององค์กรก็ให้เรียกร้องจากองค์กรโดยตรง ถ้าเขาไม่อนุมัติก็ทำไปเท่าที่มีให้ดีที่สุด เมื่อเกิดปัญหาเขาจะได้จัดการกับระบบของเขาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และไม่มีใครต้องเสียประโยชน์ใดๆ ด้วย
ผมก็สรุปของผมว่าถ้าผมทำด้วยทรัพยากรของผมจะเกิด
ข้อดี
- งานเสร็จไว ไปได้ตามที่คิด
- ช่วยส่งเสริมความสำเร็จขององค์กร
- ประหยัดงบประมาณองค์กร
ข้อเสีย
- องค์กรเสียระบบ
- มีปัญหาปกครองในหมู่พนักงาน โดยเฉพาะตอนพิจารณาผลงาน
- ปัญหาขององค์กรไม่ถูกเปิดเผยให้แก้ไข
- บางเรื่อง มีความหวาดระแวงเรื่องความมั่นคงขององค์กร เช่น นำปริ้นท์เตอร์มาใช้ อาจจะเพื่อพิมพ์เอาความลับบริษัทออกไป (สมัยก่อนปรินท์เตอร์แพง) เป็นต้น
ดังนั้น การที่ท่านประยุทธออกเงินซื้ออ่างบัวมาวางที่หน้าสภาซึ่งเป็นของคนในชาติเองนั้นผมมองว่าไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก เพราะมันเกิดการมองได้หลายมุม จะไปโทษว่าใครมองแง่ร้าย หรือแง่ดีมันก็ไม่ถูก เช่น
- นายกใจบุญ ใจปล้ำ ใจใหญ่
- นายกเป็นผู้เสียสละ
- นายกอยากเป็นตัวอย่างของความเสียสละ
- นายกช่วยชาติประหยัดงบประมาณ
- นายกอยากส่งเสริมภูมิทัศน์ให้ดูดี และให้เรื่องดำเนินไปได้เร็ว
- นายกใจร้อน ด่วนอยากได้ ไม่อยากผ่านขั้นตอน
- นายกอยากเป็นข่าวสร้างเครดิตตัวเอง
- นายกมีอะไรแอบแฝงกับสวนนงนุชหรือเปล่า อนาคตถ้ามีงานที่ต้องทำร่วมกันอาจเกิดข้อครหา
- นายกเอาอะไรมาวางก็ไม่รู้ รถผมเป็นรอยเลย (กรณีถ้านายกอยากวางอ่างแต่สภาไม่อนุมัติ แล้วเกิดอุบัตเหตุขึ้น)
...........
ทั้งหมดนี้แค่เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าความดีของใจเราอาจสร้างสรรค์และปัญหาต่างๆ มากมาย ถ้าเรื่องนี้ไม่ถูกเปิดเผยด้วยข่าวท่านนายกอาจจะภูมิใจกับงานของตนอย่างเงียบ ๆ โดยสังคมก็มองเป็นปกติ หรือทำเรื่องขอเป็นเรื่องเป็นราวเป็นระบบให้เรียบร้อย ถ้าสภาไม่เอาก็ไม่ต้องทำ อะไรแบบนี้ แต่พอดีมันไม่มีในข่าว เลยไม่รู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นยังไง
ที่เขียนมาทั้งหมด แค่อยากบอกว่า การใช้ทรัพย์ส่วนตัวกับงานในองค์กรมันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องไม่ควรทำ ถ้าจะทำก็ควรทำตามระบบจะดีที่สุดครับ